ตอนที่ 15
จิรพิมนต์ตื่นนอนหลังจากที่เจตนิพัทธ์มาส่งเธอเมื่อช่วงประมาณบ่ายสาม เย็นนี้หล่อนตั้งใจจะคุยกับมารดาให้รู้เรื่อง พอนิตยามารดาของเธอเดินเข้าบ้านมา จิรพิมนตร์ก็บอกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้มารดาฟัง เรื่องที่ฉายดนัยทำกับเธอ และเธอก็ยืนยันว่าเธอจะไม่ขอแต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน จิรพิมนตร์ยังบอกมารดาอีกว่า เร็ว ๆ นี้เธอต้องการจะขอถอนหมั้นกับฉายดนัยอีกด้วย ซึ่งมารดาก็มีสีหน้าเครียดขึ้นทันที แต่พยายามหว่านล้อมด้วยความใจเย็น เพราะรู้ว่าฉายดนัยทำเกินไปจริง ๆ
“นี่แกจะไม่อยากสู้เพื่อคุณพ่อแล้วเหรอ ยัยมนตร์” นิตยาพยายามเอาสิ่งที่เป็นแรงจูงใจมาอ้างกับลูกสาวของตนเอง แต่จิรพิมนต์เธอได้ตัดสินใจแล้ว จึงบอกกับมารดาอย่างไม่ต้องแคร์อะไรอีกแล้ว
“ถ้าคุณพ่อรับรู้ ว่ามนตร์ต้องเจอกับอะไรบ้าง มนตร์คิดว่าคุณพ่อคงไม่อยากให้มนตร์ทำเช่นนั้นหรอกค่ะ” เธอพูดออกไปให้มารดาได้คิดบ้าง เพราะแม่ของเธอมีแต่จะให้เธอแต่งงานกับฉายดนัยอย่างเดียว โดยไม่เคยสนความรู้สึกของเธอเลย แล้วก็จะคอยเอาเรื่องพ่อมาอ้างอยู่ตลอด เธอไม่อยากทนอยู่กับคนอย่างฉายดนัยอีกต่อไป เมื่อจิรพิมนตร์ยื่นคำขาดไปแล้ว เธอก็รีบบอกสิ่งที่เธอต้องการต่อไปกับมารดาทันที
“ยังไงช่วงนี้ มนตร์ขอไปอยู่กับยัยกานต์สักพักนะคะ”
“จะไปทำไม คนอื่นจะได้คิดว่าฉันไล่แกออกจากบ้านนะสิ”
“ใครเขาจะไปคิดอย่างนั้นกันล่ะคะ แม่ก็บอกไปสิ ว่ามนตร์ต้องช่วยกานต์มันดูร้าน นั่งรถเมล์ก็ไกลกว่าจะกลับถึงบ้าน”
“เดี๋ยวนี้แกจะทำอะไรก็ทำ..ไม่คิดจะเห็นหัวฉันเลยรึไง นึกจะทำอะไรก็ไปทำ แล้วไอ้ร้านอาหารกระจอก ๆ มันจะได้กำไรสักเท่าไหร่กันเชียว คุณทวีปจะให้แกไปเป็นเลขาฯ เค้า แกก็ไม่เอา”
“แม่คะ! มนตร์ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณอะไรอาทวีปอีกแล้ว”
“งั้นแกห้ามออกจากบ้านนี้เด็ดขาด นี่คือคำสั่ง” นิตยายื่นคำขาดกับบุตรสาวบ้าง
“แต่แม่คะ!!!” หญิงสาวกำลังจะเถียงผู้เป็นมารดา แต่นิตยาก็รีบพูดดักคอบุตรสาวทันที
“แกต้องการให้คนเข้าใจผิดว่าฉันเลี้ยงดูแลแกไม่ดีใช่มั้ย แกถึงทนอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“แต่มนตร์โตแล้วนะคะ..แม่” พ่อเลี้ยงรีบเข้ามาห้ามไม่ให้ภรรยาของตนทะเลาะกันลูก จิรพิมนตร์จึงเดินหนีออกจากบ้านไป
“นิตยาคุณก็อย่าเพิ่งไปกดดันลูกคุณสิ ยังไงวันหนึ่งยัยมนตร์มันก็ต้องยอมแต่งงานกับเจ้าดนัยอยู่ดีแหละ มันจะทู่ซี้ทนไปได้สักกี่น้ำกันเชียว รับประกันว่าเดี๋ยวร้านอาหารมันเจ๊ง มันก็กลับมา เชื่อผมสิ!!”
