สำนักศึกษาหลวง
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกเจ็ดวัน ในที่สุดก็ถึงเวลาเปิดเรียนของสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่
ณ สำนักศึกษาหลวงซ่างกู่
หลินซีเดินทางมาถึงยังหน้าทางเข้าของสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พอมาถึงยังหน้าทางเข้า ก็พบศิษย์ใหม่ของสำนักกำลังยื้อแย่งหยิบอาวุธปราณที่แจกหน้าทางเข้าของสำนักอย่างอลหม่าน
อาวุธปราณคืออาวุธที่มีการลงอักขระกำกับ เป็นการกักเก็บพลังปราณไว้ในอาวุธ ทำให้สามารถใช้ลมปราณออกมาได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ลมปราณภายในร่าง
“ศิษย์ใหม่ที่หยิบอาวุธประจำกายเสร็จแล้ว ขอให้ไปรวมตัวกันที่ลานกว้างของสำนักชั้นนอก” เสียงตะโกนดังก้องของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง หากดูจากการแต่งกาย…เขาน่าจะเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่แห่งนี้
ศิษย์ใหม่ที่หยิบอาวุธประจำกายของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินผ่านประตูทางเข้าสำนักไป และมุ่งตรงไปยังลานกว้างของสำนักชั้นนอกทันที
ณ ลานกว้างของสำนักชั้นนอก
“ยินดีต้อนรับศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่ทุกท่าน…”
พูดยาวเหยียดเกินไปแล้ว เมื่อไหร่จะกล่าวจบกัน… หลินซีครุ่นคิดอยู่ในใจพลางยกมือปิดปากด้วยความง่วง
หลินซีขณะนี้อยู่ในชุดอาภรณ์สีฟ้า ที่หน้าอกข้างซ้ายติดเข็มกลัดเป็นรูปสัญลักษณ์ดอกบัวสีฟ้าคราม บ่งบอกว่านางได้รับการเข้าเรียนเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของสำนัก ทั้งยังเป็นห้องเรียนสำหรับสามัญชนเท่านั้น
ระดับของศิษย์ที่นี่จะแบ่งเป็นสามระดับ ได้แก่…
ดอกบัวสีทอง คือ ห้องเรียนของผู้มีพรสวรรค์สูงส่ง ผู้ที่ได้รับเข็มกลัดดอกบัวสีทองจะได้รับโอกาสศึกษาทุกอย่างในหอตำรา
ดอกบัวสีเงิน คือ ห้องเรียนของชนชั้นสูงที่มีพรสวรรค์ไม่สูงมากนัก จะได้ศึกษาความรู้ในหอตำราบางส่วน และจะได้เรียนวิชาสรรพาวุธและการต่อสู้เป็นพิเศษ
ดอกบัวสีคราม คือ ห้องเรียนของสามัญชนที่มีพรสวรรค์ต่ำโดยมักจะได้เรียนวิชาเกี่ยวกับการป้องกันเป็นส่วนใหญ่ จะไม่ได้รับสิทธิในการเข้าหอตำราเพื่อเรียนรู้
หลังจากจบการบอกรายละเอียดต่างๆ ของสำนักจากอาจารย์ท่านหนึ่ง หลินซีเดินออกมาจากลานกว้างทันที ทว่าเดินออกมาได้ครู่เดียวเผอิญพบกับคนที่ไม่อยากจะเจอหน้าเสียได้
“หลินซี…” เสียงแสบหูของพี่สาวสุดที่รักอย่างหลินฮวาดังขึ้นที่ด้านหลัง
ให้ตายเถอะ…ข้าจะไปนอน
“ข้าขอท้าประลองกับเจ้า ถ้าเจ้าแพ้ออกจากสำนักศึกษาหลวงอันทรงเกียรตินี้ไปซะ ที่นี่ไม่เหมาะกับคนไร้ค่าเช่นเจ้า”
วันแรกของการเข้าเรียนในสำนัก ก็โดนหาเรื่องเอาซะแล้ว…
หลินซีกำลังสับสน
อยู่ๆ หลังจากเข้าสำนักศึกษา ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น
พี่สาวที่ไม่เคยได้คุยกันตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน อยู่ๆ ประโยคแรกที่พูดด้วยกลับไม่ใช่คำทักทายดั่งเช่น “วันนี้อากาศดีนะน้องสาวคนสวย…” หรือ “ไม่ได้เจอกันนานเลยน้องสาวสุดที่รักของพี่ ยินดีด้วยที่ได้เรียนสำนักเดียวกัน”
กลับกลายเป็นการท้าประลองกันเสียได้ ทั้งยังจะต้องออกจากสำนักศึกษาอีก
“.....” คิดว่าอยากเรียนที่นี่มากนักหรือไง?
