ณ เรือนหลัก คฤหาสน์สกุลหลิน
“ท่านพี่ต้องรับผิดชอบ…” ฮูหยินเซวียนปิงปิงเอ่ยปากกล่าวกับหลินเฟิ่งด้วยสีหน้าที่ดูจะไม่สมอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
“จะให้ข้ารับผิดชอบเรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องที่นางเด็กสารเลวนั่น เกือบจะฆ่าลูกของเราทั้งสองคน ป่านฉะนี้ฮวาเอ๋อร์ยังขวัญเสียอยู่เลย…”
หลินเฟิ่งถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายและเอือมระอา พลางรับปากไปว่าจะดูแลเรื่องนี้เป็นอย่างดี ทำให้ฮูหยินเซวียนปิงปิงมีสีหน้าพึงพอใจ ก่อนที่จะเดินกลับเรือนของตนไป
ฮูหยินเซวียนปิงปิงเป็นเชื้อพระวงศ์ราชสกุลหลานที่แต่งเข้ามาเพื่อคานอำนาจของหลินเฟิ่ง อีกสามเจ้าเมืองที่ดูแลเขตเมืองต่างๆ ก็จำเป็นจะต้องแต่งเชื้อพระวงศ์เข้ามาในตระกูลเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ตัวหลินเฟิ่งค่อนข้างหนักใจ ในยามที่เขาจะลงโทษใครสักคนในตระกูล
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง หลินเฟิ่งขมวดคิ้วเป็นปม พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ใคร?”
“เยว่เอ๋อร์เองเจ้าค่ะ…”
“เข้ามา”
เมื่อได้รับอนุญาติ หลินเยว่เปิดประตูเข้ามา
“มีอะไรจะคุยกันพ่อหรือ?” หลินเฟิ่งเอ่ยถามลูกสาวคนรอง
“เรื่องเมื่อยามโหย่ว…” หลินเยว่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยดั่งเช่นปกติ
“เยว่เอ๋อร์ ไม่พอใจอะไรเสี่ยวซีหรือ?”
“น้องเล็กเปลี่ยนไปมาก...น่ากลัวขึ้น” หลินเยว่พูดตรงประเด็นโดยไม่มีการอ้อมค้อม
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ท่านพ่อโปรดตัดสินใจให้ดี ลูกขอลา” หลินเยว่หลังจากเอ่ยธุระของตนจบพลันเดินจากไปทันที
ลูกคนนี้ยังคงพูดอะไร…ตรงไปตรงมาเสมอ
หลินเฟิ่งเองก็รู้ดีว่าลูกสาวคนเล็กของตนเปลี่ยนไปมากแค่ไหน จากเด็กที่เคยเรียกตนอย่างสนิทสนมสมัยก่อน ดั่งเช่น ‘ ท่านพ่อ ’ มาตอนนี้…สรรพนามที่เรียกขานกลับแปรเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘ ท่านเจ้าเมือง ’ ความห่างเหินเช่นนี้ ทำเอาตัวเขาเองรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
ไป่ยวี่…ข้าผิดไปแล้ว
หลินเฟิ่งเอามือก่ายหน้าผากพร้อมหวนคิดถึงครอบครัวสุขสันต์ในวันวาน ทั้งๆ ที่อยากจะมีชีวิตอย่างเรียบง่ายแบบคนธรรมดาทั่วไป หรือเพราะเป็นชนชั้นสูงจึงทำมิได้
‘ โปรดอย่าให้เราผิดหวังในตัวท่านไปมากกว่านี้เลย ’ น้ำเสียงและสีหน้าของลูกสาวคนเล็กในตอนนั้น มันช่างเย็นชาเหลือเกิน หยาดน้ำตาเริ่มคลอบนใบหน้าหล่อเหลาของชายวัยกลางคนผู้เป็นประมุขของเมือง
เสี่ยวซี…พ่อขอโทษ พ่อไม่เคยเป็นพ่อที่ดีสำหรับลูกเลยสักครั้ง
รุ่งสางวันต่อมา
ยามเหม่า (05.00 น. — 06.59 น.)
แอ๊ด..