“แต่ฉั้นรู้มาว่า มีเศรษฐีคนหนึ่งมาติดพันมันน่ะสิ ไม่งั้นมันไม่รั้นจะไปอยู่ข้างนอกแบบนี้หรอก”
“ใครกัน!!”
“นายเจตนิพัทธ์ น้องชายของนายเจษฏา เจ้าของโรงแรมรายใหญ่ที่ภูเก็ต”
“รวยระดับนั้น มันจะมายุ่งเกี่ยวกับยัยมนตร์ทำไม สงสัยมันต้องหวังอะไรแน่ ๆ หรือว่าเราจะลองให้ยัยมนตร์คบหากับมันดี”
“อย่าเลย..ยังไงลูกชายของคุณทวีปก็มีภาษีดีกว่า แล้วฉันก็ยังมีโอกาสจะได้หุ้นคืนจากเค้าอีกด้วย”
“ก็ไหนว่าหุ้นนั้น คุณทวีปเค้าจะคืนให้ยัยมนตร์ตามที่ตกลงกับสามีคุณยังไงล่ะ”
“จะคืนให้ใครก็ช่าง แต่ถ้าฉันทำให้ยัยมนตร์แต่งงานกับลูกชายของคุณทวีปได้ คุณทวีปก็ต้องคืนหุ้นมาให้ฉันสิ ในเมื่อมันเป็นของสามีเก่าฉัน”
“งั้นก็แล้วแต่คุณ คุณไปคุยกับคุณทวีปเองนะ ผมไม่ยุ่ง”
“คุณน่ะ ก็หัดช่วยดูมันบ้าง อย่าให้มันออกไปไหน แล้วก็อย่าเผลอไปรุ่มร่ามใส่มันอีกล่ะ มันยิ่งระแวงอยู่” นิตยาพูดดักเอาไว้ เพราะจิรพิมนตร์เคยมาฟ้องตนเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่ง นิตยาจึงกลัวว่าบุตรสาวจะอ้างข้อนี้เพื่อออกไปอยู่กับเพื่อนอีก
“เอ่อน่า ผมไม่ยุ่งหรอก ไปหาเศษหาเลยข้างนอกเอาก็ได้”
“แล้วเงินที่ฉันให้น่ะ ก็ใช้ให้มันน้อย ๆ หน่อย ไม่ใช่เอาไปลงอ่างเสียหมด”
จิราพิมนตร์เดินออกจากบ้านไปที่วัดใกล้ ๆ เธอไปที่เจดีย์บรรจุอัฐิของบิดา เธอดูรูปแล้วทรุดตัวมานั่งร้องไห้
“พ่อค่ะ มนตร์ทำในสิ่งพ่อต้องการไม่ได้อีกแล้ว ฮื้อๆๆ มนตร์ต้องขอโทษนะคะคุณพ่อ คุณพ่ออย่าโกรธมนตร์เลยนะคะ ฮื้อๆๆ” จิรพิมนตร์นั่งร้องไห้คร่ำครวญและบอกว่าตนเองไม่อยากทำตามคำสั่งเสียที่พ่อได้บอกเอาไว้ เรื่องกอบกู้ฐานะคืนให้ครอบครัว เธอบอกว่าเธอไม่ได้รักฉายดนัย
“มนตร์ขอโทษนะพ่อ ฮื้อ ๆๆๆ” จิราพิมนตร์กล่าวขอโทษบิดาของเธอผ่านรูปที่ติดเอาไว้ตรงหน้าเจดีย์เก็บอัฐิ จากนั้นเธอก็ร้องไห้โหออกมา เธอบอกว่าตนเองพยายามอย่างดีที่สุดแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ว่าตอนนี้เธอเหนื่อยมากแล้ว
“มนตร์คิดถึงพ่อนะคะ”