รำไพ แม่ของมัชกรนั้นเป็นเด็กกำพร้า โตขึ้นมาภายในบ้านของครอบครัวนงนวล เมียของกำนันประโยชน์ พอนงนวลแต่งงานกับประโยชน์ ที่ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าวงการเมืองท้องถิ่น นงนวลก็พารำไพไปอยู่เรือนหอของตนเองกับสามี เป็นเด็กรับใช้ส่วนตัว
รำไพตอนนั้นอายุสิบสี่ พออายุสิบห้าถูกประโยชน์ข่มขืน โดยที่นงนวลไม่รู้ และรำไพก็ไม่กล้าบอกว่าตนเองถูกสามีของนายสาวข่มเหง กระทั่งรู้ตัวว่าตั้งท้องในตอนอายุ 17 เธอจึงหนีออกจากบ้าน เพราะกลัวว่านงนวลจะรู้ว่าท้องกับใคร
แต่เมื่อท้องโต ก็ไม่กล้าออกไปทำงาน หรือแม้แต่จะออกจากห้องเช่า กลัวพบเจอคนรู้จัก เงินเก็บก็หมด โทร. ไปขอความช่วยเหลือเรื่องเงินจากประโยชน์ ซึ่งอีกฝ่ายก็โอนให้ แต่ไม่เคยคิดจะมาหา เพราะกลัวเมียจับได้ ซึ่งนงนวลนั้นเป็นถึงหลานสาวของผู้มีอิทธิพลในท้องที่ ครอบครัวเป็นนักการเมืองท้องถิ่นมาหลายสมัย
หากประโยชน์ทำให้นงนวลไม่พอใจ โดยเฉพาะการมีเมียน้อยหรือมีชู้นั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่นงนวลรับไม่ได้ ประโยชน์กลัวว่าวันข้างหน้ารำไพกับเด็กในท้องที่กำลังจะเกิดมา จะทำให้ชีวิตที่กำลังโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพื่อเดินไปสู่ตำแหน่งกำนันสะดุด
เพราะประโยชน์นั้นมาจากครอบครัวคนธรรมดา ที่ได้แต่งงานกับนงนวล เพราะเคยเป็นบอดีการ์ดให้บิดานงนวลมาก่อน
ลุงอาคมที่เลี้ยงดูมัชกรมานั้น เมื่อก่อนเคยทำงานเป็นคนสวนในบ้านของครอบครัวนงนวล รู้จักรำไพมาตั้งแต่เด็ก ตอนหลังพาครอบครัวไปทำงานใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ รำไพติดต่อไปหาเมื่อตอนใกล้คลอด บอกเรื่องราวของตนเองที่ถูกประโยชน์ข่มเหงจนท้องให้รับรู้ เหมือนรู้ตัวว่าชะตาชีวิตตัวเองอาจไม่ได้อยู่ดูแลลูก
เพราะก่อนวันคลอดไม่กี่วัน รำไพบอกว่ามีคนย่องเข้ามาในห้องเช่าตอนดึก ดีที่ว่าเพื่อนข้างห้องแวะมาขอยาลดไข้ เพราะมีอาการป่วย คนร้ายจึงหนีออกไปทางระเบียง
พอถึงวันรำไพจะคลอด ลุงอาคมพร้อมด้วยภรรยาก็ตั้งใจมาเยี่ยมรำไพกับลูก ทว่ากลับมารับรู้ว่ารำไพตายเพราะตกเลือด ลุงอาคมขอดูศพจึงรู้ความจริง แต่ทางโรงพยาบาลกลัวเสียชื่อว่ามีคนไข้ถูกแทงตายในห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล เลยขอเสนอเงินจำนวนหนึ่งให้ เพื่อปิดปากลุงอาคมไม่ให้แจ้งความ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็มีความสนิทสนมกับครอบครัวของภรรยานงนวลอีก
