ไสหัวไปกลับบ้านเกิดของเจ้าเสีย!
บนสนามประลองสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่ชั้นนอก
“แฮ่ก แฮ่ก” หลินฮวาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้าจากการใช้สามกระบวนท่าพร้อมกันทำให้ร่างกายรับภาระหนักมากเกินไป ซึ่งมันจำเป็นจะต้องใช้สมาธิสูงมากในการควบคุมกระบวนท่าทั้งสามให้สอดประสานกันอย่างลงตัว
ซึ่งการที่หลินฮวาสามารถทำไปพร้อมๆ กันได้ นับว่ามีความเข้าใจด้านเชิงยุทธ์เป็นอย่างมาก
ฟู้ม!
เปลวเพลิงโหมกระหน่ำไปทั่วทั้งลานประลองจากความโกรธในจิตใจของหลินฮวา ยามนี้กำลังลุกไหม้ประหนึ่งไฟนรกที่ไม่มีวันมอดดับ หลินฮวารู้สึกยินดีอยู่ในใจ เท่านี้ท่านแม่ก็จะได้ชมข้าเสียที…
“การสอดประสานกระบวนท่าทั้งสามให้เป็นหนึ่งเดียวกัน นับว่าหาชมได้ยากนัก ยอดเยี่ยมจริงๆ” ซุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นจากเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ทำเอาหลินฮวาเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
หวีด หวิว ฟิ้ว
พลันเกิดลมกรรโชกแรงในเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ พริบตาต่อมาปรากฏร่องรอยปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งสะบั้นเปลวเพลิง จนเปลวเพลิงกระจายปลิวว่อนไปทั่วทั้งนภากาศ กระทั่งม่านพลังปราณที่คลอบสนามประลองเอาไว้ ปรากฏรอยกระบี่อยู่หลายจุด
“เกิดอะไรขึ้นกัน?”
“ร่องรอยปราณกระบี่นี่มันอะไรกัน?” เสียงเอะอะโวยวายขึ้นรอบสนามประลอง
หลินฮวาไม่อยากเชื่อสายตาของตนเองเช่นกัน หลินซียืนถือกระบี่อย่างมั่นคงพลางปัดเขม่าควันบริเวณไหล่เล็กน้อยพร้อมกับตวัดกระบี่อีกครั้ง ก็ทำลายกรงขังเปลวเพลิงและหอกเพลิงทั้งสามอย่างง่ายดายประหนึ่งปอกกล้วยเข้าปาก
ซู้ม!
กรงขังเปลวเพลิงที่หลินฮวาภาคภูมิใจถูกทำลายด้วยการตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียว ทางฝั่งของศิษย์พี่ฝ่ายนอกที่ดูการประลองอยู่ก็ตื่นตะลึงเช่นกัน
หลิงมู่ ตาเป็นประกายหลังจากเห็นฝีมือกระบี่ของหลินซีที่เลิศล้ำเป็นอย่างมาก พร้อมกับจับกระบี่สีเงินที่เหน็บอยู่ข้างเอวตนเองอย่างตื่นเต้น
บรรลุขั้นปรมาจารย์กระบี่ด้วยวัยเพียงเท่านี้ นางเป็นปีศาจหรืออย่างไร?
“นะ…นางแพศยานั่น ทำได้อย่างไรกัน!” หลินเสวี่ยนกงตวาดออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาไม่มีทางเชื่อสายตาตนเองเด็ดขาด…น้องสาวของเขาจะแพ้ขยะอย่างหลินซีได้อย่างไรกัน?
หลินเยว่หยักไหล่พร้อมเอ่ยเสียงแผ่ว “พี่รองแพ้แล้ว…”
หลินฮวาในขณะนี้แทบจะไม่สามารถรีดเค้นลมปราณออกมาได้อีกแล้ว พลางเอ่ยเสียงสั่นเครือคล้ายไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง “ทำไมกัน…ทำไมถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ?”
“ข้าชนะแล้วท่านพี่…ยอบรับเสียเถิด” หลินซีสัมผัสได้ถึงลมปราณภายในร่างของหลินฮวาที่แทบจะเหือดแห้งเต็มที ทำให้รู้แล้วว่านางไม่อาจสู้ต่อได้อีกแล้ว
ฟู้ม!
