ตอนที่ 4
“ไม่เป็นไรจ้ะ ว่าแต่หนูสบายดีไหมจ๊ะ” เธอถามขึ้นมา แต่ทว่ายังไม่ทันได้ตอบ คุณผู้หญิงตระกูลลู่เดินเข้ามาทันที ส่งเสียงเล็กแหลมกล่าวส่อเสียดเธอในทางที่ไม่ดีเอาเสียเลย
“ไปไหนมาไม่รู้จักกลับบ้าน เที่ยวร่านขายตัวไปทั่ว รู้ไหมชื่อเสียงตระกูลเสียหายก็เพราะเธอ” คุณผู้หญิงตระกูลลู่ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น น้ำเสียงของเธอไม่หนักไม่เบา แต่ทำให้คนยืนอยู่ใกล้ ๆ หันมาจับจ้องเธอเป็นตาเดียว
หญิงสาวสวมชุดชมพูกลีบบัวถูกนิ้วของแม่เลี้ยงคนนี้จิ้มเข้ามาที่หน้าผากอย่างจัง ด้วยความไม่พึงพอใจอยู่เต็มทรวงอก น้ำเสียงแปร๋น ๆ ของแม่เลี้ยงนั่นยังดุด่าสอดเสียดและเหยียดหยามไม่ยอมหยุดเสียที “ฉันไม่น่าเลี้ยงแกเลยจริง ๆ นังสารเลว” ถ้อยคำอันหยาบคายได้พรั่งพรูออกจากคุณผู้หญิงตระกูลสูงส่ง มันไม่ช่วยขัดเกลาให้เธอพูดจากับอีกฝ่ายด้วยคำไพเราะรื่นหู แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ลูกคนใช้ก็ตาม
“นี่คุณคะ ทำไมต้องพูดจารุนแรงแบบนี้ด้วย” สตรีสูงวัยดันเด็กสาวให้ถอยออกห่างจากผู้หญิงใจร้ายคนนั้น ลู่เจียวอิงดวงหน้างดงามแต่ตอนนี้มันชาไปหมด เพราะถ้อยคำของคุณผู้หญิงมันกระแทกเข้าเธออย่างจัง
“คุณมาเกี่ยวอะไรด้วย” เธอเชิดหน้าขึ้น พลางเหลือบมองสตรีคนนี้ด้วยความไม่พอใจ ถึงจะเป็นงานแต่งงานของลูกสาวหล่อน หากแต่ว่าวันนี้นังตัวซวยนั่นเข้ามา ทำให้จุดเด่นของงานตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายเข้าให้ เจตนานังเด็กเหลือขอนี่ทำไมหล่อนจะไม่รู้ และดูแต่งตัวมางานแทบจะโดดเด่นกว่าลูกสาวเธอเสียด้วยซ้ำไป ยิ่งเห็นเธอก็ยิ่งแค้นยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่
“ฉันก็ไม่อยากเกี่ยวหรอกค่ะ แค่เอ็นดูเธอก็เท่านั้นเอง” ว่าแล้วสตรีคนนี้มิได้รอชักช้าอะไร จับเด็กสาวไปนั่งด้วยที่โต๊ะของแขก วีไอพี และนั่นยิ่งทำให้คุณผู้หญิงตระกูลลู่ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง กล้าเสนอหน้าถึงขั้นไปนั่งกับใครก็ไม่รู้
“หนูขอบคุณ คุณป้ามาก ๆ นะคะ ที่ช่วยหนู” เจียวอิงกล่าวขึ้นมา ดวงหน้าของเธอสะสวยจนแขกร่วมโต๊ะต่างสงสัย บางคนก็เดาได้ว่าเธอเป็นใคร บางคนก็แสดงท่าฮึดฮัดไม่พอใจ และยังดีที่ว่าโต๊ะตัวนี้มีแขกวีไอพีนั่งแค่สามคนเท่านั้น
“บทนางร้ายในละครไม่ช่วยให้เธอแสดงร้าย ๆ ออกมาเลยหรือไรกัน เรื่องแค่นี้ยังต้องให้คนอื่นมาช่วยอีก” เธอมองหน้าเด็กสาว แต่ฝ่ามือของเธอกำลังปลอบประโลมจิตใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เจียวอิงไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นนี้เลยก็ว่าได้ แม่ของเธอจากไปตั้งแต่ห้าขวบ ทอดทิ้งให้เธออยู่ในบ้านตระกูลลู่เพียงลำพัง
เธอต้องทำงานไม่ต่างจากสาวใช้ในเรือนหลัง แม้ว่าจะมีบิดา แต่ก็ไม่เคยสนใจไยดีเธอสักครั้ง กระทั่งหางตายังไม่เคยเหลือบแลชายตามองเสียด้วยซ้ำไป เธอเองจะมีความเป็นอยู่อย่างไร ผู้ชายคนนั้นไม่เคยมอง ขนาดเจ็บป่วยยังปล่อยให้เธอนอนอยู่บนเตียงเน่า ๆ หากไม่ใช่เพราะสาวใช้ในเรือนหลังสงสารละก็ ป่านนี้เธอคงอยู่ในสุสานแล้วก็เป็นได้
