ร่างเล็กลากตะกร้าสำหรับใส่ผักใบใหญ่ไปตามร่องแตงกวาด้วยความเหน็ดเหนื่อย แดดเริ่มสาดแสงแรงขึ้นแต่ก็ยังไม่ร้อนมากนัก น้ำค้างที่พร่างพรมลงมาทั้งคืนยังเกาะพราวอยู่โดยทั่วยังไม่แห้งเหือดระเหยไปหมด แต่อีกไม่ช้าหล่อนคงร้อนจนทำงานไม่ได้ ทั้งที่ยังไม่เสร็จภารกิจตามที่ได้รับคำสั่งมา
วันนี้เป็นวันเสาร์แท้ๆ แต่หล่อนกลับต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพราะต้องมาเก็บแตงกวาในร่องสวน ที่สำคัญหล่อนต้องทำเพียงคนเดียวให้เสร็จก่อนเที่ยงวัน เพราะต้องนำส่งในตลาดตามออเดอร์ของพวกแม่ค้าให้ทันเวลา เนื้อทองรู้ดีว่าแทนแกล้งหล่อน เขาต้องการเอาคืนเรื่องสาคูไส้หมูเมื่อวาน และหม่อนก็ไม่ได้ทำให้เขาใหม่ตามที่คิดไว้ในตอนแรก เพราะติดธุระด่วนต้องรีบกลับ
แทนจึงแค้นหล่อนฝังหุ่นแสร้งบอกกับพ่อของหล่อนว่าจะให้ฝึกงานในไร่ เพื่อจะได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แน่นอน...ว่าพ่อต้องเห็นดีเห็นงามเป็นอย่างยิ่ง
“พ่อจ๋า!! เนื้อทองเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!!” มือเล็กยกขึ้นปาดเช็ดเหงื่อก่นบ่นไม่ขาดปาก หล่อนสวมเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวและสวมหมวกชาวสวนพะรุงพะรังไปทั้งตัว เด็กหญิงรู้สึกว่าหล่อนรู้สึกอึดอัดและร้อนมากขึ้นก็เพราะเสื้อผ้าที่บิดาเตรียมให้ใส่นี่แหละ
ดังนั้น...หล่อนจึงถอดทุกอย่างที่ทำให้รุ่มร่ามเกินจะทนเหลือเพียงเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาวยาว แม้แต่รองเท้าบูตก็ถอดทิ้งเสียด้วย เด็กหญิงมองแตงกวาในตะกร้าที่เต็มแล้วยังไม่ถึงสิบตะกร้าเลย หล่อนต้องเร่งมือให้เร็วกว่าเดิมเพื่อให้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นแทนคงหาเรื่องให้หล่อนต้องเหนื่อยและเจ็บตัวหนักกว่าเดิม
“เอาวะเนื้อทอง...เสร็จเร็วก็ได้พักเร็ว” หล่อนให้กำลังใจตัวเองแล้วมุ่งมั่นลากตะกร้าเดินเก็บผลแตงกวาต่อไปเรื่อยๆ พลางร้องเพลงปลุกขวัญให้ตัวเองไม่ต้องหงอยเหงานัก
แต่เสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังใกล้เข้ามาก็ทำให้สมาธิของเด็กน้อยหันเห เพราะโดยปกติแล้วในวันหยุดเช่นนี้หล่อนก็ต้องได้ออกไปวิ่งเล่นกับคนอื่นๆ เหมือนกัน ด้วยความเป็นเด็กหล่อนก็อดที่อยากไขว้เขวไม่ได้
“มาเร็วๆ วันนี้เราไปเล่นตรงที่เขาขุดดินใหม่กันดีกว่าไปช่วยกันสร้างปราสาทนะสายๆ ค่อยกลับไปกินข้าวกัน” เสียงเด็กผู้ชายเอ่ยถึงแผนการของเช้าวันนี้ เนื้อทองบุ้ยปากแล้วถอนหายใจเพราะตัวเองต้องมาทำงานงกๆ เหมือนผู้ใหญ่ทั้งที่หล่อนก็อยากไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ด้วย
เด็กๆ ในไร่มีหลายคน ส่วนมากก็เป็นลูกๆ หลานๆ ของคนงานที่นี่ มีบางส่วนมาจากในหมู่บ้านแต่จะเป็นช่วงเย็นๆ ถึงจะยกพวกมารวมตัวเล่นกันสนุกสนาน มีบ้างที่เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกระทบกระทั่งตามประสา โกรธๆ ดีๆ แบ่งพรรคแบ่งพวกก็มีบ่อย แต่ท้ายที่สุดก็วนเวียนอยู่ในไร่นี่แหละ