หลินฮวาเรียกเปลวเพลิงออกมาอีกครั้ง เปลวเพลิงแห่งความโกรธลุกโชนอย่างแรงกล้า
“ไม่มีทาง…ไม่มีทาง ข้าไม่มีวันแพ้คนไร้ค่าอย่างเจ้า!” หลินฮวาเปล่งวาจากร้าวประหนึ่งคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น
ช่างดื้อดึงนัก…จะสอนอะไรให้หน่อยก็แล้วกัน
“ท่านพี่…วันนี้น้องจะสอนบทเรียนอะไรให้ท่านสักเล็กน้อย เพื่อที่จะให้ท่านแกร่งขึ้นในอนาคต” สิ้นเสียงของหลินซี กระบี่ในมือของนางก็ถูกเคลือบไปด้วยลมปราณสีทองงดงามตระการตาดุงดั่งพลังเทพเจ้าก็มิปาน
วิ๊ง!
เกิดแสงสีทองเจิดจรัสไปทั่วทั้งลานประลองราวกับเทพเจ้าลงมาเยือนโลกมนุษย์
ผู้คนรอบสนามประลองต่างงุนงงและไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนสนามประลองในขณะนี้
สถานการณ์บนสนามประลองขณะนี้กลับตาลปัตร หลินฮวากำลังพุ่งเข้าจู่โจมใส่หลินซีอย่างบ้าคลั่ง ทว่าหลินซีกลับดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย ทั้งยังต้านรับหอกที่กระหน่ำทิ่มแทงเข้าใส่อย่างง่ายดาย โดยที่ตัวนางไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงก้าวเดียวราวฝีมือของทั้งสองคนห่างชั้นกันราวฟ้ากับเหว
“หิ่งห้อยอัคคี…” หลินฮวายังคงโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง หิ่งห้อยสิบตัวที่อัดแน่นไปด้วยเปลวเพลิงบินเข้าหาหลินซีอย่างรวดเร็ว
หลินซีวาดกระบี่ไปข้างหน้าช้าๆ ปราณกระบี่สีทองดั่งกระบี่ที่แท้จริงค่อยๆ ฟาดฟันหิ่งหอยอัคคีนับสิบ
ฉว๊ะ!
หิ่งห้อยอัคคีนับสิบตัวสลายหายไปอย่างฉับพลัน จากการถูกปราณกระบี่สิบสายสะบั้นจนขาดครึ่ง
หลินซีก้าวเดินเข้ามาหาหลินฮวาช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน ทุกฝีก้าวของนางล้วนหนักแน่นดั่งขุนเขาที่ไม่อาจสั่นคลอน
หลินฮวาเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก วิชายุทธ์การโจมตีที่ภาคภูมิใจของนางกลับถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วเพียงแค่ตวัดกระบี่เบาๆ
“อย่าเข้ามานะ จตุรกรงขังเปลวเพลิง”
กรงขังเปลวเพลิงสี่อันผุดขึ้นมาจากใต้ลานประลอง จากนั้นจึงเข้าห้อมล้อมร่างหลินซีอย่างฉับพลัน
กรงขังเปลวทั้งสี่กลับกระจายตัวออกไปด้านข้างก่อนจะพุ่งโฉบเข้ามา ทว่ากรงขังเหล่านั้นไม่อาจกักขังหรือสัมผัสกายของหลินซีได้เลย
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“คุณหนูหลินซี จะต้องใช้กลโกงแน่!”
นี้คือเสียงของศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนที่พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้ความ
อะไรกันมันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? หลินฮวาครุ่นคิดคิดในใจอย่างหวั่นวิตก
ทั้งที่นางซัดการโจมตีแทบจะทั้งหมดที่มีออกไปหมดแล้วแท้ๆ ทว่าพออยู่ต่อหน้าหลินซีกลับกลายเป็นว่านางไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ฝีมือห่างชั้นกันเกินไปแล้ว!
