หลังจากที่หลงฉีปรึกษากับท่านแม่ทัพโยว่และนายทหารที่ประจำการเกี่ยวกับการศึกเสร็จสิ้น เขารีบสาวเท้ากลับมายังกระโจมเพื่อดูว่านางได้กินอาหารตามที่สั่งให้นายทหารประจำการนายหนึ่งนำมามอบให้นางเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง
แต่เมื่อมาถึงเขากลับยืนมองภาพเบื้องหน้า สิ่งที่เขาได้ยินจากปากยามนางสนทนากับนายกองคนสนิท ‘นางต้องการกลับบ้าน’ ในใจบังเกิดความไม่พอใจขั้นรุนแรง เพราะคิดว่าตนเป็นผู้ยื่นมือช่วยเหลือชีวิตนางแล้วไยนางจึงต้องไปร้องขอให้คนอื่นช่วย เขาก้าวเท้าสามขุมเดินตรงมายังกระโจมด้วยสีหน้าบึ้งตึง เสี่ยวหลานที่เอ่ยถึงความต้องการของตนเห็นคนข้างด้านหลังเฟิ่งสือมีสีหน้าพร้อมที่จะฆ่าคนได้ ร่างกายพลันสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่
นางกลัวสายตาที่ถูกเขาจับจ้องจน ส่วนเฟิ่งสือที่ยืนหันหลังให้เห็นอากัปกริยาของเสี่ยวหลาน เขามองทะลุในแววตาเห็นเงาสะท้อนของใครที่เขารู้จักดีในแววตาของเสี่ยวหลาน ทันใดนั้นเองเขารู้ถึงชะตาของตนว่าอาจจะขาดสะบั้นได้ด้วยความโง่เขลาของตนเองที่คิดมายุ่มย่ามกับคนของท่านอ๋อง เมื่อคิดได้จึงหันหลังพร้อมคุกเข่า
“ท่านอ๋อง”
“ไสหัวเจ้าไปซะ!” เฟิ่งสือน้อมรับคำและกระวีกระวาดเดินออกไปทันที หลงฉีจับฝีเท้าของเขาได้ว่าไกลพอสมควรจึงเดินตรงไปหานางพลางยกมือบีบที่หัวไหล่นางอย่างแรง
“หากอยากกลับ ข้าจะไปส่งเอง ไม่จำเป็นที่ต้องร้องขอใคร!” พูดจบเขาสะบัดแขนเสื้อเดินออกจากกระโจมด้วยอารมณ์หงุดหงิดและเดินตรงไปยังลานฝึกยุทธ์ หยิบดาบมาฝึกอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าอารมณ์โกรธมิอาจทุเลาลงได้จึงฉวยหยิบเกาธนูมาฝึกอีกครั้ง เขาออกแรงดึงสายธนูและปล่อยสายอารมณ์ไปตามธนูที่พุ่งไปยังจุดปลายทางที่เขาเล็งไว้ในหัวจินตนาการถึงเฟิ่งสือ นั่นแหละเป้าอากาศที่เขาสามารถชำระแค้นเมื่อครู่นี้ได้ทว่าความจริงเขาไม่ต้องการทำร้ายทหารคนสนิทเพียงเพราะเรื่องสตรี
ความหงุดหงิดบรรเทาจางหายไปพร้อมกับแสงอาทิตย์อัสดง ร่างกายที่มีชุ่มไปด้วยเหงื่อทำให้เหนียวตัวไม่น้อย หลงฉีสาวเท้าไปยังแม่น้ำเพื่อชำระล้างร่างกายของตน กว่าจะกลับเข้ามายังกระโจมก็ยามรัตติกาลเต็มท้องฟ้าเสียแล้ว สองเท้าย่างเข้าด้านในอย่างช้าๆ ในมือจับดาบไว้ข้างกายมั่น สายตาสบเข้ากับสายตาประกายงดงามคู่หนึ่ง
สายตายังคงจับจ้องไปที่เสี่ยวหลานในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็จับจ้องไม่วางตาด้วยหัวใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าทะมึนในใจพลันตระหนกเพราะมือหนาถือดาบเดินตรงเข้ามาหมายจะเอาชีวิตนาง นางกลัวจนสุดขีดเพราะแววตาที่หลงฉีจ้องบ่งบอกเช่นนั้น เขาก้าวเท้าเชื่องช้าตรงมาที่เสี่ยวหลาน การกระทำนี้สร้างความพรั่นพรึงให้แก่นางไม่น้อย ร่างกายนางเริ่มสั่นระริก ทั่วสรรพางค์ต่างเกร็งตัวรับวิบากกรรมเบื้องหน้า ในใจร่ำร้องว่าชีวิตนี้ตนคงจะบุญมาน้อยคงได้แต่ยอมรับชะตากรรม
“ทำไม กลัวรึ เจ้าคิดว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือไง” หลงฉีเอ่ยถามทว่าอีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบตัวสั่นงันงก
“หึ! เจ้าตัวโง่งม ใครจะฆ่าเจ้ากัน” หลงฉีเห็นสีหน้าตื่นตระหนกไม่ลดความกลัวลงเลยแม้แต่น้อย จึงเอ่ยน้ำเสียงปลอบ