เพราะพื้นที่กว้างขวางและเจ้าของก็ไม่หวง ปล่อยให้เด็กทุกคนได้แวะเวียนเข้ามาวิ่งเล่นกัน เพราะเขาเชื่อว่าการได้คลุกคลีกับธรรมชาติคือการเรียนรู้โดยอัตโนมัติ เด็กๆ จะค่อยๆ ซึมซับวิถีชีวิตโดยไม่ต้องจัดเป็นโครงการอบรมใดๆ
แต่กระนั้นก็มีขอบเขต...สถานที่บางแห่งก็ไม่อนุญาตให้เด็กเข้าไปวุ่นวาย
“วันนี้ในครัวทำผัดหมี่ด้วยเว้ยของชอบเลย ต้องเร่งมือหน่อยนะทุกคน” เสียงตะโกนโหวกเหวกของกลุ่มเด็กที่เดินผ่านสวนแตงกวาแว่วเข้าหู เนื้อทองถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก ด้วยความเสียดายที่ไม่ได้ออกไปเล่นกับเพื่อน หล่อนออกจากร่องแตงมายืนมอง เมื่อทุกคนเดินลับหลังไปแล้ว บางอย่างทำให้เด็กหญิงต้องขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพยายามเพ่งตามองอย่างสังเกต
“นั่นมันหมวกใบโปรดของนายนี่...” หล่อนบ่นพึมพำ ปล่อยเชือกที่ผูกกับตะกร้าเพื่อใช้ลากโดยไม่รู้ตัว แล้ววิ่งปรี่ตามกลุ่มเด็กหกเจ็ดคนไปพร้อมตะโกนเรียก
“ต้น! ไอ้ต้น!หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“...” ทุกคนหันหลังกลับมามองหล่อน ร่างเล็กวิ่งไปหยุดก้มหอบตัวโยนตรงหน้าเด็กเหล่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินมาหยุดอยู่ที่นัดหมายพอดี บริเวณนี้เป็นที่ดินซึ่งกำลังขุดไถปรับสภาพ เด็กๆ ชอบมาเล่นเพราะดินร่วนดี พอฝนตกก็มีบ่อโคลนบ่อตมเพิ่มความหรรษาให้กับกิจกรรมในวัยเยาว์
“นั่นหมวกของนาย แกเอามาจากไหน เอามาใส่ได้ยังไงรู้ไหมนายหวงมาก” หล่อนต่อขานปนหอบแล้วชี้นิ้วไปที่หมวกคาวบอยซึ่งเด็กชายคนหนึ่งสวมไว้บนศีรษะ
“ของใคร...นี่ของข้าเว้ย! พ่อข้าซื้อมาให้” เด็กชายชื่อต้นตอบกลับทันควัน
“โกหก! หมวกนั้นของนายแทนเราจำได้ ไอ้ขี้ขโมยเอาคืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” เด็กหญิงยืดตัวขึ้นสองมือเท้าสะเอวสีหน้าขึงขังบึ้งตึง ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
“โหย...อีเนื้อทอง หมวกแบบนี้ใครก็มีได้ไม่จำเป็นต้องขโมยหรอก ดูถูกข้าเกินไปแล้วมั้ง”
“ไม่จริง! หมวกนั่นพ่อของนายซื้อให้นายตอนอยู่เมืองนอก แล้วก็ราคาแพงมากด้วยเราจำได้มันอยู่ในห้องของนาย แกไปเอามาได้ยังไง” เนื้อทองไม่ยอม หล่อนจำได้แม่นยำเพราะหมวกใบนั้นเป็นของสำคัญที่แทนรักและหวงแหนเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นของดูต่างหน้าจากบุพการีของเขา
และเท่าที่หล่อนรู้จากปากบิดา...มันเป็นหมวกคาวบอยที่หายากใบหนึ่ง มีราคาแพง ห้ามแตะต้อง
“อีเด็กนี่มั่วชิบ...อยากได้หน้าถึงขนาดใส่ร้ายเพื่อนกันเลยเหรอวะ”
“ไม่ได้ใส่ร้ายเว้ย! แกมันไอ้เด็กโกหก ขี้ขโมย ถ้านายรู้เข้านายเอาแกตายแน่”
“อีแค่หมวกใบเดียว โธ่...” ต้นแบะปากแล้วส่ายหน้า ไม่ได้เชื่อในคำจาของเนื้อทองแม้แต่น้อย กลับจับหมวกใบนั้นคว้างทิ้งไปด้านหลังของตัวเอง หมวกปลิวตามแรงไปตกในแอ่งที่มีน้ำโคลนท่วมขัง เนื้อทองตาลุกวาวด้วยความโกรธจนหูตาอื้ออึงไปหมด
“ไอ้ต้น!!!”