“ทำไม..ต้องมีคนอย่างเจ้า” หลินฮวากัดฟันขณะกล่าว สติของนางกำลังเลือนรางเนื่องจากฝืนใช้วิชายุทธ์ระดับสูงมากจนเกินไป ทำให้ร่างกายรับภาระหนักอึ้ง
“นางเด็กไร้ประโยชน์ อย่าแพ้มันเด็ดขาด! มิฉะนั้นอย่ามาเรียกข้าว่าพี่อีก” เสียงตะโกนด่าทอจากฝั่งคนดู หลินเสวี่ยนกงตอนนี้มีสีหน้าบิดเบี้ยว เขียวคล้ำ อัดเเน่นไปด้วยความโกรธที่ยากจะพรรณนาออกมาเป็นคำพูด
หลินฮวาน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจต่อพี่ชายของนาง ทําไมถึงพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแบบนั้น นางทำอะไรผิดหรือ?
ทว่าหลินฮวาทำการตัดสินใจบางอย่างในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ก่อนสติจะหมดลง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…นางจะแพ้ไม่ได้ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม!
หลินฮวาพยามรีดเค้นลมปราณที่เหือดแห้งจากตันเถียนของตน ดึงลมปราณที่เหลือเพียงน้อยนิดออกมา หอกสีแดงเพลิงในมือเปล่งแสงเจิดจรัสยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เปลวเพลิงสีแดงดำพุ่งพรวดขึ้นสู่ชั้นฟ้า กระแทกเข้ากับค่ายกลจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ปัง!
หลินซีหยุดฝีเท้าอย่างฉับพลัน หลังจากกระแสลมปราณน่ากลัวอบอวลไปทั่วทั้งสนามประลอง
หลินฮวาหมดสติลงพร้อมกับลมปราณในร่างกายถูกสูบไปจนหมดตัว
ใครเป็นคนสอนวิชายุทธ์อัญเชิญแบบนี้ให้นางกัน? หลินซีครุ่นคิดในใจอย่างสงสัย ถ้าเป็นวิชาอัญเชิญทั่วไป…นางจะไม่นึกสงสัยเลย
แต่นี้…เป็นวิชาอัญเชิญต้องห้ามของโลกผู้ฝึกยุทธ์! นี้คือ วิชาอัญเชิญมารร้ายจากปรภพ
ปกติแล้ววิชาอัญเชิญมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งอัญเชิญจิตวิญญาณธรรมชาติ สัตว์อสูร กระทั่งสัตว์เทพ แต่สิ่งที่หลินฮวาทำกลับเป็นการอัญเชิญสิ่งที่อันตรายที่สุด เพราะเงื่อนไขแลกเปลี่ยนของมันคือพลังลมปราณทั้งหมดของคนๆ นั้น ที่เป็นคนอัญเชิญมันมาและบางข้อแลกเปลี่ยนก็คือชีวิตของผู้อัญเชิญ
และสิ่งที่หลินฮวาอัญเชิญออกมาก็คือ พยัคฆ์เพลิงทมิฬ แต่ยังดีที่มันยังเป็นแค่ทารก มิฉะนั้นหากเป็นร่างโตเต็มวัย แคว้นหลานคงเกิดหายนะครั้งใหญ่แล้ว
‘ โฮก ’ เสียงคำรามดังก้องสะท้านนภากาศ ลมทมิฬที่แหลมคมดั่งใบมีดพุ่งเข้าหาหลินซีรวดเร็วปานฟ้าแลบ ทว่าหลินซีก็ม้วนตัวหลบและพุ่งตัวกระโดดเตะพยัคฆ์เพลิงทมิฬให้ออกห่างจากร่างของหลินฮวาที่กำลังนอนหมดสติ
“รีบไปแจ้งผู้อาวุโสของสำนักเร็วเข้า มีการอัญเชิญมารร้ายในสำนักศึกษา…”
ทางฝั่งของหลินเยว่กับเซวียนเจิ้นต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด หลินเยว่ลุกออกจากที่นั่ง ก่อนจะรีบไปยังด้านหน้าลานประลองทันทีหมายจะปลดม่านลมปราณออกเพื่อเข้าไปช่วยเหลือทั้งสองคนด้านใน
“ไม่ไหว…กระทั่งอาจารย์ที่ควบคุมสนามประลองยังปลดม่านไม่ได้ คงต้องให้ผู้อาวุโสฝ่ายนอกรีบมาปลดแล้ว”
“เจ้าทำอะไรลงไปเสวี่ยนกง เจ้าทำอะไรกับหลินฮวา!” หลิงมู่มีสีหน้าเดือดดาล
“ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าแค่ให้นางเรียนวิชาอัญเชิญลับในคลังตำราของท่านพ่อไปก็เท่านั้นเอง” หลินเสวี่ยนกงเอ่ยด้วยสีหน้ายียวน
ผว๊ะ!