ในตอนนนั้นลุงอาคมมองว่าถึงแจ้งความไปก็คงไร้ประโยชน์ เพราะที่บ้านเกิดนั้นครอบครัวนงนวล มีอิทธิพลและเงินครอบงำข้าราชการระดับล่างไปถึงสูง
การรับเงินจำนวนสิบล้าน สำหรับการเลี้ยงดูเด็กนั้นน่าจะเป็นทางออกที่ดีในตอนนั้น เพราะลุงอาคมเองก็ไม่อยากเสี่ยงเอาชีวิตตัวเองกับครอบครัวมาแลกกับการต่อสู้เพื่อชะตากรรมอันน่าเศร้าของรำไพที่ถูกประโยชน์ข่มเหง และอาจเป็นคนร้ายที่สั่งฆ่ารำไพด้วย
หลังจัดการงานศพแบบเงียบๆ ให้รำไพ และพาลูกของรำไพกลับกรุงเทพฯ ด้วยกัน ซึ่งลุงอาคมกับภรรยามีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ก็ช่วยกันเลี้ยงดูมัชกรมาอย่างดี
ในวันที่ลุงอาคมจะจากไปด้วยโรคร้าย ก็ได้บอกเรื่องการตายของแม่ให้มัชกรรับรู้ เพราะที่ผ่านรับรู้จากลุงอาคมแค่ว่า แม่ตกเลือดตายในวันคลอดเขา ส่วนพ่อนั้นลุงอาคมบอกว่าไม่รู้จัก เพราะแม่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร
ลุงอาคมบอกเขา เพราะรู้สึกผิดที่วันนั้นไม่กล้าสู้กับอำนาจของกำนันประโยชน์ รำไพจึงตายไปอย่างน่าสงสาร
มัชกรก็ได้แต่บอกลุงอาคมว่า
‘ลุงทำดีที่สุดแล้ว ขอบคุณที่เลี้ยงดูผมมาอย่างดี’ และมัชกรสัญญาจะดูแลป้ากำไร ภรรยาลุงอาคมไปตลอดชีวิต รวมทั้งพี่นิ่ม ที่ตอนนี้แต่งงานมีครอบครัวแล้ว
“เป็นไปได้ไหมที่จะรื้อคดีขึ้นมาทำใหม่” มัทนา ซึ่งมีพี่ชายเป็นตำรวจสังกัดกองปราบฯ ถามขึ้น
“คดีของแม่ไม้น่ะเหรอ” อรองค์ถาม
“ของพ่อแกด้วย”
“คดีถูกปิดไปนานแล้ว เพราะมันหาหลักฐานเชื่อมโยงไปยังคนทำไม่ได้ แต่ถ้ามีหลักฐานชัดเจนก็น่าจะรื้อคดีขึ้นมาทำใหม่ได้ แต่มันยากตรงไม่มีหลักฐานนี่แหละ” อรองค์บอก
“แล้วแม่ของไม้ล่ะ”
“แม่เราตาย มันนานเท่าอายุเราเลยนะ ไปแจ้งความตอนนี้มันคงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะศพแม่เราก็เผาไปนานแล้ว ไม่มีหลักฐาน เช่นการถ่ายภาพเก็บไว้เลย แถมโรงพยาบาลระบุการตายว่าตกเลือกจากการคลอดลูกอีก” มัชกรอธิบาย
“แต่เราว่านะ ถ้าเรื่องคดี เราไม่มีหลักฐาน แต่เราหาทางเล่นงานมันทางอื่นก็ได้ คนชั่วๆ มันย่อมทำเรื่องชั่วๆ ตลอดเวลาอยู่แล้ว” อรองค์ออกความเห็น ตอนยังเด็กจำได้ว่าย่าพิสมัยให้เธอลืมเรื่องนี้ คิดเสียว่าเป็นเวรกรรม คนที่ทำอาจเป็นคนที่พ่อกับปู่ภวัตเคยกระทำกับเขามาในชาติปางก่อน ตอนยังเด็กเธอก็คล้อยตามแบบเด็กเชื่อฟังผู้ใหญ่ ครั้นพอโตก็คิดว่าคนก่อกรรมทำชั่วควรรับผลในชาตินี้ ไม่มีชาติก่อน หรือชาติหน้าที่จะชดใช้