“เฮ้ย!!”
เนื้อทองวิ่งเข้าไปผลักเด็กชายต้นจนล้มหงาย หลังกระแทกลงพื้นที่เป็นดินโคลนแฉะชื้น เสื้อและกางเกงเปื้อนสกปรกเกือบตั้งตัว เด็กชายอ้าปากเหวอทั้งคาดไม่ถึงและโมโหการกระทำของเนื้อทองเช่นกัน
“ทำไมต้องเล่นแรงขนาดนี้ด้วยเนื้อทอง ก็แค่หมวกใบเดียว”เด็กคนอื่นๆ ในกลุ่มพากันแสดงความเห็น ซึ่งส่วนมาก็เออออลงความเห็นว่าเนื้อทองเป็นฝ่ายผิด
แน่ล่ะ...เพราะส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยชอบหล่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องจากบิดาของหล่อนเป็นที่ไว้ใจของแทน สนิทกันเหมือนพี่น้อง ถึงแม้ว่าหล่อนจะถูกแทนลงโทษตักเตือนอยู่บ่อยๆ แต่นั่นก็เพราะได้รับความเมตตากว่าใครเพื่อน ได้อยู่ใกล้ชิดถูกเรียกใช้ มีของติดไม้ติดมือมาให้อยู่เสมอ
ลูกคนงานในไร่จึงมองว่าเนื้อทองได้รับสิทธิ์พิเศษกว่าคนอื่น ถึงจะเล่นด้วยกัน กินเที่ยวด้วยกันอยู่ทุกวันแต่เมื่อมีปมขัดแย้งมักไม่มีใครเลือกอยู่ข้าง ด้วยมีความหมั่นไส้อยู่ลึกๆ นั่นเอง
“แต่มันเป็นหมวกที่นายรักมาก แล้วไอ้ต้นมันก็ไม่ยอมรับผิด ยังโยนหมวกนายทิ้งอีก”
“ถ้านายรักมากทำไมพวกเราไม่เคยเห็นนายใส่เลย หรือมีแต่แกที่เป็นคนพิเศษนายให้ดูคนเดียว หือ! เนื้อทอง”
“ผลักข้าทำไมวะเนื้อทอง! ไอ้เด็กกำพร้าแม่” ต้นลุกขึ้นมาตรงเข้าไปผลักไหล่เนื้อทองแล้วตะคอกใส่
“อย่ามาลามปามถึงแม่นะเว้ย!” เนื้อทองไม่ยอม ใช้มือขย้ำหน้าต้น เพื่อนที่เหลือเข้ามาช่วยห้ามแต่ทั้งคู่ต่างก็ไม่ยอมรามือให้ ต้นง้างหมัดต่อยเนื้อทองแต่เด็กหญิงก้มหลบทัน แล้วแตะเท้าเข้ากลางเป้าของอีกฝ่าย
“โอ๊ย!! ไอ้เนื้อทอง!” ต้นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ล้มงอตัวกลิ้งเกลือกลงบนพื้น เด็กชายสองคนพยายามจับตัวเนื้อทองให้หยุดเมื่อเห็นหล่อนกระโดดเข้าไปจะทำร้ายซ้ำ
“ไอ้ภาษไอ้ยงถอยไปนะ!” เด็กหญิงตะคอกใส่สองหนุ่มน้อยดวงตาแดงก่ำ หล่อนเกลียดนักใครที่พาดพิงไปถึงผู้ให้กำเนิดของหล่อนถึงแม้จะเป็นกำพร้าแต่พ่อแม่ก็คือผู้มีพระคุณเหนือเกล้าที่ใครจะมาแตะต้องไม่ได้
รองลงมาก็คือนายแทน...
