หลังจากถูกสามีทิ้งเอาไว้ที่โซฟาชั้นล่างของตัวบ้านในที่สุดอาการเป็นตะคริวที่ขาทั้งสองข้างก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่อาการปวดหัวกลับเกิดขึ้นมาแทนที่ นั่นอาจเพราะบาดแผลที่ได้รับ อีกทั้งวันนี้ทั้งวันก็ยังคงเกิดเรื่องวุ่นๆ มากมายเต็มไปหมด จึงไม่แปลกอะไรที่คนร่างกายอ่อนแอขี้โรคมาตั้งแต่เกิดอย่างรินลดาจะเกิดอาการพวกนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงกัดฟันทำงานบ้านเหมือนอย่างที่เคยทำ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงตอนเย็นร่างสูงของใครอีกคนก็เดินลงมาที่ชั้นล่างพร้อมกองเอกสารสำคัญหลายฉบับในมือ
ตรีภพจ้องมองภรรยาที่กำลังยืนจัดข้าวของอยู่ที่ห้องรับแขกชั่วครู่ก่อนจะเดินเลยผ่านหน้าเธอไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาที่อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ เหตุผลเดียวที่เขาลงมาก็เพื่อหวังจะลงมาเปลี่ยนบรรยากาศในการทำงานที่แสนจะน่าเบื่อของตัวเอง ไม่ใช่เพราะห่วงใครอีกคน นั่นคือสิ่งที่เขาย้ำกับตัวเองในใจ
“ช่วยไปชงกาแฟให้ผมสักแก้วทีสิ” คนถูกเรียกต้องผละมือจากงานบ้านตรงหน้าในทันทีที่ได้ยินคำขอร้องแกมคำสั่งของสามีก่อนจะหันไปกลับถามอย่างเป็นห่วง
“แต่นี้มันเย็นมากแล้วนะคะ ถ้าคุณขืนดื่มกาแฟเข้าไปตอนนี้ตอนดึกอาจจะนอนไม่หลับก็ได้นะคะ ฉันว่าเปลี่ยนเป็นชาหรือน้ำส้มดีกว่าไหมคะ”
“ผมขอกาแฟก็ต้องกาแฟสิ อีกอย่างงานท่วมหัวออกขนาดนี้คืนนี้ก็คงไม่ได้นอนอยู่ดี จะดื่มอะไรมันก็เหมือนกันทั้งนั้นนั่นแหละ!” แม้ว่าลึกๆ ภายในใจนึกอยากจะขัดมากกว่านี้แต่ก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะทำมัน หญิงสาวจึงทำได้แต่หันหลังให้เดินไปชงกาแฟตามที่สั่งก่อนจะวกกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกาแฟและของว่างในมือ
“เมื่อสักครู่คุณย่าให้แววมาบอกว่าเย็นนี้จะไม่ตั้งโต๊ะที่เรือนใหญ่นะคะเพราะท่านกับน้องทิพย์ต้องไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดคุณหญิงศรีโสภาที่บ้านแต่ท่านจะให้แววนำอาหารเย็นมาให้เราสองคนที่นี่แทน คุณภพอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมค่ะฉันจะได้เข้าครัวทำให้” หญิงสาวจัดแจงบอกทุกๆ สิ่งที่เพิ่งจะได้รับรู้มาให้แก่ผู้สามีได้ฟังพร้อมรอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง
“ผมกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอบคุณ” ตรีภพตอบกลับไปห้วนๆ สายตายังคงตรวจตราเอกสารในมือไม่ละไปไหน จนเมื่อหญิงสาวกำลังจะหมุนตัวเดินหนีสายตาของชายหนุ่มถึงได้เหลือบไปเห็นบางสิ่งบนใบหน้าหวานเข้าถึงได้ร้องทักขึ้นเสียงดัง
“เดี๋ยวก่อน!”
