ผู้ที่คิดจะทำร้ายผู้อื่น คือผู้ที่พร้อมจะถูกทำร้ายกลับ

2042 Words
หลังจากหยู่เจี่ยออกไป หลินซีก็ทำการหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้ต่อโดยละเอียด จากการอ่านตำราที่บันทึกข้อมูลต่างๆที่มีอยู่ภายในห้อง โดยเมืองที่ตัวนางอาศัยอยู่มีชื่อว่า ‘ เมืองหย่งเฉิน ’ เป็นหนึ่งในสี่เมืองใหญ่หลักของแคว้นหลาน ซึ่งทั้งสี่เมืองประกอบด้วย เมืองหย่งเฉิน , เมืองฟู่อัน , เมืองเฮอเป่ย , เมืองหนานจิง และทั้งสี่เมืองล้วนเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอย่างขีดสุด กระทั่งเมืองเตียงอันซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นหลานยังเป็นรองในด้านเศรษฐกิจและการทหารอยู่เล็กน้อย แคว้นหลานเป็นหนึ่งในแคว้นทั้งห้าของทวีปไห่หรง เคียงคู่กับทวีปเทียนฉี่ ซึ่งเป็นสองทวีปหลักของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เนื่องจากทวีปที่เหลือได้แก่ ทวีปมืด , ทวีปเทพอสูร เป็นสถานที่ดำรงอยู่ของเหล่าเผ่าอสูร ก๊อก ก๊อก ก๊อก หลังจากอ่านตำราไปหลายชั่วยาม ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “คุณหนู…ได้เวลาทานอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ ท่านเจ้าเมืองเชิญท่านไปร่วมทานอาหารที่โถงใหญ่ของจวน…” หยู่เจี่ยเดินเข้ามาพร้อมโค้งศีรษะเล็กน้อยขณะกล่าว “ประเดี๋ยว…ข้าจะตามไป ขอเก็บของให้เรียบร้อยก่อน” หลินซีส่งยิ้มให้หยู่เจี่ยขณะกล่าวตอบพร้อมกับเก็บตำราไว้ที่ชั้นวาง หลินซีหลังจากที่เก็บของเสร็จพลันเดินออกจากห้องไปพร้อมหยู่เจี่ย ระหว่างทางก็กวาดสายตาสำรวจวิสัยทัศน์โดยรอบอย่างละเอียด คฤหาสน์แห่งนี้นับกว้างใหญ่ยิ่งนัก ประดับประดาไปด้วยสิ่งของหรูหรา แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของจวนเจ้าเมืองเป็นอย่างดี ผ่านไปราวๆ หนึ่งก้านธูป แอ๊ด “คุณหนูหลินซีมาถึงแล้ว…” คนรับใช้คนหนึ่งประกาศก้องออกมา ต้องประกาศนามขนาดนี้เลยหรือ? หลินซีชักสีหน้าเรียบเฉยคล้ายไม่สนใจ จากนั้นจึงเดินเข้ามาในโถงหลักของคฤหาสน์ ทางด้านหยู่เจี่ยก็เดินตามหลังมาติดๆ เด็กสาวกวาดสายตามองรอบๆโถงใหญ่ด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะหันไปมองคนสี่คนที่กำลังนั่งอยู่กลางโถงด้วยความสงสัย ครอบครัวนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารครบครัน… ชายวัยกลางคนที่ดูเคร่งขรึมคนนั้นคงจะเป็นท่านพ่อกระมัง? โต๊ะอาหารกลางห้องโถงประกอบไปด้วยคนในครอบครัวคนอื่นๆ ที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เด็กหนุ่มคนนั้นคงจะเป็นหลินเสวี่ยนกงกระมัง? ส่วนเด็กสาวอีกสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็น่าจะเป็นพี่สาวทั้งสองคนของเรา หลินฮวา และ หลินเยว่ “น้องสาวที่น่ารัก นึกว่าจะตายไปแล้วเสียอีก…” เสียงเยาะหยันที่แฝงด้วยความเหน็บแนมเชิงดูถูกดูแคลนดังขึ้นจากเด็กหนุ่ม อา…เลี้ยงสุนัขไว้ในปากหรืออย่างไรกัน? “เสียมารยาท เจ้ายังไม่ลืมบทลงโทษของตัวเองใช้หรือไม่?” ชายวัยกลางที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกล่าวตักเตือนเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงแข็ง “...