ระหว่างทางที่หยู่เจี่ยกำลังเดินกลับไปยังห้องของหลินซี จู่ๆ พลันย้อนนึกถึงอดีตในครั้งที่ตัวนางยังรับใช้องค์หญิงไป่ยวี่เสียอย่างงั้น ‘ องค์หญิงไป่ยวี่ ’ เป็นเพียงคนเดียวที่ตัวนางเคารพและเทิดทูนอย่างใจจริง
ในเวลานั้น…
“เสี่ยวเจี่ย หลังจากที่เราไม่อยู่แล้ว…เจ้าช่วยดูแลซีเอ๋อร์แทนเราได้หรือไม่?” องค์หญิงไป่ยวี่ในตอนนั้นที่กำลังโอบอุ้มคุณหนูหลินซีในอ้อมอกพลางกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนดั่งมวลบุปผา รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้างามสะคราญ งดงามราวกับไม่มีอยู่จริงบนโลก
“ไยท่านจึงกล่าวเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ?” หยู่เจี่ยกล่าวถามอย่างสงสัยขณะกำลังประคองผู้เป็นนายนั่งพักที่เตียงนอน ในใจอดวิตกกังวลไม่ได้ ใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายจะร้องไห้
องค์หญิงไป่ยวี่ป่วยเป็นโรคที่ไม่อาจรักษาได้ นางรู้อยู่แล้ว รู้มาโดยตลอด…แต่ก็ไม่อาจช่วยเหลือผู้เป็นนายได้เลย
“แค่ก แค่ก” เสียงไอของหญิงสาวเลอโฉมดั่งเทพธิดาเรียกสติของหยู่เจี่ยให้กลับมาอีกครั้ง
“เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว โรคร้ายที่เรากำลังเผชิญอยู่ กระทั่งจักรพรรดิโอสถยังมิอาจรักษา…” องค์หญิงไป่ยวี่ยิ้มให้กับสาวใช้ตรงหน้าที่เปรียบดั่งสหายสนิท “เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าช่วยดูแลซีเอ๋อร์แทนเราได้หรือไม่?”
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของหยู่เจี่ยเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวด ปรากฏเค้าความอึมครึมบนใบหน้า
“องค์หญิง…ได้โปรดอย่ากล่าวอะไรเช่นนี้อีก ห้ามพูดแบบนี้อีกเด็ดขาดนะเจ้าคะ…” เสียงสั่นเครือพร้อมๆ กับน้ำใสรื้นขึ้นคลอนัยน์ตา ความเสียใจหลั่งไหลออกมาผ่านดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่งามของหยู่เจี่ย
แลเห็นเช่นนั้น องค์หญิงไป่ยวี่ยกหลังมือปาดน้ำตาออกลวกๆ บนใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าผู้เปรียบดั่งสหายสนิท ขณะเดียวกันพลันส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่นดั่งดวงตะวัน
“อย่าร้องไห้…เสี่ยวเจี่ย ช่วยสัญญากับเราได้ไหม?”
หยู่เจี่ยกุมมือเรียวของผู้เป็นนายไว้แนบแน่นด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ในแววตาปรากฏความหวั่นวิตกจางๆ
ปึป
ในจังหวะเดียวกัน มือเรียวขององค์หญิงไป่ยวี่ลูบศีรษะหยู่เจี่ยเพื่อปลอบประโลมด้วยความอ่อนโยน จากนั้นพลันเอื้อมมือลูบหลังขึ้นลงอย่างแผ่วเบา
“เจ้าลองอุ้มซีเอ๋อร์… สักครั้งหนึ่ง” น้ำเสียงอ่อนโยนดั่งสายน้ำชโลมใจดังขึ้น องค์หญิงไป่ยวี่โอบอุ้มเด็กน้อยน่ารักน่าชังขึ้นมาจากเตียงด้วยความอ่อนโยน จากนั้นจึงยื่นบุตรสาวตัวน้อยของตนให้สาวใช้คนสนิทที่เปรียบดั่งสหายลองอุ้มดู
“ดะ….เดี๋ยว” หยู่เจี่ยลนลานก่อนจะอุ้มคุณหนูหลินซีตัวน้อยไว้ในอ้อมกอด
องค์หญิงไป่ยวี่ลูบเส้นผมสีดำยาวสลวยเงางามของหยู่เจี่ยอย่างอ่อนโยนพลันหัวเราะคิกคักให้กับท่าทางลุกลี้ลุกลนของสหายสนิท
“ดูเหมือนซีเอ๋อร์จะชอบเจ้านะ…” องค์หญิงไป่ยวี่เผยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะกล่าว
หยู่เจี่ยลูบใบหน้าของเด็กน้อยในอ้อมแขนอย่างเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยปากสัญญาออกไป
“ข้าน้อยจะดูแลคุณหนูให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ…องค์หญิงโปรดวางใจ”
ทั้งๆ ที่สัญญาแบบนั้นกับองค์หญิงไป่ยวี่แท้ๆ แต่นางกลับปล่อยให้คุณหนูถูกรังแกจากคุณชายและคุณหนูคนอื่นซ้ำแล้ว…ซ้ำเล่า
เสี่ยวเจี่ย…ผิดต่อองค์หญิงไป่ยวี่นัก!
เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้
“อ่อนแอแบบนี้ เป็นสายเลือดของสกุลหลินจริงๆ หรือ?”
“แม้แต่วิชายุทธ์พื้นฐานก็ใช้ไม่ได้ ช่างไร้ค่ายิ่งนัก…”
เสียงกรนด่าและกลั่นแกล้งคุณหนูหลินซีเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่องค์หญิงไป่ยวี่จากไปเมื่อหลายปีก่อน
“ขอโทษเจ้าค่ะ…ท่านพี่เสวี่ยนกง”
ผลั๊วะ!
เสียงตบไปที่ใบหน้าของหลินซีอย่างแรง ทำเอาหยู่เจี่ยถึงกับเหลืออดแต่ว่า… นางจะลงมือกับคุณชายและคุณหนูจวนเจ้าเมืองได้อย่างไร? หยู่เจี่ยได้แต่อดกลั้น และเก็บความโกรธเอาไว้ในใจ
“ข้าไม่เคยมีน้องไร้ค่าเช่นเจ้า…ไสหัวไปซะ”
ตั้งแต่องค์หญิงไป่ยวี่จากไป คุณหนูหลินซีก็ไม่เคยยิ้มแย้มอีกเลย มีเพียงความเศร้าโศกที่ประดับบนใบหน้างามดั่งเทพธิดาตลอดเวลา
คุณหนูตัวน้อยในวัยเจ็ดขวบเมื่อได้ยินคำด่าทอจากพี่ชายร่วมบิดา ก็ก้มศีรษะลงขอโทษด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา จากนั้นจึงรีบวิ่งผ่านอาจารย์ฝึกสอนการสัประยุทธ์ของคุณชายหลินเสวี่ยนกง ซึ่งศิษย์และอาจารย์ล้วนมีนิสัยไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมท่านพ่อยังไม่ไล่คนไร้ค่านั้น…ออกไปจากจวนเสียที” เสียงของหลินฮวาน้องสาวสุดที่รักของหลินเสวี่ยนกงเอ่ยขึ้น
“อีกไม่นานหรอก ถ้าวันนึงข้าขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทนท่านพ่อ ข้าจะขับไล่มันออกไปจากตระกูลทันที”
เสียงหัวเราะ เสียงเย้ยหยัน ดังขึ้นไปทั่วทั้งลานฝึกฝนหลังจากได้ยินคำพูดของคุณหนูหลินฮวาและคุณชายหลินเสวี่ยนกง
‘ ช่างน่ารังเกียจนัก ’ หยู่เจี่ยได้แต่อดกลั้นและรีบเดินกลับมุ่งไปยังห้องของคุณหนูตัวน้อยผู้น่าสงสารด้วยสีหน้าไม่พอใจ
กึก กึก
ขณะที่หยู่เจี่ยกำลังจะเดินจากไป มีเสียงดึงอาภรณ์ของนางเบาๆ พอหันไปมองก็เห็นน้องสาวอีกคนของคุณชายหลินเสวี่ยนกง คุณหนูหลินเยว่
“หลินซี...ดูไม่ค่อยดี”
คุณหนูหลินเยว่เป็นเพียงไม่กี่คนในจวนเจ้าเมือง ที่ไม่กลั่นแกล้งคุณหนูหลินซี ทำเอาหยู่เจี่ยรู้สึกดีใจทุกครั้งที่พบเด็กสาวคนนี้
อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ไม่รังเกียจคุณหนูของนาง…
“ข้าน้อยจะดูแลคุณหนูหลินซีให้ดี คุณหนูสามโปรดวางใจ” หยู่เจี่ยโค้งหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป
“ฝากด้วยล่ะ…” คุณหนูหลินเยว่เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินไปที่ลานฝึกฝนที่อยู่อีกฟากฝั่ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณหนู!!” หัวใจของหยู่เจี่ยกระตุกวูบ เมื่อเห็นเด็กสาวตัวน้อยเรือนผมสีเงินกำลังนอนอยู่ที่หน้าประตู หายใจหอบแรง ทุกจังหวะการหายใจล้วนอ่อนระทวยคล้ายพลังชีวิตใกล้จะหมดลง