“จริงของแก” มัทนาเออออ
“ก่อนเปิดเรียน เราไปเที่ยวบ้านเกิดกันดีไหมไม้” อรองค์เอ่ยขึ้น
“ดี เพราะตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยกลับไปที่นั่นเลย”
“พวกแกสองคน อย่าคิดทำอะไรแผลงๆ นะโว้ย” มัทนาเอ่ยด้วยสีหน้ากังวล
“แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่ามิ้นท์ ฉันกับไม้เอาตัวรอดได้”
“เออ รู้ว่า แกสองคนเข้ายิม ชกมวย ฝึกเทควนโด้ แต่พวกชั่วมันชอบหมาหมู่โว้ย แถมสู้มือเปล่าไม่ได้ก็ใช้อาวุธ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า จะหลีกเลี่ยงการประทะให้ถึงที่สุด แกก็รู้ ฉันตัวเล็กนิดเดียว สู้ซึ่งหน้าฉันก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว”
“เออ ไม้ก็ดูแลเอิงด้วยนะ อย่าให้ทำอะไรเสี่ยงๆ”
“อือ” มัชกรรับคำสั้นๆ ตามประสาคนพูดน้อย แต่คิดเยอะ จริงๆ แล้วเขาอยากบอกให้มัทนาฝากอรองค์ให้ดูแลเขาด้วยซ้ำ เพราะถึงแม้เขาจะเป็นผู้ชาย ตัวใหญ่กว่าอรองค์ แต่เรื่องศิลปะการต่อสู้นั้นเขายังเป็นรองอรองค์ โดยเฉพาะมวย ซึ่งไม่แปลก เพราะ
อรองค์เป็นมวยมาตั้งแต่เด็ก
เห็นว่าลุงทิน อดีตนักมวย หัวหน้าคนงานในไร่เคยฝึกให้ตั้งแต่อรองค์เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ
“อะไรของแก จำไม่ได้เหรอว่าอาวิณห้ามแกกลับไร่ ถ้ายังไม่เรียนจบมหา’ ลัย” อารียาแย้งทันที เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว อรองค์บอกว่าจะใช้เวลาในช่วงก่อนเปิดภาคเรียนแรก ไปเยี่ยมบ้านเกิดพร้อมกับไม้
“ฉันไม่ได้จะกลับไร่ แค่อยากกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด”
“แต่มันแตกต่างกันยังไง”
“ก็ไม่ได้กลับไร่ไง ก็ไม่ได้ฝืนคำสั่งอาวิณเสียหน่อย” อรองค์ให้เหตุผล
“แล้วแกจะไปอยู่ไหนล่ะ”
“โอ๊ย มันมีที่พักเยอะแยะ แกลืมไหมที่นั่นก็เป็นเมืองท่องเที่ยวนะ”
“สรุป แกจะอยู่แค่ในเมือง ไม่ได้ไปใกล้ที่ไร่ใช่ไหม”
“ก็ไปวัดในหมู่บ้าน ไปเยี่ยมแม่กับพ่อ” ซึ่งเก็บอัฐิไว้ในโกฐที่วัด เหมือนชาวบ้านทั่วไปในหมู่บ้าน
“งั้นก็ตามใจแก” อารียาเข้าใจที่อรองค์จะอยากไปไหว้พ่อกับแม่
“อย่าให้อาวิณเจอแล้วกัน”
“แกก็อย่าบอกป้าอินนะ” อรองค์กลัวว่าอีกฝ่ายจะบอก
ภูวิณ
“อ้าว แล้วจะให้บอกยังไง”
“บอกว่าเราไปเที่ยวทะเลกับมิ้นท์ก็ได้” เพราะถ้าบอกไปกับมัชกร ป้าอินทุอรก็คงเป็นห่วง ไม่อยากให้ไปไหนกับเพื่อนผู้ชายอยู่ดี