หยู่เจี่ยเปิดประตูห้องเข้ามาตั้งแต่รุ่งอรุณและปลุกหลินซีให้ตื่นจากการหลับไหล
หลังจากหลินซีตื่นขึ้นมาแล้ว ก็รีบไปอาบน้ำชำระร่างกายทันที เนื่องจากเช้าวันนี้จะมีพิธีปลุกพรสวรรค์
หลินซีหลังจากเข้ามายังห้องอาบน้ำ นางก็สังเกตร่างกายของตนเองอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
ร่างนี้มีสีผิวที่ค่อนข้างขาวซีดราวหิมะ ร่างกายบอบบาง ถ้าไม่นับรอยแผลเป็นที่กลางหน้าอกก็นับว่าสมบูรณ์แบบ ทั้งยังมีส่วนโค้งส่วนเว้างดงามชวนหลงไหล ใบหน้าเรียวงามดั่งเทพธิดา เรือนผมยาวสลวยสีเงินบริสุทธิ์ดุจดั่งปุยนุ่น แม้ช่วงอกจะเล็กไปหน่อยก็ตามที แต่นั้นเป็นเรื่องของอนาคตเพราะฉะนั้นมันจะต้องโตขึ้นอีกแน่นอนใช่ไหม!
“คุณหนูของเสี่ยวเจี่ย งดงามยิ่งนัก…” หยู่เจี่ยเอ่ยชมหลินซีด้วยความปลาบปลื้ม
หลินซีขณะนี้สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ดั่งหิมะประดับลวดลายหงส์สีดำ เรือนผมถูกลวบไว้โดยปื่นสีเงินอย่างเรียบร้อย ผิวพรรณที่ขาวผ่องดุจไข่มุกยิ่งทำให้เด็กสาวงดงามเกินกว่าใครจะเทียบเคียง
“ขอบคุณนะ เสี่ยวเจี่ย” หลินซีกล่าวขอบคุณหยู่เจี่ยพลางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
ยามซื่อ (09.00 น. — 10.59 น.)
หลังจากแต่งกายเสร็จเป็นที่เรียบร้อย หลินซีก็รีบเดินมายังโถงหลักของคฤหาสน์ตระกูลหลินทันที
ด้านในโถงหลักมีผู้คนมากมายมารวมตัวอย่างหนาแน่น ทั้งขุนนางฝ่ายบู๊ — ฝ่ายบุ๋นของราชสำนัก กระทั่งตระกูลใหญ่ — สำนักใหญ่ ยังมารวมตัวกันในโถงแห่งนี้
รุ่นเยาว์ที่จะได้รับการปลุกพรสวรรค์ในวันนี้ แต่ละคนล้วนมาจากขุมอำนาจต่างๆในแคว้นหลาน ทั้งสามัญชน ขุนนาง แม้กระทั่งทาสของเหล่าขุนนาง
ด้านในสุดของโถง เจ้าเมืองหลินเฟิ่งและฮูหยินเซวียนปิงปิงนั่งอยู่บนแท่นที่สูงขึ้นมาหนึ่งระดับ ด้านซ้ายเป็นหลินเสวี่ยนกง ด้านขวาเป็นหลินฮวาและหลินเยว่ ส่วนหลินซีที่มาทีหลังสุดไม่ได้รับที่นั่งเหมือนกับคนอื่น แต่ได้ยืนเคียงข้างหลินเฟิ่งแทน
การจัดที่นั่งนั้นสำคัญมากในแคว้นหลาน ด้านซ้ายและด้านขวานั้นถือเป็นตำแหน่งของภรรยาหรือบุตรสาว แต่ผู้ที่ได้รับเกียรติให้ยืนเคียงข้างผู้นำตระกูลเสมือนเป็นผู้ที่ได้รับความไว้ใจสูงสุดจากผู้นำตระกูลที่จะได้ยืนเคียงข้างกับเหล่าเชื้อพระวงศ์คล้ายคลึงกับองค์รักษ์หลวง ทว่านี้ก็เหมือนห่างเหินในด้านความสัมพันธ์ของครอบครัว เพราะจะไม่ได้รับเกียรติให้เสนอแนะอะไรต่อหน้าเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ตรงตำแหน่งนี้โดยปกติจะให้ลูกชายคนโตเป็นผู้ยืน แต่นี่กลับให้หลินซีเป็นคนยืนแทน
ท่านพ่อคิดทำอะไรกันแน่?