ฮึ” เด็กหนุ่มหรือหลินเสวี่ยนกงเเค่นเสียงในลำคอ สีหน้าของเขาที่แสดงออกมาดูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง “กงเอ๋อร์ยังไม่รู้ความมากนัก โปรดยกเลิกบทลงโทษของลูกเถิดนะเจ้าคะ…ท่านพี่” สตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านข้างใกล้หัวโต๊ะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อน สตรีวัยกลางคนผู้นั้นคงจะเป็นฮูหยินรองเซวียนปิงปิงกระมัง? เข้าข้างลูกตนเองอย่างออกหน้าออกตาเชียว… “ฮูหยิน ข้าเอ่ยไปแล้ว…จะไม่คืนคำเด็ดขาด บทลงโทษก็ยังเป็นบทลงโทษ ไม่มีการลดหย่อน” ฮูหยินเซวียนปิงปิงได้ยินเช่นนั้นพลันปรากฏรอยยิ้มเจื่อนๆ ใบหน้างามดูเหยเกคล้ายกระจกที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ “เสี่ยวซีไปนั่งก่อน…” หลินเฟิ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะผายมือไปยังเก้าอี้ที่ว่างขณะกล่าว ได้ยินเช่นนั้น หลินซีโค้งศีรษะลงเล็กน้อยพลางกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงนั่งลงยังเก้าอี้ที่ว่างเว้นเอาไว้ “รับประทานอาหารกันได้เลย…” มีเสียงพูดคุยระหว่างครอบครัวเป็นระยะในระหว่างการรับประทานอาหาร แต่กลับไม่มีหลินซีอยู่ในบทสนทนาเลยสักประโยคเดียว “พี่เสวี่ยนกง ในวันพรุ่งนี้ก็ถึงเวลาปลุกพรสวรรค์ของพวกเราแล้ว…” หลินฮวากล่าว “ครั้งนี้ตระกูลเราได้รับเกียรติจากราชวงศ์อย่างมาก อีกทั้งราชครูอู๋ซวงจากราชวังหลวงจะมาเป็นผู้ปลุกพรสวรรค์ให้เชียว…” “พี่เสวี่ยนกง คิดว่าน้องจะได้ระดับพรสวรรค์เท่าไหร่กัน?” หลินฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจที่จะได้รับการปลุกพลังพรสวรรค์ในวันรุ่งขึ้น “พี่คิดว่าน้องน่าจะได้ระดับสีส้มเทียบเท่าพี่อย่างแน่นอน…” หลินเสวี่ยนกงกล่าวพร้อมกับขยี้หัวน้องสาวคนรองของตนอย่างเอ็นดู “เจ้าก็ด้วย หลินเยว่” หลินเยว่พยักหน้าเบาๆ จากนั้นจึงตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำราเช่นเดิม “ลูกๆ ของเราช่างเก่งกาจเสียจริง…” ฮูหยินเซวียนปิงปิงกล่าวชมบุตรทั้งสามของตนพร้อมกับหันไปมองผู้เป็นสามีด้วยแววตาเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายกับว่ากำลังประสงค์อะไรบางอย่าง “มีพรสวรรค์เลิศล้ำก็นับว่ายอดเยี่ยม แต่อย่าหลงระเริงในพลังมากจนเกินไป จงเอาเทพสัประยุทธ์เซียวฉู่เฮอเป็นแบบอย่างในการฝึกฝน เขาไม่เพียงเก่งแค่ด้านบู๊ ด้านบุ๋นเขาก็มิเป็นสองรองใครในแผ่นดิน…” หลินเฟิ่งกล่าวชมพร้อมกับยกตัวอย่างยอดยุทธ์ลำดับหนึ่งแห่งใต้หล้าขึ้นมาเพื่อให้บรรดาบุตรของตนเอาเป็นแบบอย่าง “ข้าทราบแล้ว แต่น่าเสียดายที่มีบางคนในตระกูลของเรามีจุดบกพร่องอันใหญ่หลวง” หลินเสวี่ยนกงหยุดกล่าวขณะหันไปมองหลินซีด้วยสายตาคล้ายกับจะหาเรื่อง อยู่ๆ ก็วกกลับมากัดเสียอย่างงั้น ชาติก่อนเกิดเป็นสุนัขหรืออย่างไร? หลินซีได้แต่รับสายตาจิกกัดอย่างแรงกล้าจากอีกฝ่าย แต่ก็ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หลินซีวางมีดที่ใช้หั่นเนื้อและตะเกียบลงพลางเช็ดปากเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงราบเรียบ “ท่านเจ้าเมือง ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นัก ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ…” หลินซีกล่าวจบพลันเลื่อนเก้าอี้ พร้อมโค้งหัวเล็กน้อย ก่อนจะเตรียมตัวเดินออกจากโถงหลักตระกูล “หยุดเดี๋ยวนี้! ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่…” หลินเสวี่ยนกงตวาดเสียงกร้าวด้วยความเดือดดาล ทว่าหลินซียังคงเดินต่อไป โดยไม่สนใจฟังเสียงตวาดของหลินเสวี่ยนกงเลยสักนิดเดียว “ข้าบอกให้หยุด!! ไม่ได้ยินหรืออย่างไร? คมมีดวายุ…” หลินเสวี่ยนกงหมดความอดทนเต็มที เขาขว้างมีดที่วางอยู่บนโต๊ะออกไปด้วยแรงอารมณ์ พร้อมทั้งเสริมพลังธาตุลมของตนผสานกับมีดสั้นพลันปรากฏแสงสีเขียวพุ่งแหวกอากาศมุ่งตรงเข้าหาหลินซีปานฟ้าแลบ ฟิ้ว! “เสวี่ยนกง!!” หลินเฟิ่งลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลันพลางคิดจะคว้ามีดเอาไว้ แต่กลับไม่ทันเสียแล้ว… ฟิ้ว! หมับ ฉึก! “อ๊าก…” หลินเสวี่ยนกงร้องเสียงหลง มีดหั่นเนื้ออยู่ห่างคอของเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตร เหตุการณ์พลิกผัน หลินซีจับมีดสั้นที่หลินเสวี่ยนกงซัดมาอย่างง่ายดายพร้อมชัดกลับไปที่พนักพิงของเขาทันที “นางสารเลว! บังอาจนัก…” ฮูหยินเซวียนปิงปิงลุกขึ้นตวาดเสียงกร้าวพลางชี้หน้าหลินซีอย่างกราดเกรี้ยว “ผู้ที่คิดจะทำร้ายคนอื่น คือคนที่พร้อมจะถูกทำร้ายกลับ จำใส่หัวไว้ซะ…” หลินซีหันหน้ากลับมองพลางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็ง ทว่าในคำพูดกลับแฝงการข่มขวัญดุจราชันย์ ดวงตาสีทองอำพันทอประกายไอสังหารดั่งเทพแห่งความตายก็มิปาน อึก! ทุกคนในโถงหลักตระกูลต่างชะงัก ลมหายใจขาดห้วง ฮูหยินเซวียนปิงปิงทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าหวาดผวา หลินเฟิ่งมีเหงื่อซึมเล็กน้อยที่ใบหน้า “พอได้แล้ว เสี่ยวซี…พ่อขอโทษแทนเสวี่ยนกงด้วย” หลินเฟิ่งกล่าวขอโทษแทนหลินเสวี่ยนกงทันที เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี “ท่านพ่อ ไปยอมนางแพศยานั่นทำไม พวกเราต่างหากที่เป็นคนโดนกระทำ” หลินฮวาโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้างามของนางแดงก่ำด้วยแรงโทสะขณะจ้องไปที่หลินซี “เงียบซะ!! ถ้าพี่ของเจ้าไม่ทำเรื่องไร้ยางอาย คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก” “กรี๊ดด ท่านพ่อเห็นนางแพศยาดีกว่าพวกเรา…” ต๊อก ต๊อก หลินซีก้าวเท้าเดินเข้ามาหาหลินฮวาอย่างช้าๆ ก่อนจะแตะไปที่คางของอีกฝ่ายให้เสยขึ้น รอยยิ้มเย็นชาปรากฏบนใบหน้าเด็กสาวขณะกล่าว “นะ…นี่ หยุดนะ! คะ…คิดจะทำอะไร” หลินฮวาตัวสั่นเหมือนลูกนก