“ทำไม! ฉันต้องมีอะไรด้วยหรือยังไงถึงจะพูดคุยกับเธอได้!”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นนะคะ แค่เห็นว่าทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันคุณมักจะทำท่าทีรำคาญเหมือนไม่อยากเจอหน้า ฉันก็เลยคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าฉันไปให้พ้นๆ หน้าของคุณซะ ฉันก็แค่อยากทำให้คุณสบายใจมันก็เท่านั้น” รินลดาแย้งขึ้นก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาคมเข้มที่กำลังจ้องมองมาอยู่ไม่ห่าง ไม่อยากทำให้เขาต้องรู้สึกหงุดหงิดไปมากกว่านี้ แต่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าจุดที่ตัวเองควรจะยืนนั้นแท้ที่จริงแล้วมันอยู่ที่ไหนกันแน่
“ช่างเถอะ ฉันจะยอมยกโทษให้ถ้านั่นคือคำตอบที่มาจากใจของเธอจริงๆ มานี่สิ!” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทำตามคำสั่งมือหนาก็จัดการลากเธอให้เดินกลับเข้าไปในศาลาด้วยกันอีกครั้งก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกระตุกเอาข้อมือเรียวให้ล้มลงไปนั่งบนตักของตัวเอง เมื่อคนตัวเล็กทำท่าจะดิ้นขัดขืนจมูกโด่งสันก็คอยทำหน้าที่จรดลงบนแก้มใสเป็นการสั่งสอนให้เธอหยุดดิ้นและเลิกพยศรั้นพร้อมเสียงที่ดังขู่…
“ถ้ายังดิ้นอยู่อย่างนี้ ต่อไปจะไม่ใช่แค่หอมแก้ม มันอาจจะเลยเถิดไปไกลมากกว่านั้นและเชื่อเถอะว่าไม่มีอะไรหรือใครมาหยุดฉันได้ง่ายๆ เหมือนวันนั้นแน่!” ได้ผลทันทีเมื่อหญิงสาวหยุดดิ้นรนขัดขืนเพราะกลัวเขาจะทำตามที่ขู่เอาไว้เข้าจริงๆ ยิ่งคิดไปถึงคืนนั้นที่เขาว่าหัวใจยิ่งพลอยเต้นรัวมากขึ้นเข้าไปอีก คิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าถ้าหากคืนนั้นสาวใช้ไปตามเอาของขวัญวันเกิดไปให้มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ไง! ที่เงียบนี่เพราะกำลังคิดเสียดายเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอยู่ใช่ไหม”
“คะ…คุณภพ!”
“เงียบไปซะแล้วรีบยกแขนขึ้นมาเสียทีฉันจะได้ทายาให้” คำสั่งห้วนๆ ดังขึ้นก่อนตรีถพจะเป็นฝ่ายยกเรียวแขนขึ้นมาดูสำรวจด้วยตัวเองทั้งๆ ที่เจ้าตัวนั้นยังคงเอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนตักของเชาเพราะไม่กล้าที่จะขยับไปไหนไกลเลยสักวินาทีเดียว ใบหน้าคมคายค่อยๆ โน้มเข้ามาใกล้ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หัวไหล่เพื่อตรวจดูบาดแผลที่เกิดจากรอยเล็บของตัวเองให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น คำสบถมากมายดังตามมาติดๆ ก่อนตรีภพจะค่อยๆ บรรจงใช้ยาหม่องนวดคลึงแผลให้อย่างใจเย็น
“โอ้ย! เจ็บค่ะ”