“รักษามารยาทด้วยพี่รอง…” หลินซีตอบกลับไปด้วยถ้อยคําสุภาพ เออ…กระดาษที่อยู่ในมือนั่นมันอะไร?
หลินฮวามีสีหน้าเขียวคล้ำพลางจ้องมองกระดาษในมือแวบหนึ่ง จากนั้นจึงกระแอ่มสองสามครั้ง จากนั้นจึงกล่าวออกมา “เจ้าเป็นถึงคุณหนูแห่งสกุลหลิน ไม่กล้าประลองกับพี่สาวคนนี้หรืออย่างไร? ถ้ากลัวก็รีบออกจากสำนักไปเสีย…”
“ท้าประลอง? ทำไมข้าจะต้องรับคำขอท้าประลองของท่านพี่ด้วย?” หลินซีถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย มีเหตุผลอะไรที่จะต้องประลอง? ด้วยนิสัยของนางหากไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการประลอง ไม่มีทางเด็ดขาดที่จะลงไปประลองโดยไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน
“คนอย่างเจ้าไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธการประลองของข้า ไปเจอกันที่สนามประลองเดี๋ยวนี้…” หลินฮวากล่าวเสียงเดือดดาลพลางชี้หอกสีแดงเพลิงที่เบื้องหน้าหลินซี
หลินซีมีสีหน้ามึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกลับกันก็เกิดเรื่องฮือฮาขึ้นในหมู่ศิษย์ใหม่ ‘ คุณหนูหลินฮวา องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง ’กำลังท้าประลอง ‘ คุณหนูหลินซี ’ ศิษย์ใหม่ของสำนักห้องบัวสีคราม เดิมพันกันด้วยการออกจากสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วราวกับโลกระบาดก็มิปาน…
“คุณหนูทั้งสองจากตระกูลหลินกำลังจะสู้กัน รีบไปแจ้งอาจารย์ฝ่ายนอกเร็ว”
เดี๋ยว…ข้ายังไม่ได้ตอบรับคำท้าประลองเลยนะ!
“พวกเรารีบไปทีสนามประลองกันเร็ว ประเดี๋ยวจะมีการประลองดุเดือดของคุณหนูสกุลหลิน” เหล่าศิษย์เก่าและศิษย์ใหม่ที่เป็นศิษย์ฝ่ายนอกต่างกรูไปที่สนามประลองอย่างพลุ่งพล่าน
“.....”
หลินซีได้ถอนหายใจอย่างเอือมระอาพลางยกมือยอมแพ้ต่อความพยายามขอท้าประลองของหลินฮวาอย่างช่วยไม่ได้
“จะยอมประลองด้วยก็ได้ ทว่าท่านพี่ควรเพิ่มข้อเสนอเสียหน่อย หากน้องเป็นฝ่ายชนะ…” หลินซีเสนอข้อคิดเห็นนี้ให้แก่หลินฮวา
“เพ้อฝันอยู่หรืออย่างไร? อย่างไรเจ้า…ก็ไม่มีทางชนะข้าได้ ช่างเถอะ…เอาเป็นว่าถ้าเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะออกจากสำนักศึกษาหลวงและยกสิ่งนี้ให้” หลินฮวากล่าวขึ้นพร้อมชูเข็มกลัดสัญลักษณ์บัวสีทองสามกลีบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“นั่นคือ?” หลินซีขมวดคิ้วเป็นปมอย่างสงสัย
“เข็มกลัดดอกบัวสีทองสามกลีบ สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระในหอตำรา เป็นอภิสิทธิ์จากการประลองของข้าเมื่อปีที่แล้ว ในฐานะที่ชนะการประลองอันดับหนึ่งของศิษย์ฝ่ายนอก” หลินฮวาเอ่ยด้วยสีหน้าภาคภูมิใจพร้อมพรรณาเกียรติยศของตนเอง
แลเห็นหลินฮวาพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ หลินซียิ้มให้เล็กน้อย เพราะตัวนางในอดีตก็ภาคภูมิใจในฝีมือของตนเองเช่นเดียวกัน นางมั่นใจในฝีมือของตนเองพอสมควร ทั้งยังหยิ่งทรนงในศักดิ์ศรีเสียด้วย