หลิงมู่เหลืออดกับหลินเสวี่ยนกงเต็มที เขาซัดหมัดไปที่ใบหน้าของหลินเสวี่ยนกงอย่างแรง จนอีกฝ่ายปลิวกระเด็นออกไปหลายก้าว
ขณะนี้เปลวเพลิงสีดำบดบังการมองเห็นด้านในของสนามประลองอย่างสมบูรณ์ ทำให้ไม่มีใครรับรู้เลยว่า…ด้านในม่านพลังปราณเกิดอะไรขึ้น
‘ โฮก ’
ในตอนนี้พยัคฆ์เพลิงทมิฬกำลังไล่สังหารหลินซีอย่างจ้าละหวั่นบนสนามประลอง
สายตาที่มันมองมายังหลินซีคล้ายกับมองอาหารรสเลิศก็มิปาน ทำเอาหลินซีขนลุกขนพองเป็นระยะ
ซึ่งในตอนนี้นางไม่อาจจะสู้มันกลับไปได้ เนื่องจากกำลังแบกพี่สาวตัวปัญหาที่เป็นคนอัญเชิญมันออกมาไว้บนไหล่ ขืนปล่อยเอาไว้มีหวังได้ถูกมันงาบไปกินแน่
เคร้ง!
หลินซีสะบัดกระบี่คอยปัดป้องกรงเล็บของมารอสูรพยัคฆ์ทมิฬที่จู่โจมเข้ามาเป็นระยะ
“อือ…” หลินฮวาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สีหน้าของนางดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก…
“ท่านพี่” หลินซีที่เห็นร่างบางของผู้เป็นพี่สาววูบไหวพลันเอ่ยเรียกทันที พอจะบอกกล่าวให้นางยกเลิกการอัญเชิญมารร้ายตัวนี้ ทว่าหลินฮวากลับเอ่ยขึ้นคล้ายกับคนละเมอเสียอย่างงั้น
“ปล่อยข้าไป…” ฮะ…นางพูดอะไรนะ?
“คนที่แพ้แม้แต่คนที่ไม่มีพรสวรรค์อย่างข้า ช่างน่าสมเพชนัก”
“แม้แต่ท่านพี่เสวี่ยนกง...ยังรัง” หลินฮวากล่าวไม่ทันจบประโยคก็หมดสติอีกครั้ง
หลินซีที่เห็นสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี นางหยุดฝีเท้าอย่างฉับพลัน จากนั้นจึงวางร่างหลินฮวาลงให้นอนราบกับพื้นของสนามประลอง
เปลวเพลิงสีดำพุ่งเข้าใส่หลินซีอย่างไม่หยุดหย่อน ทว่าด้วยฝีมือกระบี่อันยอดเยี่ยม เพียงแค่หลินซีตวัดกระบี่เป็นแนวเฉียงพลันปรากฏปราณกระบี่เก้าสายพุ่งสะบั้นเปลวเพลิงสีดำจนมลายหายไป
‘ โฮก ’ พยัคฆ์เพลิงทมิฬหยุดปล่อยเปลวเพลิง ก่อนจะจ้องมองหลินซีด้วยสายข่มขู่
“ทั้งๆ ที่เราอยากจะอยู่อย่างสงบดั่งคนทั่วไปแท้ๆ ทว่าปัญหากลับวิ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อน ช่างเถอะ…ปัญหาของพี่รอง ค่อยจัดการทีหลัง แต่ตอนนี้………”
เนตรสีอำพันเงางามดุจดวงดาราเปล่งแสงวูบวาบขณะจับจ้องไปที่อสูรร้ายตรงหน้า
พยัคฆ์เพลิงทมิฬที่ประสบเข้ากับดวงเนตรคู่งามสีอำพันนี้ มันกลับก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ ด้วยความหวาดกลัวต่อพลังลึกลับบางอย่างที่ถ่ายทอดออกมาจากดวงตาคู่นั้นของหลินซี
หลินซีจ้องมันอย่างเย็นชาดุจธารน้ำแข็ง ก่อนจะกล่าวภาษาโบราณออกมา
ไสหัวกลับบ้านเกิดเจ้าไปซะ…ไอ้เสือโง่!