“จับมันไอ้ภาษ! วันนี้ข้าจะสั่งสอนให้มันรู้สักทีว่าที่นี่ใครใหญ่”
“อย่าวิ่งแจ้นไปฟ้องพ่อละกันเนื้อทอง!!” กลุ่มเด็กหัวเราะร่วนแล้วล้อมเนื้อทองเอาไว้ เหลือแต่เด็กผู้หญิงสองสามคนที่ไม่กล้าทำอะไรได้แต่ยืนมองด้วยความตระหนก ต้นยืนขึ้นสีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น กัดฟันยิ้มรอชัยชนะแค่เอื้อม พวกตนมีมากกว่าอย่างไรเสียเด็กหญิงตัวคนเดียวก็ต้องเสียเปรียบวันยังค่ำ
แต่!...
“โอ๊ย!!” โดยที่ใครไม่คาดคิด เนื้อทองก้มลงกำดินปนทรายปนน้ำขึ้นมาซัดใส่ผู้ชายสองคนตรงหน้าโดยไม่ได้ตั้งตัว เศษดินเศษทรายเข้าตาเด็กชายจนร้องครวญไปตามๆ กัน สองคนที่เหลือรวมถึงต้นกรูเข้าหา เนื้อทองจึงถีบไปที่หน้าท้องของต้นแล้วผลักคนที่เจ็บตาอยู่เข้าใส่เต็มแรง
“รังแกผู้หญิงเหรอ! ชอบรังแกคนอ่อนแอกว่าใช่ไหม!” คราวนี้เด็กผู้ชายสามคนลงไปนอนกองซ้อนกันอยู่บนดิน ส่วนอีกคนก็ยังเดินวนปากร้องไปพลางสองมือปิดหน้าด้วยความเจ็บปวดเนื้อทองเข้าลากตัวแล้วเหวี่ยงให้ล้มลงไปทับอยู่รวมกัน แล้ววิ่งกระโดดลงกระทืบซ้ำ
“อย่ามาว่าแม่เรา! จำไว้ด้วย!!” หล่อนตะโกนเสียงเข้ม หายใจหอบแรงทั้งโกรธทั้งเหนื่อย แล้วก็หันหลังเดินไปเก็บหมวกของนายแทนที่อยู่ในหลุมโคลนขึ้นมาปัด แต่หมวกก็เปื้อนเปียกหมดแล้วทั้งใบอยู่ดี
“เนื้อทองจะเก็บไปให้นายเอง เนื้อทองรู้ว่านายรักมาก” หล่อนเอ่ยเสียงแผ่ว น้ำตาระรื่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เด็กที่มีปมด้อยเสียแม่ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้อย่างหล่อน เข้าใจดีว่าหากของต่างหน้าพ่อแม่ถูกทำลายมันเจ็บปวดแค่ไหน สิ่งของไม่ได้สำคัญ แต่ความรู้สึกต่างหากที่ยิ่งใหญ่เทียบค่าไม่ได้ หล่อนมีรูปถ่ายของแม่อยู่ใบหนึ่งที่เก็บติดตัวไว้ตลอด จนตอนนี้มันเก่ามากแล้วหล่อนก็ยังหวงแหน นายแทนเองก็คงไม่ต่างกัน
“แสบนักนะเนื้อทอง...คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ!!”
