หลักฐานทุกอย่างถูกจัดเรียงตามลำดับเหตุการณ์ แม้จะเป็นเพียงการคาดเดา แต่ก็มีแนวโน้มความเป็นไปได้สูง เมื่อการสืบค้นทุกอย่างมันพุ่งเป้าไปในทิศทางเดียวกัน แน่นอนว่าคนเกี่ยวข้องไม่สมควรอยู่ลอยนวลอย่างเป็นสุข
หลังจากวันเสาร์ได้รายงานว่าผู้ชายที่ชื่อพอล โพธิ์ทอง เลอร์สัน เป็นใคร ทุกอย่างในใจของการันต์ก็พลอยกระจ่างชัดขึ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่วาปีจะไม่รู้เห็นเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมของคนรักเขา เพราะตั้งแต่เดินทางมาประเทศไทย พี่ชายของเธอก็ติดต่อกับเธอเพียงคนเดียว และตอนนี้โพธิ์ทองก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ย้ายออกจากคอนโดเดิมที่เคยเช่า ตั้งแต่สามวันหลังจากสวดศพรัมภาดาคืนสุดท้าย กระนั้น... ก็ยังไม่พบข้อมูลว่ากลับแคนาดาไปแล้ว
ใจของเขามันร้อนรุ่มเกินกว่าจะรอคอยความคืบหน้าของลูกน้องในแต่ละวัน จึงกลับจากสิงคโปร์มาอย่างเร่งด่วน เพื่อหาความจริงด้วยตัวเอง
รัมภาดากับลูกในท้องต้องไม่ตายฟรี และคนที่ก่อเรื่องอันเลวทรามนี้ ต้องได้รับการชดใช้... ที่ไม่ใช่ด้วยกฎหมาย
แต่เป็นกฎ... ของเขาเอง!
ภาพรอยยิ้มอำมหิตและน้ำเสียงเย้ยหยันคือสิ่งสุดท้ายที่รับรู้ ก่อนทุกอย่างจะดับมืด
“ที่นี่ที่ไหน... “ คำถามคลาสสิกหลุดจากปากอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสถานที่ไม่ปกติ อากาศเย็นเยียบในห้องสี่เหลี่ยมทึบแสงน่ากลัว ทำให้เธอรีบนั่งชันเข่า กอดร่างเอาไว้อย่างระแวดระวัง จากนี้ไปไม่รู้ต้องพบเจออะไรบ้าง... “พี่โพธิ์...”
วูบหนึ่ง คำพูดสุดท้ายของการันต์ก็ผุดเข้ามาในหัว
เธอแปลกใจ ตกใจว่าเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะมันเป็นความลับที่รู้กันอยู่แค่เธอกับพี่ชาย จะว่าเล็ดลอดไปจากคนรอบข้างหรือญาติพี่น้องก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย และหากการันต์ ไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ คงไม่พูดกับเธออย่างมั่นใจเช่นนั้นหรอก
แม้ไม่ได้สนิทชิดเชื้อ แต่ด้วยความที่เห็นกันมาตั้งแต่เธอจำความได้ จึงพอรู้นิสัยใจคอว่าคนอย่างการันต์ ไม่ได้เป็นเทพบุตรอย่างรูปลักษณ์ของเขาหรอก
หากเขารู้... ว่าโพธิ์ทองเป็นต้นเหตุให้รัมภาดาเสียชีวิต ปีศาจในร่างเทพบุตรนั้น จะไม่มีวันปล่อยให้พี่ชายของเธอได้หายใจอยู่ร่วมโลกเดียวกันเป็นแน่
ปัง!
ร่างเล็กสะดุ้ง มองไปยังแสงที่ส่องผ่านประตูเข้ามา ทำให้ต้องยกมือบังด้วยความที่อยู่ในที่มืดมาช่วงระยะหนึ่งจนสายตาไม่คุ้นกับแสงสว่าง แต่เธอก็เห็นได้ชัดเจนขึ้น ว่าผนังรอบด้านของห้องนี้ ถูกสร้างขึ้นจากเหล็กกล้าทั้งหมด
“คุณกันต์...” เสียงอุทานแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เอ่ยชื่อผู้ที่กำลังเดินฝ่าแสงจ้าเข้ามาพร้อมๆ กับกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบทางด้านหลังของเขา
ชายหนุ่มนั่งยองๆ ใกล้เธอ แล้วโยนกระดาษในมือใส่ ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อย มองไปบนพื้นรอบๆ ตัวที่มีทั้งภาพถ่ายและสำเนาเอกสารบางอย่าง หล่นเกลื่อนกลาดรอบตัว
“ไม่ต้องสาวความให้ยืดเยื้อ เธอมีหน้าที่แค่บอกมาว่าพี่ชายของเธอมันอยู่ที่ไหน”
“ฉัน...”