หลินเสวี่ยนกงกัดฟันกรอดด้วยความริษยา เขาได้แต่เจ็บแค้นในใจโดยที่มิอาจทำอะไรได้ ตรงนั้นควรจะเป็นที่ของเขาแท้ๆ
เวลาล่วงผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วยาม หลินเฟิ่งพลันลุกขึ้นยืนอย่างองอาจดุจราชสีห์พลางกล่าวเสียงดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง
“จักรพรรดิและฮองเฮาทรงเสด็จ…”
สิ้นเสียงของหลินเฟิ่ง ราชองครักษ์กว่าสิบเดินเข้ามาในโถงหลักอย่างสง่าผ่าเผยสมดั่งที่เป็นกำลังหลักของราชสำนัก
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี”
ผู้คนในห้องโถงคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อทำความเคารพโอรสแห่งสวรรค์และฮองเฮาที่กำลังเสด็จมาเปิดพิธีปลุกพรสวรรค์ประจำปีของเมืองหย่งเฉิน
“ไม่ต้องมากพิธี เราขอเปิดงานพิธีปลุกพรสวรรค์ ณ บัดนี้” สุรเสียงที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจดั่งมังกรดังก้อง ทันทีที่สิ้นเสียงทรงอำนาจของโอรสแห่งสวรรค์
ราชครูอู๋ซวงจากราชวงศ์หลานก็ทำการเปิดลูกแก้วทดสอบพรสวรรค์ จากนั้นจึงเริ่มไล่รายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมพิธีทีละคน…ทีละคน
โดยระดับพรสวรรค์จะแบ่งออกเป็นทั้งหมดเจ็ดสี ซึ่งจะแบ่งออกเป็นดังนี้ สีขาว — ปุถุชน , สีเขียว — เหนือปุถุชน , สีฟ้า — ยอดคน , สีม่วง — ปราชญ์ , สีส้ม — ราชันย์ , สีแดง — จักรพรรดิ , สีเหลือง — เซียน
บุตรชาย - บุตรสาวของขุนนางหลายคนต่างมีพรสวรรค์สีเขียว บางคนก็สีฟ้า มีสามัญชนบางส่วนที่มีพรสวรรค์ค่อนข้างสูงถึงระดับสีม่วง
จนกระทั่งไล่รายชื่อมาจนถึงครอบครัวสกุลหลิน
“คุณชายหลินเสวี่ยนกง ระดับพรสวรรค์สีส้ม…” มีเสียงฮือฮาดังขึ้น เมื่อปรากฏผู้มีพรสวรรค์สีส้มขึ้นมาในปีนี้
“คุณหนูหลินฮวา ระดับพรสวรรค์สีม่วง”
“คุณหนูหลินเยว่ ระดับพรสวรรค์สีม่วง”
จนกระทั่งถึงชื่อของหลินซี…
“คุณหนูหลินซี…” เสียงอื้ออึงเมื่อครู่เงียบกริบทันที
หลินซีวางมือไปที่ลูกแก้ว พริบตาเดียวพลันเกิดแสงสว่างเจิดจรัสดั่งดวงตะวัน ทว่าเพียงครู่เดียวก็เท่านั้น…แสงสว่างเหล่าพลันหายวับไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ไม่ปรากฏพรสวรรค์” เสียงฮือฮาดังขึ้นมาอีกครั้ง
‘ อะไรกัน? ไม่ปรากฏพรสวรรค์…นางก็เป็นคนไร้ค่านะสิ ’
‘ ไม่มีพรสวรรค์ แสดงว่านางก็ต่ำชั้นยิ่งกว่าสามัญชนคนธรรมดาเสียอีก ’
‘ นี่มันเป็นครั้งแรกของตระกูลหลินเลยที่ปรากฏคนไร้พรสวรรค์ ช่างน่าเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลยิ่งนัก ’
เสียงเอะอะดังไปทั่วทั้งห้องโถง หลินซีไม่ได้สนใจเสียงโวยวายอะไร แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ให้ตายเถอะ…พรสวรรค์ของข้ามันจะปรากฏในลูกแก้วกระโหลกกะลาแบบนั้นได้เช่นไร?
แท้จริงแล้ว…พรสวรรค์ไม่ได้มีเพียงแค่เจ็ดสี แต่มันมีถึงเก้าสีต่างหาก ซึ่งอีกสองสี่ที่เหลือก็คือ สีเงิน — สวรรค์ , สีทอง — เทพ และพรสวรรค์ของหลินซีก็คือสีเงินระดับสูงสุด ดังนั้นจึงไม่ปรากฏในลูกแก้ววัดพรสวรรค์
หลังจากพิธีปลุกพรสวรรค์ เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปจนหลินซีอายุสิบหกปี
หลายปีมานี้หลินซีพัฒนาทักษะทั้งด้านบู๊ - ด้านบุ๋น อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังศึกษาความรู้ต่างๆมากมายมาหลายขวบปี กล่าวได้ว่าความรู้ของนางเทียบเคียงนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงในแผ่นดินแล้ว
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินซีปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุด เห็นจะเป็นการเรียนมารยาทของชนชั้นสูง ด้วยการที่แคว้นหลานให้ความสำคัญกับสตรีชนชั้นสูงเป็นอย่างมาก นอกจากการยืนให้ดูดีมีสง่าราศีเหมาะสมกับการที่จะมีขุนนางหรือองค์ชายสักคนมาขอแต่งงาน ซึ่งนี้เป็นเรื่องที่สําคัญมากๆ ยิ่งมีพรสวรรค์สูงยิ่งเหมาะแก่การที่จะให้กำเนิดทายาทเป็นการเกี่ยวโยงทางสายเลือดด้านพรสวรรค์อีกด้วย เพราะจะได้มีลูกหลานที่มีพรสวรรค์สูงส่งถือกำเนิดขึ้นมาในตระกูล
นอกจากเรื่องการเรียนมารยาทแล้ว พลังของยุทธ์ของหลินซีเพิ่มพูนจนถึงขอบเขตเต๋าวิญญาณขั้นที่ 9 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทว่าสำหรับหลินซี ไม่มีอะไรลำบากกว่าการที่จะต้องเรียนมารยาทกับหยู่เจี่ยอีกแล้ว
หลินซีขณะนี้อยู่ในสถานการณ์เหมือนดั่งยืนอยู่หน้าผาลึกไม่มีที่สิ้นสุดก็มิปาน หยาดเหงื่อไม่น้อยเริ่มผุดออกจากใบหน้างามสะคราญราวกับหยดน้ำ
“คุณหนูเดินอย่าฉีกขากว้างมากเจ้าค่ะ…”
“คุณหนูเวลารับประทาน…”
“คุณหนู…”
ปล่อยข้าไปเถอะ…เสี่ยวเจี่ย ข้าไม่ไหวแล้ว…นี่เจ้าเอาข้ามาทรมานหรืออย่างไรกัน?
หลังจากการฝึกเรียนมารยาทที่ไร้สาระ เพราะถึงอย่างไรหลินซีก็ไม่คิดที่จะแต่งงานอยู่แล้ว
ก๊อก ก๊อก
“คุณหนูขอรับ มีสารขอรับ…” เสียงของพ่อบ้านประจำตระกูลเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นซองกระดาษมาให้
“ขอบใจ”
หลินซีปิดประตูทันที หลังจากรับซองซองกระดาษ นอกจากหยู่เจี่ยที่เป็นสาวใช้คนสนิท คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นางเลย
ข้าน่ากลัวมากหรือ? ออกจากสวยหยาดบาดจิต…มิใช่นางมารเสียหน่อย
“ฮือ…สารจากสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่” เนตรงามสีอำพันพาดผ่านความประหลาดใจ โดยปกติแล้วผู้ที่ไร้พรสวรรค์จะไม่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงเด็ดขาดมิใช่หรือ?
“คุณหนู…” หยู่เจี่ยที่เห็นแววตาเย้ยหยันของหลินซี ก็อดรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“น่าประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้ให้กับลูกสาวผู้ไร้ค่าเช่นตัวเรา…” หลินซีเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“คุณหนู…ท่านเจ้าเมืองรักท่านมากๆ นะเจ้าคะ”
แม้จะได้ยินหยู่เจี่ยกล่าวเช่นนั้น หลินซีไม่ได้ตอบอะไรออกไปแต่อย่างใด
“เสี่ยวเจี่ย หากจะไปเรียนยังสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง?” หลินซีกล่าวถามพลางยื่นซองกระดาษให้หยู่เจี่ยอ่าน
หลินซีในชาติก่อนไม่เคยเข้าเรียนในสำนักเลยสักครั้ง นางมักจะฝึกฝนด้วยตนเองเสียมากกว่า ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมอะไรไปบ้าง
“ทางสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่จะส่งแบบเรียนมาให้ท่าน นอกจากนี้ก็จะมีอาภรณ์ของศิษย์สำนักและเข็มกลัดที่บ่งบอกว่าเป็นศิษย์ฝ่ายในหรือฝ่ายนอก แล้วก็..อาวุธปราณเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องทดสอบก่อนเข้าเรียนงั้นหรือ?” หลินซีถาม
“มีเจ้าค่ะ…ทว่าชนชั้นสูงสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงได้ทันที แต่สำหรับสามัญชนจะต้องสอบเข้าและมีพรสวรรค์ในระดับสูงเท่านั้น จึงจะได้รับทุนพิเศษในการเรียน”
หลินซีไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ได้แต่นั่งฟังคำบ่นยาวเหยียดของหยู่เจี่ยอยู่หลายชั่วยาม