แต่นั้น…ก็เป็นเมื่อก่อนล่ะนะ ตอนนี้หลินซีต้องการใช้ชีวิตสงบ ไม่ต้องการโดดเด่นและเป็นที่สนใจมากนัก
“เก่งมากเลย ท่านพี่” หลินซีชมกลับไป ยิ่งทำให้หลินฮวาหน้าบานใหญ่
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าน่ะ… เดี๋ยว!…อย่ามาเบี่ยงเบนประเด็นนะ ตอบรับคำท้าประลองมาซะดีๆ”
ฮือ….ดูจากสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา ทั้งยังแสดงอารมณ์ออกมาตรงๆ ก็ดูไม่น่าจะเป็นเด็กเลวร้ายอะไรนี้
“เออ…ท่านพี่คิดอย่างไร? ถึงมาท้าประลองกับศิษย์ใหม่อย่างน้อง” หลินซีถามกลับไปอย่างมีนัยยะแอบแฝง
หลินฮวายืนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา “อ๋อ…ท่านพี่เสวี่ยนกงบอกว่า ‘ ถ้าท้าประลองกับคนไร้ค่าอย่างหลินซีแล้วชนะละก็ นางจะต้องออกจากสำนักศึกษาหลวงด้วยความอับอาย ’ อีกทั้งท่านพี่ก็จะมอบรางวัลเป็นวิชายุทธ์ขั้นสูงให้อีกด้วย”
โป๊ะเเซ๊ะ...คนร้ายปรากฏตัวแล้ว ไอ้เด็กปากสุนัขเสวี่ยนกง!
ไม่ไหวๆ ทําไมหลินเสวี่ยนกงกับฮูหยินเซวียนปิงปิงถึงได้จงเกลียดจงชังตัวข้านัก ข้าก็ไม่ได้ไปทำอะไรให้พวกเขาเสียหน่อยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“และอีกเหตุผลหนึ่ง ท่านแม่บอกว่าถ้าเอาชนะเจ้าได้ละก็…ท่านพ่อจะต้องให้รางวัลแก่ข้าแน่นอน ฮุ ฮุ”
เออ…หลินฮวา เจ้าเก็บความลับไม่เป็นเลยหรืออย่างไร? ดูเป็นเด็กที่ใสซื่อราวกับแก้ว เฮ้อ…เอาเถอะ ยืดเส้นยืดสายเสียหน่อยจะเป็นอะไรไป
“ก็ได้เจ้าค่ะ เชิญท่านพี่นำทางไปที่สนามประลอง…” หลินซีผายมือออกไปพลางส่งยิ้มให้
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งน้องสาวสุดที่รัก เอ๊ะ!...อย่ามาเรียกข้าว่าท่านพี่นะ!!” หลินฮวาเอ่ยขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน หลังจากกล่าวจบพลันเดินนำหลินซีไปยังสนามประลองทันที
หลินซีหัวเราะเล็กน้อยให้กับอาการเขินอายทำตัวไม่ถูกของหลินฮวา ก่อนจะเดินตามหลังนางไป
ณ ลานประลองหลักของสำนักชั้นนอก
ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่บนสนามประลองแล้ว รอบๆ ลานประลองเนืองแน่นไปด้วยศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนมาก กระทั่งอาจารย์บางคนก็ยังมาดูการประลองในครั้งนี้
สนามประลองแห่งนี้…นับว่ากว้างขวางพอสมควร ผู้ที่ขึ้นประลองสามารถใช้อาวุธปราณอะไรก็ได้ ทว่าหลินซีที่เพิ่งเข้าสำนักมาได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม จึงทำให้ไม่ทราบกฏข้อนี้ และนางก็คิดว่าต้องใช้อาวุธที่ทางสำนักมอบให้ตอนเข้าเรียนเท่านั้นในการประลอง
ด้วยความไม่รู้นี้…ทำให้หลินฮวาเดือดดาลอย่างอย่างมาก เพราะนางคิดว่านี้มันเป็นการดูถูกดูแคลนกันอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าคิดจะดูหมิ่นข้าไปถึงไหนกัน!”