“อยู่นิ่งๆ ได้ไหม เจ็บแค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอกน่า” ตรีภพเอ่ยขึ้นดุก่อนจะใช้ขาทั้งสองข้างของตัวเองหนีบเอาเรียวขาสวยที่กำลังบิดเร้าไปมาด้วยความแสบร้อนของฤทธิ์ยาที่เขาทาให้อย่างเอาเป็นเอาตายส่งผลให้บางสิ่งที่กำลังหลับใหลอยู่ภายในกางเกงขายาวสีขาวแทบจะตื่นขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายยิ่งดิ้นเร้าๆ สะโพกกลมมนของเธอก็จะยิ่งแนบชิดกับกายหยาบของเขามากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวเลยว่ายิ่งเธอดิ้นแรงมากเท่าไหร่ความอดทนอดกลั้นของเขาก็ยิ่งจะเหลือน้อยมากขึ้นเท่านั้น
“หยุดดิ้นเดี๋ยวนี้นะหนูเล็ก เธอกำลังปลุกบางสิ่งที่ไม่สมควรปลุกมันอยู่รู้ตัวรึเปล่า ไม่เห็นรึไงว่าตอนนี้เราสองคนแนบชิดกันมากแค่ไหน แล้วรู้ไหมถ้าเกิดมันตื่นขึ้นมาจุดจบของเธอมันจะไม่สวยนัก!” คำพูดที่ยาวเหยียดของชายหนุ่มเป็นผลขึ้นทันทีทำให้รินลดาแทบจะหยุดทุกๆ สิ่งลงทันควันก่อนจะหน้าแดงกล่ำเมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่มันกำลังพองโตแนบชิดกับสะโพกของเธออยู่
ถึงแม้ว่าจะไม่ประสาสักเท่าไหร่แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ซื่อเสียจนดูไม่ออกว่าสิ่งที่กำลังทำปฏิกิริยาอยู่กับบั้นท้ายของเธอในตอนนี้นั้นคืออวัยวะเพศส่วนไหนของร่างกายชายหนุ่มกันแน่!
“ทำไมไม่ดิ้นต่อล่ะ”
“ฉันไม่ดิ้นแล้วค่ะ ไม่ดิ้นแล้ว” หญิงสาวพูดได้แต่เพียงเท่านั้นจริงๆ ก่อนที่จะยอมอยู่นิ่ง ปล่อยให้สามีทำแผลให้ แต่ก็ใช้เวลาไปนานอยู่พอสมควรทำเอาคนที่นั่งเกร็งอยู่นานถึงกลับลุกไม่ขึ้นเพราะเกร็งขามากไปหน่อย
“ลุกขึ้นไปเสียที ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกลนั่นแล้วเธอไม่เห็นหรือยังไง” เพราะร่างบางที่ไม่ยอมขยับตรีภพจึงต้องเป็นฝ่ายเอ่ยบอกขึ้นมาเสียเองก่อนจะค้นพบความจริงเมื่อรินลดาจำใจต้องเอ่ยตอบกลับไปตามความเป็นจริงตรงหน้าที่กำลังเผชิญอยู่ตามลำพังในตอนนี้
“ขอโทษค่ะ ฉันลุกไม่ได้เพราะว่าขาของฉันเป็นตะคริว” รินลดาจำต้องยอมบอกออกไปตามความจริงก่อนจะก้มหน้านิ่งๆ รอฟังคำเอ็ดของอีกฝ่ายที่ดังสวนขึ้นมาทันตาเห็น...
“ให้ตาย! นี่ฉันคงไม่พ้นต้องอุ้มเธอเข้าไปในบ้านหรอกใช่ไหม”
“ไม่ค่ะไม่ต้อง แต่ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากจนเกินไป ฉันขอแค่คุณช่วยอุ้มฉันวางลงที่ศาลานี้ก่อน นั่งพักสักประเดี๋ยวอาการมันคงจะดีขึ้นไปเอง” เสียงหวานร้องตอบอย่างจนใจไม่ได้หวังอะไรมากขนาดที่เขาว่ามาเลยสักครั้งเพราะรู้ดีว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้แน่ๆ
“ช่างเถอะ! แต่จำไว้นะว่ามันจะไม่มีหนที่สองอีกเป็นอันขาด” จบคำพูดร่างกำยำก็ค่อยๆ จับคนตัวเล็กบนตักวางลงข้างกายก่อนจะลุกพรืดขึ้นและช้อนร่างเล็กเอาไว้ในอ้อมแขนอีกที
ครั้นเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเอ่ยขัดนัยน์ตาสีดำดุก็ตวัดจ้องมองเป็นเชิงสั่งให้หล่อนเงียบปากลงและก็ได้ผลทันตาเพราะรินลดาแทบจะไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีกเลย นอกเสียจากจำยอมให้เขาอุ้มเธอเข้าไปในตัวบ้านพร้อมกัน