“ไม่รู้...” เขาต่อประโยคให้ เมื่อเห็นว่าเธออึกอัก “ไม่เป็นไร... ฉันรอได้” น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบ ทุ้มลึก และไม่ได้เกรี้ยวกราดอย่างที่เธอวิตก แต่ก็สุดหยั่งรู้ถึงความในใจ
ดวงตาคมปลาบยังคงจ้องไม่กะพริบ เขายืนขึ้น สอดมือล้วงในกระเป๋ากางเกง แล้วเดินถอยหลังออกไปช้าๆ จากนั้นกลุ่มผู้ชายที่อยู่ด้านหลังเขาก็ปรี่ตรงเข้ามาแทน คนหนึ่งฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน แล้วพาก้าวออกไป
เธอกวาดตามองไปรอบๆ อาการโคลงเคลงและเสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้น ทำให้คิดไปถึง ‘เรือ’
เธอกำลังอยู่ในเรือ!
ความหวาดวิตกกังวลยิ่งถาโถม ถึงเธอจะตัวเปล่าเล่าเปลือย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รักชีวิต กระนั้น... ก็ยังกัดฟันไม่ยอมปริปากบอก ‘ความลับ’ ใดๆ ทั้งสิ้น
ขนาดเธอซึ่งเขาเพียงเค้นหาข้อมูลยังถูกกระทำเหมือนอยู่ในบ้านป่าเมืองเถื่อน แล้วหากเขาเจอตัวโพธิ์ทองล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น...
“พวกคุณจะทำอะไร! ปล่อยฉันนะ!!” หญิงสาวกรีดร้องขณะถูกฉุดลากขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า ลมทะเลพัดแรงยิ่งกว่าในตอนแรก จนเสื้อผ้าหน้าผมปลิวสะบัดไร้ทิศทาง
เรือลำนี้เป็นเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ เพราะที่ที่เธอกับพวกเขายืนอยู่เป็นกราบเรือ และตรงกลางเป็นระวางที่แต่ละช่องเต็มไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์ ภาพท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาล มองไม่เห็นขอบฝั่ง ราวกับตอกย้ำในชะตากรรมความอยู่รอดของเธอในเวลานี้
“คุณกันต์ ต่อให้คุณฆ่าฉันให้ตาย! ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเขาอยู่ที่ไหน!”
เธอร้องไห้โฮ สองแก้มเปื้อนเปียกไปด้วยน้ำตา กลัวจับจิตเมื่อถูกพาตัวไปยืนอยู่ตรงกราบเรือ แรงกระแทกระหว่างตัวเรือกับน้ำทำให้เกิดคลื่นรุนแรงเป็นระลอก ใจหนึ่งเริ่มอยากที่จะเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดเพราะความกลัว แต่จิตสำนึกส่วนลึกก็ยังช่วยปิดปากเธอเอาไว้ ไม่ให้สิ่งใดเล็ดลอดออกมานอกจากเสียงสะอื้น
คนพวกนี้ไม่ได้แยแสต่อความเป็นความตายของเธอแม้แต่น้อย ทั้งสีหน้าและท่าทาง ไม่มีความสะทกสะท้านสักนิด ว่ากำลังรังแกผู้หญิงไร้ทางสู้คนหนึ่ง วาปีแน่ใจว่าพวกเขาสามารถโยนเธอลงไปลอยคออยู่ในทะเลได้อย่างหน้าตาเฉยราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “ปล่อยนะ!” เธอรวบรวมแรงฮึดอีกครั้ง แม้จะไม่เหลือความหวังอยู่เลยเมื่อเห็นชายคนหนึ่งถือเชือกเข้ามามัดมือของเธอ
พวกเขาคิดจะจับเธอโยนทะเลจริงๆ!
“ได้โปรด คุณกันต์ ฉันไม่รู้จริง ไม่รู้เลย...” เธอยังคงร่ำร้องขอความเห็นใจแข่งกับเสียงลมและเสียงคลื่น รอบกายไม่มีอะไรเลยที่แสดงถึงความเมตตาปรานี
ต่อให้ถูกปล่อยตัวจากเชือกที่กำลังมัดแน่น ก็ใช่ว่าเธอจะไปไหนพ้น นี่มันเรือ... เรือที่แล่นอยู่กลางท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาล ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดหมายปลายทางจะเป็นแห่งหนใด
การันต์เดินมายืนข้างๆ สองมือของเขาไขว้หลัง มองเธอด้วยแววตาเย้ยหยัน ริมฝีปากเหยียดยิ้มเยาะราวกับความหวาดกลัวและน้ำตาของเธอจะช่วยให้เขาเป็นสุขยิ่งขึ้น
“เปลี่ยนใจก็รีบนะ ฉันไม่รับรองหรอกว่าเธอจะห้อยอยู่ได้นานแค่ไหน...” สิ้นเสียง... ลูกน้องสองคนของเขาก็จับเธอโยนลงจากเรือ
“กรี๊ด!”