เอ๊ะ! ข้าไปดูหมิ่นนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หลินซีเลิกให้ความสนใจ ก่อนจะชักกระบี่ที่เหน็บข้างเอวออกมาอย่างไม่แยแส
“ไม่ใช่ว่าเราต้องเลือกอาวุธให้เหมาะสมกับตนเองมิใช่หรือ?” หลินซีตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“อย่าได้มาเสียใจภายหลังเสียล่ะ….” หลินฮวาเอ่ยเสียงเบา พร้อมกระชับหอกสีแดงเพลิงในมือแน่น เตรียมพร้อมพุ่งจู่โจมอย่างฉับพลัน
หลินซีพยักหน้าก่อนจะส่งสัญญาณให้กับอาจารย์ที่ควบคุมการประลอง
“กฎการแพ้ชนะ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้หรือพลังลมปราณหมด จะถือว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชนะทันที ไม่ต้องห่วงเรื่องการบาดเจ็บ หากมีบาดแผลสาหัสค่ายกลจะทําการปกป้องผู้ประลองและส่งผู้บาดเจ็บไปยังหอรักษาทันที”
บรรยากาศโดยรอบตึงเครียดขึ้นมา หลินฮวายกหอกสีแดงเพลิงขึ้นสูง ผมสีดำยาวสลวยปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดผ่าน
หลินซีมองออร่าลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของหลินฮวาก็อดที่จะชื่นชมอีกฝ่ายมิได้
พลังยุทธ์ขอบเขตแดนพิภพเร้นลับขั้นที่ 1 ทั้งยังเป็นผู้ครองธาตุไฟบริสุทธิ์ นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก!
“เริ่มการประลองได้!”
ฟุ๊บ
หลินซีพุ่งโฉบไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วปานอัสนีบาต กระทั่งบรรดาอาจารย์บางคนยังมองไม่ทันเสียด้วยซ้ำ
“ความเร็วนี้มันอะไรกัน!”
ผู้ชมต่างตกใจในความเร็วของหลินซีที่รวดเร็วประหนึ่งลมกรด
แลเห็นหลินซีพุ่งเข้าประชิดอย่างฉับพลัน หลินฮวาพลันยกหอกสีเเดงเพลิงในมือขึ้น ก่อนจะใช้ออกมาด้วยวิชายุทธ์ ‘ หอกไตรลักษณ์ ’ เกิดหอกเปลวเพลิงสามหอกโผล่พุ่งออกมาจากพื้นลานประลองราวกับเข็มเพลิง
“คิดจะเอาชนะข้า ยังเร็วไปร้อยปี”
หอกที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงทั้งสามพุ่งเข้าหาหลินซีอย่างรวดเร็วประหนึ่งลูกศรธนูที่ถูกยิงออกมาจากคันธนูอย่างไรอย่างนั้น
ฟิ้ว!
หลินซีเบี่ยงตัวหลบหอกที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ยากเย็นนัก ทว่าในจังหวะที่กำลังจะพุ่งเข้าไปประชิดตัวหลินฮวาอีกครั้ง จู่ๆ หอกเพลิงทั้งสามที่นางเบี่ยงตัวหลบเมื่อครู่ ก็วกกลับอย่างน่าประหลาด
“วิชานี้เยี่ยมนัก…” หลินซีกล่าวชมวิชาหอกอันแสนยอดเยี่ยมนี้
“ยังไม่หมดเท่านี้หรอก เสาอัคคี” หลินฮวาตวาดเสียงกร้าว
ฟู้ม!
ปรากฏเปลวเพลิงครอบคลุมไปทั่วทั้งสนามประลองราวกับทะเลเพลิง
หลินซีที่กำลังจะหลบไปยังอีกด้านของสนามประลอง จู่ๆ พลันเกิดแสงสว่างใต้เท้าของนางอย่างพรั่งพรูราวกับมีอะไรติดตามนางอยู่ตลอดเวลา
“ติดกับแล้ว กรงขังแห่งเปลวเพลิง” หลินฮวากล่าวจบพลันเกิดกรงขังเปลวเพลิงขนาดใหญ่สี่แฉกล้อมหลินซีเอาไว้
หลินซีติดอยู่ในกรงขังเปลวเพลิงอย่างสมบูรณ์ หอกเพลิงถูกซัดอย่างรุนแรง มุ่งตรงมาทางหลินซีอย่างรวดเร็วประหนึ่งลูกเกาทัณฑ์
“แพ้ไปซะ!”