“หนูเล่นไปตามบทน่ะค่ะ” เธอกล่าวด้วยความจริงใจ ใบหน้าค่อนข้างจะตึงเครียดเมื่อเห็นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในงามยิ้มแย้มทักทายแขกมากมาย เขาไม่ได้มองมาที่เธอด้วยซ้ำไป และตำแหน่งอะไรของครอบครัวตระกูลลู่ เธอไม่เคยได้เหยียบสักครั้ง ลูกสาวคนเล็กหรือก็หาใช่ไม่
เธอเป็นเพียงแค่ความไม่ตั้งใจจนทำให้เธอเกิดมา และมารดาของเธอทนอยู่ไม่ได้ นั่นเพราะคุณผู้หญิงดุด่าและยังลงโทษขังเธอเอาไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่าง หลังจากนั้นความอดทนของมารดาเธอสิ้นสุด จึงได้หลบหนีออกไป แต่เธอกลับทอดทิ้งลูกสาวเอาไว้ให้สามี
คงคิดว่าเขาจะเหลียวมองมาบ้าง แต่เจียวอิงไม่เคยได้รับความอบอุ่นเหมือนลูกคนอื่น ๆ ในครอบครัวนี้สักครั้ง อ้อมกอดของบิดาไม่เคยเป็นของเธอ และเธอได้เพียงแค่มอง...และมองคนในบ้านใหญ่หัวเราะสนุกสนาน แต่เธอล่ะ ทำงานก้นครัวตั้งแต่จำความได้
“หนูมีแฟนหรือยัง ถ้ายังไม่มีมาเป็นลูกสะใภ้ฉันไหมจ๊ะ”
“คนอย่างหนูไม่คู่ควรให้คุณป้ามาสนใจเหลียวแลหรอกค่ะ หนูยืนได้ทุกวันนี้ก็เพราะคุณป้าหยิบยื่นโอกาสมาให้หนู” หากผู้หญิงคนนี้ไม่เสนอชื่อเธอไปคัดเลือกละคร เธอก็ไม่มีโอกาสได้ยืนขึ้นมา และนั่นถึงจะเป็นบทบาทไม่โดดเด่นสักเท่าไหร่ แต่ในละครเธอเป็นนางร้ายที่ใคร ๆ ต่างก็ชิงชัง
แต่ชีวิตจริงของเธอยิ่งกว่าละครน้ำเน่าหลังข่าว ชีวิตบัดซบเช่นนี้มันเป็นของเธอ และเธอก็เป็นเพียงแค่ลูกคนใช้ คำคำนี้เป็นคุณผู้หญิงและบรรดาพี่ ๆ ทั้งสามใช้คำพูดเช่นนี้เหยียบย่ำเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้เธอจะเริ่มยืนด้วยลำแข็งของตัวเองได้
“อย่าพูดอย่างนั้นสิจ๊ะ” สตรีสูงวัยกล่าวขึ้นมา ดวงตาของเธอดูอบอุ่นนัก ลู่เจียวอิงแทบอยากจะกอดแล้วแนบใบหน้าลงร้องไห้โฮออกมา เพราะเจ้าบ่าวในงานเป็นผู้ชายเพียงแค่คนเดียวที่ดีกับเธอ
จวบจนจบงานเลี้ยง สตรีสูงวัยจึงได้เดินออกมาข้างนอก เพื่อจะกลับบ้านไปพักผ่อน ลู่เจียวอิงออกมาส่งด้านหน้าของโรงแรมเจ็ดดาว ไม่บอกก็รู้ว่าค่าสถานที่จัดงานเป็นเงินมหาศาลทีเดียว ตระกูลลู่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายขนาดนั้น แต่ตระกูลเจียงร่ำรวยใช้ได้
คล้อยหลังส่งสตรีสูงวัยแล้ว แม่นางร้ายกำลังจะกลับบ้านไปซุกหัวนอน เงินค่าตัวของเธอไม่มากมาย เธอกำลังเก็บเงินเอาไว้ หวังว่าอยากจะได้บ้านสักหลักหรือไม่ก็คอนโดเล็ก ๆ เอาไว้ซุกหัวนอน เพราะบ้านตระกูลลู่เธอไม่อยากจะเหยียบเข้าไปอีกแล้ว
เมื่อเธอกำลังก้าวออกไปช้า ๆ เงยหน้าแหงนมองท้องฟ้าอีกครั้ง นั่นเพราะเธอชอบมองออกไปหวังว่าสักวันจะได้โบยบินมีอิสรภาพ ทันใดนั้นเอง เธอก็ถูกกระชากให้หันกลับมายังไม่ทันจะตั้งหลักเสียด้วยซ้ำกลับถูกฟาดเข้าให้ด้วยฝ่ามือของใครบางคน เธอถึงขั้นทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น
เจียวอิงเงยหน้าขึ้นมอง พบเห็นว่าพี่สามชี้หน้าต่อว่าเธอปาว ๆ “ยังจะมีหน้ากลับมาเหยียบที่งานแต่งอีกเหรอ รู้ไหมว่าในงานมีคนพูดถึงแกยังไงบ้าง ทำไมไม่ตาย ๆ ไปสะ” ลู่เจียวเหมยคือพี่สาวคนที่สาม คนที่แต่งงานคือพี่รอง