“...” เนื้อทองหันขวับไปตามเสียง หล่อนเห็นต้นกับเพื่อนๆ กำลังดาหน้าเข้ามาด้วยท่าทีคุกคาม ทุกกำมือแน่น เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยดินโคลนเพราะโดนหล่อนตะลุมบอนเมื่อสักครู่
เด็กหญิงก้าวถอยหลังครุ่นคิด หล่อนรู้ตัวว่าคราวนี้คงเล่นงานพวกต้นทีเดียวหลายคนพร้อมกันได้ยาก รังแต่จะเจ็บตัวเปล่าๆ หล่อนจึงตัดสินใจวิ่งหนี โดยในมือยังคงกอดหมวกคาวบอยเอาไว้แนบแน่น
“เฮ้ย! อย่าหนี! ขี้ขลาดนี่หว่า พวกเราตาม!!!” ต้นกับพวกวิ่งตามเนื้อทองที่นำหน้าไปลิ่วๆ ทั้งเจ็บใจเจ็บตัวที่ถูกเด็กผู้หญิงตัวนิดเดียวเล่นงานเสียยับเยิน
เนื้อทองวิ่งลัดผ่านสวนแตงที่หล่อนเก็บผลเมื่อสักครู่ ก้มลงหยิบแตงในตะกร้าติดมือไปด้วยแล้วขว้างใส่พวกที่ตามหลังมาติดๆ โดนบ้างไม่พลาดบ้าง แต่ก็พอทำให้คู่อริชะลอความเร็วลง ภาษเสียหลักล้มทับไม้ค้างเถาแตงจนพังครืนทั้งแถวแต่ก็รีบลุก แล้วดึงไม้ไผ่ที่ใช้ปักหลักทำค้างปาใส่เนื้อทองบ้าง
ต้นกับยงซอยฝีเท้าถึงตัวเนื้อทองพอดี แต่เด็กหญิงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนเคย เกิดการดึงกระชากชกต่อยอุตลุด เนื้อทองกัดหูต้นเต็มแรงแล้วผลักเซไปล้มทับไม้ค้างแตงอีกคน แล้วสะบัดยงที่ดึงเสื้อหล่อนจนขาดแล้ววิ่งหนีก่อนที่ภาษจะลุกวิ่งตามมาติดๆ
หล่อนสาวเท้าเร็วไม่คิดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด หล่อนไม่ได้คิดระวังตัวเพราะคิดแต่จะหนีจึงชนเข้ากับบางอย่างเต็มแรง ร่างเล็กกระเด็นหงายหลังตีลังกากลิ้งลงไปกับพื้นดิน
“โอ๊ย...” หล่อนโอดครวญ หลับตาปี๋ใช้มือจับก้นเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด แล้วจึงค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ลืมตาขึ้นมองสาเหตุที่ทำให้หล่อนต้องตกอยู่ในสภาพนั้น
“นะ...นายแทน”
“เธออีกแล้วเหรอ! เนื้อทอง!”
“นาย! เนื้อทองเปล่านะ” เด็กหญิงรีบปฏิเสธทันควัน ดวงตาดุกร้าวของนายแทนมองผ่านตัวหล่อนไปด้านหลังด้วยสีหน้าอึ้งๆ แล้วหลับตาลงพลางส่ายศีรษะ เนื้อทองเอี้ยวตัวหันหลังมองตาม...
เด็กชายทั้งสามคนเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามายืนอยู่ไม่ห่างจากหล่อน เนื้อตัวสกปรกเปื้อนโคลนดูไม่จืด แตงกวาล้มระเนระนาดเกือบทั้งแปลงเพราะถูกล้มทับ จนไม้ที่ใช้ทำค้างเอนหักไปเป็นทอดๆ แตงกวาบางส่วนในตะกร้าเกลื่อนพื้น สภาพเหมือนสมรภูมิรบอันดุเดือด
“มันใช่ที่เล่นของพวกเธอไหม!!”
“ขอโทษครับนาย คือพวกเรา คือว่า...”