“เจ้าอยากกลับบ้าน?” เขาเอ่ยถามหวังว่านางจะได้ตอบเขาสักประโยคและลดท่าทีที่แสดงออกกัยเขาเมื่อครู่นี้เสีย เมื่อนางได้ยินคำถามที่เขาเอ่ยขึ้น นางก็พยักหน้า
“อีกสองสามวันข้าจะไปส่งเจ้าเอง ที่นี่เป็นกองทัพ หากเจ้าออกไปคนเดียวก็มีแต่เอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ ไม่ตายด้วยฝีมือทหารก็ตายด้วยโจรหรือข้าศึกที่ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ เจ้าเลือกเอา จะรอข้าไปส่งหรือจะกลับเอง” หลงฉีไม่รอให้นางตอบ เขาวางกระบี่ไว้ที่เตียงใกล้มือนางและหันหลังกลับไปเพื่อถอดเสื้อคลุมของตนออก สายตายังแอบชำเลืองว่านางกล้าที่จะยกดาบขึ้นมาทำร้ายเขาหรือคิดปลิดชีพตนหรือไม่แต่ก็เดาไม่ยาก สตรีผู้นั้นควบคุมง่าย ซื่อและตื่นกลัวหากเป็นสตรีเมืองหลวงไม่แน่ว่าคงหยิบดาบปลิดชีพตนเองเสียแล้ว
หลงฉีเดินกลับมายังเตียงอีกครั้งหยิบดายไปให้พ้นมือ สบตากับสตรีตื่นกลัวบนเตียง จ้องแววตาอยู่สักพักจึงเอนตัวลงนอนทว่าสายตายังไม่ละไปจากร่างสั่นระริก บางสิ่งเริ่มจับตัวเป็นก้อนและแข็งขึ้นภายใต้กางเกง เขาเป็นประเภทที่เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องอดทนอย่างเช่นเรื่องนี้ หลงฉีลุกขึ้นนั่งขวามือของเสี่ยวหลานแล้วดึงเข้าหาตัว เพราะนางเป็นสตรีไม่อาจสู้แรงชายเขาดึงร่างเข้าหาจึงทำให้ทั้งร่างไปอยู่ในอ้อมกอดเขา หลงฉีกอดร่างน้อยทั้งปลอบทั้งซุกไซ้ก่อนจะค่อยๆ หลอกล่อแมลงให้ติดกับดัก ปลายลิ้นสัมผัสกวัดโพลงปากไม่คิดว่าสตรีอ่อนด้อยจะหวานล้ำเช่นนี้ นางทำให้ช่วงเวลาในกองทัพที่แสนน่าเบื่อกลายเป็นความสุขล้ำยามค่ำคืน เขากระทำกับนางดังเช่นคืนวาน แต่ครานี้เขาหมายมั่นว่าจะเบาแรงตนเองสักนิด หลงฉีดันร่างน้อยนอนแนบเตียงโน้มหน้ากระซิบเสียงกระเส่า
“ข้าไม่ฆ่าเจ้า ปรนนิบัติข้า” แม้จะยังคงกลัวเขาไม่คลาย เขาเอ่ยปากไม่ฆ่านางเหมือนพวกคุณชายย่งแต่การกระทำของเขาไม่ใช่ฆ่านางทั้งเป็นหรอกหรือ หากคิดปลิดชีพตนแล้วท่านพ่อท่านแม่? เช่นนั้นนางคงได้แต่ทนฝืนต่อการกระทำอุกอาจของเขา แล้ว ชาตินี้นางคงไม่ได้ออกเรือนให้อับอายต่อตระกูล หวังว่าฝันร้ายของนางจะหมดลงโดยเร็วไว
นางรู้สึกถึงความกระดากอายยิ่งนัก เขาเอาแต่จดจ้องเรือนร่าง กดเม้มปลายยอดทั้งเอ่ยชม จับนางแยกขาพิจารณาสิ่งหวงห้ามจนนางอดใจที่จะยกฝ่ามือขึ้นปิดไม่ได้ “ข้าขอร้องท่านเลิกมองเถิด” นางพูดเสียงกระเส่าระคนกระดากอายกว่าจะรวบรวมความกล้าขอร้องเขา นางแทบจะกัดลิ้นปลิดชีพตนเสียแล้ว
หลงฉีอารมณ์ดีจึงยินยอมตามคำขอแต่มิใช่เลิกปฏิบัติ เพราะเห็นว่ากลีบเกสรบอบช้ำครั้งนี้มิอาจลงเรี่ยวแรงกระหน่ำแทงลงไปได้อย่างครั้งก่อน เขาจับร่างบางให้เปิดทางแย้มและพาแกร่งกลางเข้าเยี่ยมเยียนช่องทางสายธารที่นองเจ่อ
เสียงร้องค่อยเปลี่ยนไปแม้แต่เสี่ยวหลานยังตระหนกไม่น้อย นางห้ามไม่ให้ตนเองกอดเขาทว่าร่างกายไม่อาจห้ามได้เลย เมื่อรู้สึกตัวนางปล่อยมือกำผ้าปูแน่น แต่เหมือนเขาไม่ยินยอมช้อนร่างนางนั่งตักจับวงแขนคล้องคอจนนางสะดุ้งเพราะบางสิ่งที่มีลักษณะแท่งยาวขรุขระมันลึก ลึกเสียจนนางร้องเสียงหลง ใบหน้าเข้มซุกซนบนทรวงอกสูดกลิ่นหอมของสตรีแรกรุ่น และไม่รู้ว่าเสี่ยวหลานไปขุดความกล้ามาจากไหนถึงกล้าแอ่นหลังให้ภูเขาย่อมๆ โดดเด่นเห็นปลายยอดจนชายที่กระทำราคะพึงพอใจ
เสี่ยวหลานอยู่ในกองทัพเข้าวันที่สี่ทุกคืนหลงฉีไม่ปล่อยให้นางได้นอนเฉยๆ เมื่อใดที่เขาย่างเท้าก้าวเข้ามายังกระโจม นางต้องปรนนิบัติเขาเพื่อสนองคุณแผ่นดิน