“อย่าอะไรนะเจ้าคะ…คุณหนู” หยู่เจี่ยรีบอุ้มคุณหนูตัวน้อยไปที่เตียงนอนด้วยสีหน้าวิตกกังวลและห่วงใย ก่อนจะวิ่งออกไปเรียกหมอให้มาดูอาการ ทว่า…
“อย่า…” หลินซีกระตุกชายอาภรณ์หยู่เจี่ยเบาๆ น้ำเสียงแหบแห้งเปล่งวาจาแผ่วเบา
“คุณหนู…”
“ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว…ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าเหนื่อยมากแล้ว คนในครอบครัวไม่มีใครรักข้าเลย ข้าเป็นเหมือนอากาศธาตุในสายตาของพวกเขา ขะ…ข้ามันแค่คนคนนอกสำหรับพวกเขา ข้าเหนื่อย…เหนื่อยมากๆ” ความเจ็บปวดทั้งหมดของเด็กสาวกลั่นออกมาเป็นน้ำตา ดวงตาคู่งามบอบช้ำพลางสะอื้นกอดตัวเองอย่างสั่นเทิ่มด้วยความสิ้นหวัง
“คุณหนูไม่ได้โดดเดี่ยว เสี่ยวเจี่ยยังอยู่ตรงนี้…” หยู่เจี่ยหยิบสร้อยคอสีเงินที่องค์หญิงไป่ยวี่เคยฝากไว้ออกมาจากแหวนมิติของตน จากนั้นพลันสวมสร้อยคอเส้นนั้นให้แก่เด็กสาวตัวน้อย
“คุณหนูสวมสร้อยคอนี้ไว้ หยู่เจี่ยจะรีบกลับมา…”
หลังจากกล่าวจบ หยู่เจี่ยรีบรุดออกจากห้องไปทันทีด้วยความร้อนใจ
องค์หญิงได้โปรดช่วยคุ้มครองคุณหนูด้วยนะเจ้าคะ…
วิ้ง!
ทว่าหยู่เจี่ยไม่ได้หันกลับมามองแสงสีทองสว่างไสวดั่งแสงตะวันที่โพยพุ่งออกมาจากสร้อยคอที่กำลังโอบร่างเล็กของหลินซีเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
[จากนี้จะเรียกน้องว่าหลินซีแล้วนะงับ]
หลังจากหวนนึกถึงอดีต รู้ตัวอีกทีหยู่เจี่ยก็มาถึงยังหน้าห้องของคุณหนูตัวน้อยของตนแล้ว
“คุณหนูเจ้าคะ? เสี่ยวเจี่ยเอากุ้งผัดชาหลงจิ่งที่คุณหนูชอบมาให้ด้วย…” หยู่เจี่ยรอเสียงตอบรับของคุณหนูตัวน้อยที่คาดว่ากำลังนอนหลับอยู่ในห้อง
แกร๊ก แกร๊ก
เสียงดังในห้องทำให้รู้ว่าคนภายในห้องน่าจะตื่นแล้ว
“ขออนุญาตนะเจ้าคะ” หยูเจี่ยเปิดประตูห้องเข้าไป หลังจากไม่ได้ยินเสียงขานรับของคุณหนูของตน
ภาพแรกที่นางเห็นถึงกับทำให้ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตะลึง หัวใจคล้ายกับจะกระดอนออกมา
“คุณหนู!!”
หยู่เจี่ยรีบวิ่งเข้าไปแย่งมีดสั้นที่อยู่ในมือของเด็กสาวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
เสียงร้องเหวอผวาทำเอาเด็กสาวเงยหน้ามามองอย่างงุนงง
“อ๊ะ! เสี่ยว…” เด็กสาวที่กำลังจะทักทาย ก็ถูกหญิงสาวเลอโฉมโฉบเข้ามากอดแนบแน่นด้วยความอบอุ่นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลทะลักออกมาจากใบหน้างามอย่างห้ามไม่อยู่
ดะ…เดี๋ยว หายใจไม่ออก!