“ไอ้ต้นมันขโมยหมวกของนาย เนื้อทองจะแย่งคืน เนื้อทองไม่ผิดนะคะ” เด็กหญิงรีบแย้ง
“ไม่จริงครับ! พวกเราไม่ได้ทำ เนื้อทองนั่นแหละที่หาเรื่องก่อน”
“หมวกอะไรกัน!” ชายหนุ่มร่างใหญ่ยืนเท้าสะเอวกัดฟันกรอด พยายามระงับอารมณ์ไม่ให้จับพวกเด็กๆ หักคอคามือ
“ก็หมวก อ้าว...” เนื้อทองมองซ้ายมองขวา แล้วกระโดดขึ้นยืนเมื่อไม่มีสิ่งของดังกล่าวอยู่ในมือแล้วหล่อนหมุนตัวกวาดสายตามองรอบๆ
“พวกแกแย่งเอาไปโยนทิ้งแล้วใช่ไหม ไอ้ต้น! เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!! ร่างเล็กปรี่เข้าไปหากลุ่มเด็กชายด้วยท่าทีขึงขัง หล่อนแน่ใจว่ากอดหมวกเอาไว้แน่น แล้วจู่ๆ มันหายไปได้ยังไง ตอนไหน...
“หยุดได้แล้ว พอที!!”
“นาย...” หล่อนหันกลับมาตามเสียงตะคอก หน้าหงอยก้มงุดเพราะรู้ว่าเขากำลังโกรธจัด มันก็สมควร...เพราะแตงกวาทั้งแปลงเละไม่มีชิ้นดี งานที่มอบหมายให้หล่อนทำก็ยับเยินไม่ต่างจากสภาพร่องแตง
“มานี่!!พวกเธอก็ด้วย ตามมาให้หมด!”
“โอ๊ยนาย! นาย! เนื้อทองกลัวแล้ว นายปล่อยเนื้อทองนะ”
“เด็กอะไรดื้อเหมือนลิงเหมือนค่าง!” ชายหนุ่มปรี่เข้าไปกระชากแขนเนื้อทองแล้วลากพาเดินกลับบ้านพัก เนื้อทองขืนตัวสุดฤทธิ์เขาก็ลากหล่อนไปทั้งอย่างนั้น หากมาช้ากว่านี้สักครึ่งชั่วโมง เห็นทีว่าไร่ทั้งไร่คงพังพินาศหมดแน่แท้ เขาไม่น่าไว้วางใจให้เนื้อทองทำงานเพียงลำพังเลย
“นาย! เนื้อทองเจ็บ”
“ไม่ต้องโวยวาย! ฉันต้องจับเธอล่ามโซ่ขังกรงใช่ไหมเนื้อทอง ถึงจะหลาบจำสักที”
“โอ๊ย!” แต่เนื้อทองไม่ผิดนะนาย เนื้อทองจะเอาหมวกนายคืนจากไอ้ต้น ไอ้ต้นมันขโมย!”
“แล้วไหนล่ะหมวก! เดี๋ยวนี้ริอ่านโกหกด้วยเหรอ” ร่างใหญ่เดินดุ่มๆ ไม่ได้หันหลังมองเนื้อทองที่ถูกลากกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามแรงของเขา
“ไม่ได้โกหกนะนาย!!” หล่อนเถียงกลับเสียงไม่ตกแม้แต่น้อย
“ยังจะเถียง!”
“เนื้อทองไม่ได้เถียง เนื้อทองพูดความจริง”
“เนื้อทอง!” แทนหยุดชะงัก สะบัดมือจากการจับกุมแขนเล็ก ใบหน้าคมกร้านแดงก่ำด้วยความโกรธที่เด็กหญิงต่อปากต่อคำไม่ยอมลดราวาศอก หล่อนทั้งดื้อ ทั้งต่อต้านแล้วก็เถียงคอเป็นเอ็นไม่เคยยำเกรงเขาเลย
“หมวกใบโปรดของนาย...”
“หยุด!! บอกให้หยุด!” ชายหนุ่มตะคอกเสียงเข้ม หายใจหอบ ในอกร้อนรุ่มปั่นป่วน เช้ามาก็ต้องมาเจอปัญหาชวนปวดหัวจากเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มันเหมือนว่าเขาไม่สามารถควบคุมเด็กคนนี้ให้อยู่ในกฎระเบียบได้เลย แล้วอย่างนี้จะมีใครที่ไหนมาให้ความเคารพยำเกรง แค่เด็กหญิงคนเดียวก็ยังเอาไม่อยู่...