ตู้ม!
กรงขังเปลวเพลิงระเบิดออก เปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งพรวดขึ้นสู่ชั้นฟ้า ผู้ชมรอบลานประลองต่างส่งเสียงเฮกันยกใหญ่
“สมกับเป็นองค์หญิงแห่งเปลวเพลิง”
ผู้คนที่ชมการประลองในครั้งนี้ ต่างพากันคิดว่าหลินฮวาเป็นฝ่ายชนะแล้ว ทว่าหลินเยว่พี่อีกคนของหลินซีกลับไม่คิดเช่นนั้น
“สมกับเป็นหลินฮวา สามารถใช้กลยุทธ์แบบนั้นได้ในสนามประลอง นางเก่งกาจขึ้นกว่าตอนประลองศิษย์ฝ่ายนอกเสียอีก” หลิงมู่ผู้เป็นสหายสนิทของหลินเยว่และหลินฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“เฮอะ! ก็แค่คนไร้ค่าคนหนึ่ง ฮวาเอ๋อร์ถึงกับใช้วิชายุทธ์ขั้นสูงแบบนั้นในการจัดการนาง น่าสมเพชสิ้นดี” หลินเสวี่ยนกงกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
“ไม่แรงไปหน่อยเรอะ…เสวี่ยนกง อีกคนก็เป็นน้องสาวของเจ้านะ” เซวียนเจิ้นสหายอีกคนของหลิงมู่เอ่ยขึ้น
“ข้ามีน้องสาวแค่ฮวาเอ๋อร์กับเยว่เอ๋อร์เท่านั้น คนไร้ค่านั้น…มิใช่น้องสาวของข้า นางคือความอัปยศของตระกูลหลิน” หลินเสวี่ยนกงตอบ
“ปากของเจ้าเลี้ยงสุนัขไว้หรืออย่างไร?”
“หุบปากไปซะ!! จินหยาง”
ชายหนุ่มนามจินหยางถอนหายใจด้วยความเอือมระอาต่อพฤติกรรมของสหายผู้นี้ หลินเสวี่ยนกงจงเกลียดจงชังหลินซีมาตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาเองก็เคยเจอหลินซีตอนยังเด็กเหมือนกัน ออกจะเป็นเด็กสาวที่น่ารักเสียด้วยซ้ำ ทว่าหลายปีมานี้กลับกลายเป็นสาวงามล่มแคว้นไปเสียแล้ว
“ยิ้ม…” หลินเยว่ที่เงียบมานานก็เอ่ยเสียงแผ่ว
“หมายความว่าอย่างไร? เสี่ยวเยว่” เซวียนเจิ้นที่เห็นท่าทางจริงจังของหลินเยว่ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา เขาไม่เคยเห็นนางจริงจังขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
“น้องเล็กกำลังยิ้ม…” หลินเยว่พูดตามที่ตนเองเห็น ก่อนที่ เปลวเพลิงจะห่อหุ้มร่างของหลินซีเอาไว้ พร้อมกับเขียนบางอย่างลงสมุดบันทึกของตน
“เฮอะ…คงจะยอมรับชะตากรรมของตัวเองได้ละมั้ง ช่างน่าสมเพช” หลินเสวี่ยนกงเอ่ยเสียงแข็ง
“ปากของเจ้า! หากไม่มีสุนัขสักวันจะตายหรืออย่างไร?”
“เจ้าอยากจะลองดีกับข้าใช่ไหม? จินหยาง”
เกิดการปะทะฝีปากกันอย่างเดือดดาลระหว่างหลินเสวี่ยนกงและจินหยาง ทำให้หลิงมู่ต้องรีบห้ามทั้งสองคน ก่อนมันจะเกิดเรื่องบานปลายใหญ่โตมากไปกว่านี้
ทว่าทันใดนั้น…เสียงแผ่วเบาของหลินเยว่ก็ดังแทรกขึ้น
“น้องเล็ก..กำลังสนุกอยู่” สิ้นเสียงของหลินเยว่ บนลานประลองพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง