เสี่ยวหลานรู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาลูบไล้ใบหน้าและผิวกายตน บางสิ่งบางอย่างบนร่างกายที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนก่อตัวขึ้นจนรู้สึกวูบวาบไปทั่วสรรพางค์ ขุมขนทุกอณูตั้งชันจนนางรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นจำต้องค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งที่บนเรือนร่างตนเป็นเงาใต้แสงเทียนคือชายที่ทวงสิ่งตอบแทนใช้มือสัมผัสร่างกาย ส่วนใบหน้าซุกซนบนเรือนร่างกายตน นางกรีดร้องเสียงหลงทั้งมือได้พยายามดันแผงอกของผู้มีพระคุณคราบซาตานให้พ้นร่างกายตนที่บัดนี้อาภรณ์ห่อหุ้มกายได้เผยให้เห็นทรวดทรงของนางต่อหน้าบุคคลอื่นเสียแล้ว
“หุบปาก” หลงฉีตวาดใส่นางด้วยโทสะที่จุกอยู่เต็มอก เขามีอารมณ์สุนทรีย์เต็มที่แต่ถูกเสียงร้องดังกรอกแก้วหู เขาไม่ยกมือขึ้นจัดการนางก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“ข้าไม่ได้มีความอดทนมากขนาดที่เจ้าคิดหรอกนะ”
เขาโน้มหน้าลงพรมจูบตามซอกคอ ซุกไซ้เล้าโลมอย่างใหลหลงแต่มิหิวโหยใบหน้าค่อยไล่ชื่นชมความงดงามที่อยู่ตรงหน้าทว่านางยังคงร้องขึ้นมาอย่างไม่ยอมจำนนกับสิ่งที่เขากำลังยัดเยียดโดยไม่ฟังคำเตือนของหลงฉีแม้แต่น้อย
“หากยังส่งเสียงเช่นนี้ ข้ารับรองได้เลยว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสได้ร้องอีก” นางหุบปากฉับไม่มีเสียงกรีดร้องดังเช่นเคยอีกเพราะภาพในสมองคิดถึงศพที่นอนตายจมกองเลือดอยู่ตรงหน้า นอกจากมีเสียงสะอื้นไห้ภายในลำคอที่นางได้แต่พยายามฝืนไม่ให้มันหลงออกมาให้เขาได้ยิน หลงฉีพรมจูบนางอย่างพึงพอใจ เพราะนางไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้องให้เกิดความรำคาญใจแก่เขาอีก เขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองนางอีกครั้ง น้ำตาไหลอาบข้างแก้มทั้งสองข้างก็มิอาจสร้างความสงสารและหยุดการกระทำได้แต่กลับยิ่งสร้างความรู้สึกกำหนัดให้กับหลงฉีเสียอีก เสียงอันแหบพร่าเอ่ยถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ในใจ “เจ้ากลัวมากเพียงนั้นเชียวหรือ?” นางยังคงไม่ตอบ แต่ตัวนางสั่นระริกราวกับกระต่ายน้อยถูกราชสีห์ใช้กรงเล็บหยอกเอินก่อนที่จะตะครุบเข้าปาก
“เจ้าคงกลัวมากสินะ” เขาเป็นผู้ถามกลับตอบคำถามนั้นเสียเอง แต่ก็กดยิ้มส่วนฝ่ามือมิอาจหยุดการกระทำเพราะบางสิ่งที่ยื่นออกมาช่างนุ่มนิ่ม เต็มไม้เต็มมือ ยิ่งคลึงยิ่งสนุกยิ่งเค้นยิ่งเห็นอยากให้แหลกเหลวไปตามมือ
หลงฉีกระซิบข้างหูพร้อมเม้มที่ติ่งหูน้อยๆ อย่างบันเทิงใจ ริมฝีปากดูดซับน้ำตาข้างแก้มอย่างแผ่วเบาทะนุถนอม ด้วยไม่อยากให้กระต่ายตนนี้ต้องตื่นตูมและกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายหน้าในอีกไม่กี่อึดใจ เมื่อเห็นว่าเสียงสะอื้นหยุดลง ริมฝีปากจึงค่อยเลื่อนมาประกบริมฝีปากของนาง จากแรกเริ่มที่จูบอย่างแผ่วเบาราวแมลงปอจุมพิตน้ำเพราะนี่คือของเล่นชิ้นสำคัญแต่กระนั้นความต้องการที่ทวีมากยิ่งขึ้นกลับเพิ่มความเร่าร้อน บดขยี้ริมฝีปากอันอวบอิ่มและใช้ลิ้นสอดแทรกเข้าไปยังระหว่างกลางกลีบฝีปากบนล่าง ตวัดสำรวจทุกซอกทุกมุมภายในช่องปากของนางอย่างพึงพอใจ มือหนาค่อยไล่ลงไปหาบางสิ่งที่เป็นแก่นกลางการกำเนิดชีวิต ผืนหญ้าบางเบาที่พอสัมผัสได้ปกปิดถ้ำน้อยไม่มิด นิ้วหนึ่งที่รู้ว่าตนเองมีหน้าที่สำรวจกลับไม่อิดออดตรงปี่เข้าไปจนทำให้เจ้าของถ้ำสะดุ้งเฮือกและเผลอจิกเข้าที่แผ่นหลัง หลงฉีหาได้ตำหนิกลับลงโทษโดยการทะลวงเข้าออกภายในช่องเล็กเพื่อเปิดทางให้ลำน้ำใสแตกจากเขื่อนออกมา
“ให้ข้าคือการสนองคุณแผ่นดิน” เสียงกระซิบเบาข้างหูหลอกล่อให้นางรู้สำนึกคุณตนและผืนแผ่นดินที่นางอาศัยอยู่ มีหรือที่นางจะตอบอะไรได้ในเวลานี้นอกจากบิดกายไปมา เขาปล่อยปลายนิ้วออกปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนบนร่างหญิงงามให้เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าของสองคนบนเตียง เขาเริ่มจัดการชอนไชลำนิ้วเข้าที่เดิม ใบหน้ายังคงครื้นเครงกับยอดภูเขาขนาดย่อมตรงหน้า ลิ้มชิมรสปลายปทุมถันอย่างสุขสม ก่อนที่จะนำแท่งหยกที่มิได้เรียบลื่นกดดันเข้าไปยังปากประตูถ้ำด้วยความยากลำบาก
“เจ้าจะเจ็บหากเจ้าเกร็งตัวอยู่อย่างนี้” เขาชี้นำแต่นางไม่นำพา ยังคงถดถอยและตั้งรับด้วยความประหม่า เขาแยกขานางให้กว้างขึ้นใช้สายตาพิจารณาและพึงพอใจกับสิ่งที่เห็นเป็นอย่างมาก กลีบดอกยังแดงระเรื่อชวนให้เข้าไปค้นหา เขาจ่อมันและดันทีละน้อยทีละน้อย มือกดสะโพกเพื่อรั้งให้ส่วนร่างตั้งรับอย่างแข็งขันและอดทน “อีกนิด อย่างนั้นแหละสาวน้อย!” เขากล่าวน้ำเสียงให้กำลังใจคนใต้ร่างที่ฝึกรบกับเขา เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง เสียงร้องกระเส่ามาเป็นช่วงๆ เขาไม่หงุดหงิดและคิดว่าชอบเสียงร้องนี้มากเพราะมันทำให้หลงฉีทรมานนางได้ตลอดทั้งคืน...