“คะ คุณภพอยากได้อะไรอีกเหรอคะ” รินลดาย้อนถามในทันทีที่หันหลังกลับมาตามเสียงเข้มที่ร้องเรียกขึ้น ในใจนึกหวังว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจและอยากชิมฝีมือของเธอขึ้นมาบ้างแต่ก็ต้องพันกับความผิดหวังเมื่อได้ยินคำถามที่ดังตอบกลับมา
“ทำไมหน้าคุณมันถึงได้ซีดขนาดนั้น ไม่สบายรึไง”
“ฉันแค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยเท่านั้นค่ะ เดี๋ยวทานยาไปสักพักก็คงดีขึ้น คุณทำงานต่อไปเถอะค่ะ ฉันว่าจะออกไปช่วยแววยกข้าวมาตั้งโต๊ะสักหน่อย” แม้ในใจนึกอยากจะร้องประท้วงขึ้นเพราะหน้าที่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องทำเลยสักนิด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้รวบรวมความกล้าร่างบอบบางของภรรยาก็หมุนตัวก่อนจะก้าวฉับๆ จากไปไกลแล้ว ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับสาวใช้อีกสองคน ก่อนที่ทั้งหมดจะช่วยกันจัดแจงอาหารเย็นกันอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ขอบคุณแววดาวกับสายใจมากนะจ๊ะ แยกย้ายกันไปพักเถอะจ๊ะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการต่อเอง” รินลดาเอ่ยร้องบอกก่อนจะส่งยิ้มหวานๆ ไปให้สาวใช้ทั้งสองที่กำลังยืนรอรับคำสั่งตรงหน้า อาการเวียนหัวจู่โจมหนักขึ้นจนหญิงสาวจำต้องรีบล้มตัวนั่งลงไปบนที่เก้าอี้เพื่อหาที่พัก
“ได้ค่ะคุณหนูเล็ก ถ้าเกิดต้องการอะไรเพิ่มก็เรียกใช้แววได้ตลอดเวลาเลยนะคะ”
“ได้จ๊ะ ขอบใจมากนะ” สิ้นคำสั่งสาวใช้ทั้งสองจึงค่อยๆ พากันออกไปสวนทางกับเจ้านายหนุ่มที่หยุดพักงานที่ตรึงเครียดเดินฉับๆ เข้ามาในห้องโถงเพื่อร่วมรับประทานอาหารเย็นกับภรรยา
“วันนี้มีแต่ของโปรดของคุณทั้งนั้นเลยค่ะ เดี๋ยวฉันตักข้าวให้นะคะ” หญิงสาวเอ่ยปากอย่างมีความสุขก่อนจะอาสาลุกขึ้นตักข้าวให้ทั้งของตัวเองปละผู้เป็นสามีที่กระทั่งตอนนี้ก็ยังคงนั่งทำหน้าเงียบขรึมให้ได้เห็นอยู่ทว่าพอครั้นจะเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเองอาหารเวียนหัวกลับกำเริบขึ้นอีกครั้งจนร่างโซเซไปมาคล้ายว่าจะล้มโชคยังดีที่คนโตไวกว่าเอื้อมมือไปคว้าหมับเอวคอดก่อนจะดึงเธอลงไปนั่งยนตักของตัวเองได้ทัน ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือมาแตะที่หน้าผากกันด้วยท่าทีอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองตัวร้อนจัดถึงขนาดนี้! ไม่สบายทำไมไม่ยอมบอก!” เสียงตวาดดังถามขึ้นทันทีที่พบว่าอุณหภูมิในร่างกายของคนดื้อดึงบนตักร้อนจนเขาแทบจะชักมือกลับออกมาเสียไม่ทัน นี่คงจะเป็นหนักมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วแต่ก็ยังฝืนตัวเองทำงานบ้านไม่รู้จักพักเป็นแน่
“ขอโทษค่ะ ฉันคิดว่าถ้าทานยาเข้าไปสักพักมันคงจะดีขึ้น ฉันก็เลย...”
“เป็นหมอรึไงถึงได้รู้ดีไปเสียหมดแบบนี้ การกินยาแล้วนอนพักนั่นมันคืออาการของคนที่มีไข้อ่อนๆ แต่นี่ตัวร้อนเป็นไฟขนาดนี้จะแค่กินยาได้ยังไงกัน ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปหาหมอเดี๋ยวนี้!!” ตรีภพสวนกลับทันตาเห็นก่อนจะดึงร่างเล็กบนตักให้ลุกขึ้นและเตรียมจะลากเธอขึ้นไปเปลี่ยนชุดเพื่อที่จะไปหาหมอด้วยกัน แต่อีกฝ่ายกลับดื้อรั้นขืนตัวเองเอาไว้แน่นพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“ไม่ไปหาหมอได้ไหมคะ ฉันกะว่าจะขึ้นไปนอนพักหลังที่จากทานข้าวเย็นเสร็จอยู่แล้ว แค่ทานยาแล้วนอนพักอีกไม่นานมันคงจะดีขึ้นเอง อีกอย่างลุงมั่นก็ไม่อยู่ด้วย คุณเองก็ยังมีงานที่ต้องทำให้เสร็จ...”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เรื่องของฉันฉันจัดการเองได้ แต่เธอจะต้องไปหาหมอเดี๋ยวนี้!”ตรีภพยังคงไม่ยอมแพ้ ไม่มีใครจะรู้ดีกว่าเขาอีกแล้วว่าหญิงสาวอ่อนแอแค่ไหน แค่โดนแดดโดฝนหน่อยเดียวเธอก็เป็นหวัดจามไม่หยุดเสียจนผู้เป็นพี่สาวของเธอซึ่งก็คืออดีตคนรักของเขาคนนั้นอดไม่ได้ที่จะบ่นให้เขาฟังอยู่เสมอๆ ถึงอาการขี้โรคของน้องสาวตนเอง
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ขอฉันจัดการเองได้ไหมค่ะ ก็มันเป็นเรื่องของ...ฉัน” ความหมายของคนพูดคือแค่ไม่อยากทำให้เขาต้องลำบากไปด้วยเท่านั้น แต่กลับคนได้ฟังกลับคิดเลยเถิดไปไกลจนถึงขั้นคิดว่าเธอไม่อยากให้เขาเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเธอให้มันมากนัก ว่องไวกว่าสิ่งไหนเมื่อมือที่กำลังกำต้นแขนของหญิงสาวเอาไว้แน่นปล่อยออกจากกันในทันทีก่อนจะกลับไปล้มตัวนั่งที่เก้าอี้ของตัวเองตามเดิมพร้อมประโยคที่ใครได้ฟังคงจะเจ็บร้าวไปอีกนาน….
“ก็ดี! อวดเก่งดีนักก็เชิญจัดการกับตัวเองไปก็แล้วกัน แต่ขอเตือนไว้อย่างว่าอย่ามาตายในบ้านของฉัน! แค่ตอนเป็นคนฉันก็เกลียดเธอมากพออยู่แล้ว ถ้าจู่ๆ ต้องตายกลายเป็นผีอยู่เฝ้าที่นี่ไปฉันคงจะทำใจอยู่ที่นี่ได้ลำบากมากขึ้นเข้าไปอีก!” รินลดาเจ็บจนพูดไม่ออกแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักนอกเสียจากยอมเดินกลับไปทิ้งตัวนั่งก่อนจะร่วมทานข้าวเย็นกับคนจร้ายที่มักจะชอบทำร้ายเธอด้วยคำพูดอยู่เรื่อยไปอย่างเงียบเฉียบ ไม่ปริปากพูดหรือเอ่ยอะไรออกมาอีกเลยจนกระทั่งทุกๆ อย่างเสร็จสิ้นหญิงสาวถึงได้รวบเอาช้อนและจานเข้าหากันก่อนจะเดินหายเข้าไปครัวและกลับออกมาอีกครั้ง สายตาสอดส่องมองหาสามีไม่นานก็พบว่าเขากลับไปนั่งทำงานของตัวเองอยู่ที่ห้องรับแขกตามเดิมแล้วถึงได้ค่อยๆ เดินเข้าไปหาก่อนจะเอ่ยบอกบางสิ่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย..
“คุณจะว่าอะไรไหมคะว่าฉันจะขอขึ้นไปนอนพักข้างบนก่อน”
“เชิญ!” ชายหนุ่มเอ่ยอนุญาตเพียงสั้นๆ แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองตามแผ่นหลางของหญิงสาวที่ค่อยๆ เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเชื่องช้าจนหายลับสายตาไปในที่สุด