“แล้วจะไปกี่วัน”
“ก็น่าจะอาทิตย์หนึ่ง”
“สรุปแกกับไม้ มิ้นท์มีอะไรกันหรือเปล่า เห็นสุมหัวกันคุยไรกันจริงจังตลอด”
“อือ ไม่มีไรหรอก ก็คุยทั่วไป”
“มีอะไรปิดบังฉันหรือเปล่า”
“ก็ไม่เชิง”
“เห็นฉันไม่ใช่เพื่อนเหรอ ถึงไม่ยอมบอก”
“ไม่ใช่น่า แต่ก็กลัวแกหลุดบอกป้าอิน”
“ในเมื่อพูดขนาดนี้แล้วก็บอกมาเลย ฉันสัญญาจะไม่บอกแม่” มันคงเกี่ยวกับอาวิณของเธอแน่นอน อรองค์ถึงกลัวว่าแม่จะบอกอาวิณ
“เรื่องการตายของแม่ไม้ เธอก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าจริงๆ แม่เขาถูกฆ่า ไม่ได้ตกเลือดตาย” อรองค์เคยเล่าให้อารียาฟังแล้ว
“อือ แล้วทำไมล่ะ”
“ไม้คิดว่าคนที่ทำคือกำนันประโยชน์”
“คนที่แกคิดว่าเขาอาจเป็นคนบงการฆ่าปู่วัตกับพ่อแกน่ะเหรอ”
“ใช่”
“แล้วไง พวกแกจะไปทำอะไรคนมีอิทธิพลแบบนั้นได้ ขนาดอาวิณยังทำอะไรไม่ได้ แล้วเด็กสองคนอย่างแกกับไม้จะทำอะไรมันได้ แถมจะพาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย” พอรู้แล้วสีหน้า
อารียาก็เต็มไปด้วยความกังวล
“ฉันกับไม้ ไม่ได้จะไปสู้อะไรกับพวกมันนะ แค่อยากไปสืบอะไรเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับกำนันประโยชน์”
“สืบไร”
“ก็อยากรู้ว่ามีธุรกิจไรบ้าง ทำนองนี้”
“อันนั้นถามอาวิณก็ได้ไหมล่ะ”
“แกก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะขนาดคุยกันปกติ เขาก็ไม่เคยโทร. หาฉันเลย หน้าก็ไม่เอามาให้เห็น” ตั้งแต่พามะลิมาจนถึงตอนนี้ มันสามปีแล้วที่ภูวิณหายไปจากชีวิตเธอ และเธอก็ทำเหมือนตัวเองหายไปจากชีวิตเขาเช่นกัน
แม้ลึกๆ จะยังคิดถึง โหยหาทุกวัน แต่ก็ต้องข่มกลั้นไว้ อดทนต่อความรู้สึกเหล่านั้น บอกตัวเองเสมอ อย่าไปเป็นมารความสุขของเขา
ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงวัยเก้าขวบ ที่เที่ยวประกาศไปทั่วไร่ว่าโตมาจะเป็นเจ้าสาวของเขาอีกต่อไป
อรองค์วันนี้ อายุ 18 ย่าง 19 และกำลังจะเข้าเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย
เธอเติบโตพอจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น ไม่ทำตัวเป็นภาระคนอื่น และไม่จมดิ่งกับความหวังที่มองไม่เห็นหนทางจะไขว่คว้าอีกต่อไป ที่สำคัญจะไม่ลืมคำสอนของคุณย่าพิสมัย ที่เคยบอกเธอว่า
ความรัก คือการมองเห็นคนที่เรารักมีความสุข
แม้จะยาก แต่เธอก็ยังพยายามในทุกวัน
::::::::::::::::::