“อย่าทิ้งเสี่ยวเจี่ยไว้คนเดียวนะเจ้าคะ… อย่าทิ้งข้าน้อยไปอีกคนเลย”
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ หลินซีได้แต่ลูบหลังของหยูเจี่ยเบาๆ เพื่อปลอบประโลม
ต้องพูดอะไรสักอย่างแล้ว ทำอย่างไรดี? ข้าไม่เคยพูดปลอบใจคนอื่นเสียด้วย…
“อะ…เออ ขอโทษนะ จะไม่ทำอีกแล้ว” หลินซีเผยรอยยิ้มบางพร้อมจับมือเรียวของหยู่เจี่ยอย่างอ่อนโยนขณะกล่าว
“คุณหนูยังมีเสี่ยวเจี่ยอยู่ ได้โปรดอย่าทำอะไรแบบนี้อีก…” หยู่เจี่ยเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้างามขณะเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก
อันที่จริงแล้ว หลินซีแค่พยายามจะทดสอบการป้องกันของลมปราณว่าจะป้องกันร่างกายได้นานแค่ไหน ก่อนที่หยู่เจี่ยจะเข้ามา นางแทงตนเองไปนับหลายสิบครั้งแล้ว
ถ้าหากหยู่เจี่ยเข้ามาตอนที่ตัวนางกำลังแทงอย่างเมามันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คงจะหมดสติไปด้วยความตกใจเป็นแน่
“ข้าจะไม่ทําอะไรแบบนี้อีกแล้ว สัญญา…” หลินซีกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพลางเอ่ยถามต่อว่า
“เสี่ยวเจี่ย ปีนี้ปีที่เท่าไหร่แล้ว?”
เมื่อได้ยินคำถาม หยู่เจี่ยร้องเอ๊ะด้วยความแปลกใจ พร้อมตอบกลับทันที
“ปีนี้ปีฝูหรงที่ 92 เจ้าค่ะ” ปีที่ใช้นับก็เปลี่ยนไปด้วย…
หลินซีทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งตำราที่อ่านก่อนหน้านี้ แคว้นที่เปลี่ยนไป อีกทั้งลมปราณที่เสื่อมถอย มันเกิดอะไรขึ้นบนโลกนี้กันแน่?
“คุณหนูมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?” หยู่เจี่ยที่แลเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของหลินซีพลันรู้สึกอดที่จะกังวลใจมิได้ เนื่องจากนางไม่เคยเห็นคุณหนูเคร่งเครียดแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้งเดียว
หลินซีพอเห็นหยู่เจี่ยเริ่มเกิดความรู้สึกสงสัย ก็รีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “มะ…ไม่มีอะไรหรอก อะ ..เออ ความทรงจำของข้าขาดหายไปบางส่วน เลยจำอะไรไม่ค่อยได้น่ะ…”
ไยหยู่เจี่ยจึงทำสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิมเล่า..
“เป็นความผิดของเสี่ยวเจี่ยเอง…”
“.....”
ทําไมจึงลงไปคุกเข่าเช่นนั้นกัน?
“สะ…เสี่ยวเจี่ย ลุกขึ้นมาก่อนเถิด” หลินซีบอกกล่าวให้หยู่เจี่ยลุกขึ้น
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะคุกเข่าจนกว่าจะชดใช้ความผิดที่ไม่อาจปกป้องคุณหนูได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา” ฟังจากนํ้าเสียงที่จริงจังของหยู่เจี่ย แสดงว่าก่อนที่ข้าจะเข้ามาในร่างนี้ คงจะมีแต่เรื่องไม่ดีมากแน่ๆ
“อย่าโทษตนเองเช่นนั้น เป็นข้าที่อ่อนแอเอง เพราะฉะนั้นลุกขึ้นเถิดนะ…” หลินซีลูบใบหน้างามของหยู่เจี่ยอย่างอ่อนโยนขณะเปล่งวาจาเสียงอ่อนหวาน
“ข้าไม่ได้โทษอะไรเจ้า ข้าขอสัญญาด้วยเกียรติของฉะ...ไฉ่ เอ้ย! ข้าจะไม่ทำให้เจ้าไม่สบายใจอีกต่อไป…”
“ข้าก็ขอสัญญาว่าจะรับใช้คุณหนูตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ…”
บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง หลินซีรีบกินกุ้งผัดชาหลงจิ่งที่หยู่เจี่ยเอามาให้อย่างเอร็ดอร่อย