ร่างเล็กลอยละลิ่วลงจากเรือราวกับสิ่งของไร้ค่าที่ถูกโยนทิ้ง หัวใจของวาปีหล่นวูบ แทบจะหยุดเต้น เธอกรีดร้องอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมื่อคิดว่าจะต้องจมสู่ท้องน้ำในไม่ช้า และต้องสิ้นลมอย่างโดดเดี่ยวทรมานในที่สุด แต่แล้ว... ร่างของเธอกลับถูกแรงกระชากของเชือก รั้งให้ลอยค้างและหมุนไปมาอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ตกลงไปในทะเลอย่างที่คิดเอาไว้
นั่นเพราะ... เชือกที่ใช้มัดเธอ ได้ถูกผูกติดเอาไว้กับเครนของเรือ ทำให้เธอห้อยโตงเตงอยู่อย่างนั้น มันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าการตกลงไปในน้ำ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น เพียงไม่กี่นาทีเธอก็ขาดอากาศ ไม่สามารถหายใจได้ แล้วทุกอย่างก็จบ...
“ช่วยด้วย!” ได้แต่ร้องวิงวอนอย่างสิ้นหวัง
ลมที่พัดแรง บวกกับความเร็วของเรือที่กำลังแล่นอยู่ ทำให้ร่างของเธอแกว่งไปมาอยู่เหนือผิวน้ำเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตร น้ำกระเซ็นมาโดนตัวเป็นระยะ ความหนาวเย็นเกาะกินผิวกายจนสั่นสะท้าน วาปีมั่นใจเหลือเกินว่าจุดจบของเธอคงมาถึงในอีกไม่ช้า
“ถ้าหนูตาย... คุณพ่อคุณแม่มารับหนูไปอยู่ด้วยนะคะ”
เมื่อคำขอไม่ได้รับการตอบสนอง เธอจึงใช้เวลาที่เหลืออยู่ภาวนาถึงบุพการีผู้ล่วงลับทั้งสอง แม้ความทรงจำจะรางเลือน เพราะท่านจากไปตั้งแต่เธออายุได้เพียงสามขวบ แต่ความรัก ความอบอุ่นที่สลักอยู่ในความรู้สึก ก็ยังคงโอบอุ้มเธอ ราวกับอยู่ใกล้ๆ เสมอ
ตอนมีชีวิตไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากัน เมื่อต้องเดินทางสู่อีกภพภูมิ ก็ขอให้เธอได้สัมผัสความสุขที่ไม่เคยได้รับสักครั้งเถอะ...
“เชือกจะขาดแล้ว เร็วเข้า!”
“...”
เสียงคำรามกู่ก้องแทรกผ่านทุกๆ เสียง ดังแว่วให้ได้ยิน ทำให้เธอลืมตาโพลง และมองไปที่เชือกซึ่งอยู่ด้านบน ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เชือกมะนิลาที่ควรจะทนทาน แข็งแรงมากกว่านี้ ก็ขาดออกจากกัน
“กรี๊ด!” กรีดร้องได้เพียงอึดใจในขณะที่ร่วงลงสู่มหาสมุทร เมื่อร่างจมลึกไปในท้องทะเล น้ำเค็มๆ ที่โอบล้อมรอบตัว ก็ทะลักเข้าปาก เข้าจมูก จนแสบร้อน ปวดร้าวไปทุกความรู้สึก ในหัวอึงอล ใจเต้นแรง รู้สึกอึดอัดทรมานเหลือเกิน...
แต่... เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ขณะที่ดำดิ่งลึกลงไป เธอก็หยุดดิ้นรน เพราะรู้ว่าทำไปก็ไร้ความหมาย ชีวิตของเธอนับตั้งแต่จำความได้มาจนถึงบัดนี้ มันเหนื่อยมาพอแล้ว ควรแล้ว... ที่จะได้พักผ่อนชั่วนิรันดร์เสียที
‘คุณพ่อคุณแม่คะ... เราจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว หนูคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่เหลือเกิน... คิดถึงที่สุด...’
มันจบแล้ว...
ต่อไปนี้ไม่ต้องอดทน ไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไปแล้ว ความตายไม่ได้น่าหวั่นเกรงอย่างที่คิด การมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างอ้างว้าง ไร้จุดหมาย มีแค่ลมหายใจ แต่ต้องต่อสู้กับหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งถาโถมเข้ามาไม่เคยหยุดหย่อนต่างหาก ที่น่าหวาดกลัว...