พระอาทิตย์ลอยขึ้นสูง
ชายหนุ่มเลิกม่านกระโจมขึ้นแล้วก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ลืมหันมามองนางที่นอนหลับอยู่ที่เตียง ในใจคิดว่าเขาคงจะรุนแรงกับนางมากเกินไปหรือไม่ แต่เขาก็มิได้เอ่ยอันใดออกมา ส่วนเสี่ยวหลานเมื่อเห็นว่าเขาได้ออกไปแล้ว นางก็ค่อยๆ ยันตัวเองลุกจากเตียงและใช้มือคลำหาเสื้อผ้ามาห่อหุ้มร่างกายอันแสนจะบอบบางของตน หลังจากที่สวมใส่ชุดของหลงฉีที่นางได้สวมใส่เมื่อวานนี้จนเรียบร้อย นางสังเกตภายในกระโจมนั้นเงียบจนน่ากลัว ท้องของนางเริ่มส่งเสียงเป็นสัญญาณเตือนว่านางควรที่จะหาอะไรเข้าท้องของนางได้แล้ว แต่นางก็ยังไม่กล้าพอที่จะออกจากกระโจมเพราะกลัวว่าบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวว่าชายเมื่อครู่จะรอตนอยู่เบื้องหน้า นางกลัวว่าเขาพานางมาเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่กองทัพ นางเคยได้ยินมา
จนผ่านไปได้สักพักใหญ่นางคิดอยากจะลองออกไป จึงลองก้าวเท้าออกจากกระโจม ก็ต้องตกใจเมื่อพบนายทหารนายหนึ่งยืนรอนางอยู่หน้ากระโจมอยู่นานแล้ว
“ออกมาเสียทีนะ เอ๊า! ท่านอ๋องให้ข้านำอาหารมาให้เจ้า” นายทหารยื่นจานอาหารให้ นางสังเกตเห็นว่าในนั้นมีหมั่นโถวอยู่สองลูก น่องไก่ย่างชิ้นหนึ่งและยังมีน้ำแกงอยู่อีกหนึ่งชามนางจับจ้องอยู่นานว่าจะยื่นมือไปรับดีหรือไม่
“นี่เจ้า! จะกินหรือไม่ ข้ารอนานแล้วนะ งานในกองทัพยังมีอีกมาก” เสียงแข็งแต่ไม่ได้ตวาดจนทำให้นางต้องตกใจจนลนลาน เพราะเกรงว่านางผู้นี้ที่สร้างความสำราญให้กับจวิ้นอ๋องจะนำความไปฟ้องและเขาอาจจะโดนรับโทษได้ หากท่านอ๋องเกิดติดใจกับหญิงงามล่มเมืองนางนี้
“เจ้าจะพูดให้เกียรตินางสักหน่อยไม่ได้หรือ อย่างน้อยก็เป็นคนของท่านอ๋อง” นายกองเฟิ่งสือเดินมาได้ยินเข้าพอดี จึงเอ่ยเตือนพร้อมยื่นมือไปรับจานอาหารนั้นแทนหม่าเสี่ยวหลาน
“ขอโทษขอรับท่านนายกองเฟิ่ง ข้าขอโทษแม่นางด้วยขอรับ” หม่าเสี่ยวหลานก้มหน้าเพราะนางไม่เคยเห็นทหารเลยสักครา แต่ละนายล้วนน่ากลัวส่วนนายทหารรู้สึกเสียหน้าทั้งยังกลัวความผิด รีบกล่าวขอโทษทันทีก่อนจะรีบพาตนเองออกจากบริเวณนั้น เพราะไม่ต้องการให้ตนเจ็บตัวด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เฟิ่งสือเห็นว่านายทหารประจำการคนนั้นเดินออกไปแล้ว เขาจึงยื่นจานอาหารให้แก่เสี่ยวหลาน
“รับไปสิ ไม่มีพิษหรอกและไม่ต้องกลัวว่าท่านอ๋องจะให้เจ้าทำในสิ่งที่เจ้ากำลังคิด” นางช้อนตาขึ้นมองเพราะไม่รู้ว่าชายตรงหน้าล่วงรู้ความคิดของตนเองได้อย่างไรแต่เพราะหิวจนไส้กิ่วจึงยื่นมือไปรับและหันหลังเข้ากระโจมเพื่อกินอาหารที่หลงฉีได้จัดเตรียมไว้ให้ตน
ผ่านเวลามาประมาณสองชั่วยาม นายทหารนายหนึ่งพร้อมด้วยนายกองเฟิ่งสือเดินเข้ามาในกระโจมของหลงฉีตามปกติด้วยหน้าที่ นายกองเฟิ่งสือรออยู่ด้านหน้าและมอบให้นายทหารเดินตรงเข้ามาเพื่อนำเสื้อผ้าของผู้บังคับบัญชากองทัพไปทำความสะอาด เขาหยิบจับเสื้อผ้าอย่างที่เคยทำมาทุกครั้งภายใต้สายตาของเสี่ยวหลาน นางมองอยู่นานจึงรู้ว่าชายผู้นี้มาหยิบชุดของผู้มีพระคุณไปทำสิ่งใดและเหลือบเห็นชายคุ้นหน้าจึงตัดสินใจเดินไปหาชายผู้นั้น เสี่ยวหลานเห็นว่าเฟิ่งฉือเป็นคนมิตรคนหนึ่ง นางจึงรวบรวมความกล้าเดินมาหาและเอ่ยปาก
“ท่านจะซักผ้าหรือ ให้ข้าช่วยดีหรือไม่” เสี่ยวหลานยื่นไมตรีให้ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรหรอกแม่นางน้อย เจ้าเฝ้าอยู่แต่ในกระโจมนี่แหละ อย่าทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยเปล่าเลย”
“แต่...” นางอึดอัดที่จะอยู่แต่ในกระโจมร้อนๆ อย่างน้อยได้รับน้ำสัมผัสผิวกายบ้างก็ดี เฟิ่งฉือสังเกตเหงื่อที่ไหลตามกรอบหน้าก็พอรู้ว่านางประสงค์สิ่งใดนอกจากจะช่วยซักผ้านี้แต่หากใครมาเห็นเข้า
“พวกข้าไม่ลำบากหรอก” หลังพูดจบเฟิ่งฉือเตรียมตัวหันหลังออกจากกระโจมเพราะเขาไม่มีอำนาจพอที่จะให้นางไปได้ หากนางอยากไปต้องให้นางไปขออนุญาตกับท่านอ๋องเอง
“เอ่อ...” เสี่ยวหลานเอ่ยปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง
“แม่นางมีอะไรหรือไม่” เฟิ่งสือหันมาถาม นางส่ายหน้าพรืด ดวงตาอันโตของนางไม่นานก็เริ่มแดงพร้อมกับเริ่มมีน้ำตาคลอคล้ายกำลังจะร้องไห้ นายกองเฟิ่งสือเห็นดังนั้นก็ตกใจคิดว่าตนทำอะไรนางหรือไม่
“เจ้าเป็นอันใด ทำไมถึงร้องไห้ด้วย ข้ายังไม่ได้ทำอันใดเจ้านะ”
“ข้า...ข้าอยากกลับบ้าน” เฟิ่งสือเข้าใจโดยทันที ตั้งท่าจะพูดปลอบทว่ากลับเห็นสายตาของนางจับจ้องไปยังข้างหลังของตนด้วยแววตาที่สั่นระริกระคนหวาดกลัวไม่น้อย เฟิ่งสือตระหนักรู้โดยทันทีจึงหันหลังกลับไปเผชิญหน้าพร้อมคุกเข่าโดยไม่ลังเล “ท่านอ๋อง”
“ไสหัวเจ้าไปซะ!” หลงฉีตะคอกเสียงดังจนเฟิ่งสือรีบลุกขึ้นก้าวออกไปข้างนอก แต่ด้วยที่ตัวเขาเป็นผู้ฝึกยุทธอยู่แล้ว จึงได้ยินหลงฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“หากอยากกลับ ข้าจะไปส่งเอง ไม่จำเป็นที่ต้องร้องขอใคร!” เขาหันหลังจากไปด้วยโทสะคุกรุ่นภายใต้ความงงงวยของเสี่ยวหลาน