แววตาของนางสั่นระริก เช่นเดียวกับริมฝีปากที่สั่นเทาขณะกล่าว นางกำลังหวาดกลัวจ่อด้วยตาคู่นั้น… “พี่หญิงรองควรสงบปากสงบคำเสียบ้าง คำพูดเมื่อครู่ทําให้น้องรู้สึกไม่ดีนัก พวกเราเป็นถึงตระกูลลำดับหนึ่งในแคว้นหลาน ไม่ควรมีมารยาทต่ำทรามเช่นนี้ หวังว่าพี่หญิงรองจะเข้าใจนะเจ้าค่ะ…” ขณะกล่าวหลินซีพลางลูบใบหน้าของหลินฮวาที่ตัวสั่นเป็นลูกแมวตกน้ำ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและหันไปทางหลินเฟิ่งด้วยความเย็นชา “ท่านเจ้าเมือง โปรดอย่าทำให้ข้าผิดหวังไปมากกว่านี้เลย…” หลินซีกล่าวจบพลันโค้งคำนับเล็กน้อยตามมารยาท จากนั้นจึงเดินออกไปจากโถงหลักตระกูลในทันที โดยมีหยู่เจี่ยโค้งขออภัยเล็กน้อย ก่อนจะวิ่งตามหลังไปด้วยรอยยิ้มที่คล้ายสะใจ บรรยากาศในห้องโถงหลักตระกูลบัดนี้คล้ายพายุพัดกระหน่ำหายไป หลังจากการจากไปของหลินซี ณ ห้องหลินซี อา…เผลอตัวไปหน่อย เกือบปามีดปักคอพี่ชายไปเสียแล้ว หลินซีเพิ่งรู้สึกตัวตอนที่เดินมาถึงยังหน้าห้องของตนเอง ยังดีที่ยังยั้งมือไว้ได้ทัน อา…คงต้องฝึกการควบคุมอารมณ์ให้มากกว่านี้เสียหน่อยแล้ว มิฉะนั้นคงพลั้งมือฆ่าไอ้คนปากสุนัขนั้นแน่… “คุณหนู…” หยู่เจี่ยเอ่ยเรียก หลังจากเห็นหลินซีหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องอยู่ครู่ใหญ่แล้ว “เสี่ยวเจี่ย…” หลินซีเรียกหยู่เจี่ย “กลัวข้าหรือไม่?” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้น ทำเอาหยู่เจี่ยกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ หลินซีกล่าวถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นอย่างมาก ทั้งยังหันหลังอยู่เลยไม่รู้ว่าสีหน้าของนางตอนนี้เป็นเช่นไร ฟุ๊บ! หยู่เจี่ยเดินย่อตัวแล้วกอดหลินซีเอาไว้ด้วยความอบอุ่นพลางกล่าวเสียงนุ่มนวลดั่งสายธารชโลมใจ “ข้าไม่เคยคิดหวาดกลัวหรือรังเกียจคุณหนูเลยสักครั้ง ขอแค่ท่านมีความสุข ข้าย่อมยินดี…” “ขอบใจนะที่อยู่เคียงข้างข้าเสมอ…” หลินซีตอบกลับด้วยเสียงสั่นเครือคล้ายกับจะร้องไห้ ก่อนที่จะหันหน้ากลับมาพลางทำสีหน้าคร่าตาแปลกประหลาด “คุณหนูเหมาะกับใบหน้ายิ้มแย้มแบบนี้มากที่สุด” หยู่เจี่ยลูบใบหน้าของหลินซีอย่างเบามือเหมือนกลัวว่าเด็กสาวจะแตกสลายไปตรงหน้า “นี่ก็ยามห้ายแล้ว เสี่ยวเจี่ยไปพักก่อนเถิด แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้า…” หลินซีปิดประตูห้องเบาๆ ทว่าก่อนที่ประตูห้องจะปิดสนิท มีเสียงที่ดูเขินอายเล็กน้อยเล็ดรอดดังออกมา “พี่สาว…ราตรีสวัสดิ์นะ” ปัง! สิ้นเสียง ประตูห้องของหลินซีถูกปิดอย่างแรง หยู่เจี่ยอมยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินไปตรวจตรารอบๆ เรือนของหลินซี ทางด้านหลินซีได้แต่กุมหน้าด้วยความเขินอาย กลิ้งไปมาบนเตียง อายุปานนี้แล้ว ต้องมาเรียกคำว่า ‘ พี่สาว ’ นี่มันน่าอายที่สุด… เอ๊ะ…ข้าเกิดใหม่แล้วนี่ ช่างมันแล้วกันเนอะ ฮ่าๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD