หลังหลงฉีสวมเสื้อคลุมเรียบร้อยเขาเดินช้าๆ มาหยุดตรงหน้า “กลัวมากอย่างนั้นหรือ?” นางไม่กล้าแม้แต่จะพยักหน้าหรือส่ายหน้า น้ำตาของนางเริ่มไหลเป็นทางราวกับเขื่อนทำนบแตก นางกลัวสิ! เหตุจะไม่กลัวกันเล่า
หลงฉีย่อตัวใช้นิ้วจับคางเชยหน้าสตรีที่พามาด้วย พิจารณาผ่านแสงเทียนก่อนจะอุ้มนางขึ้นจากพื้นและสาวเท้าพาร่างไปนอนบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนที่เขาจะวางร่างตนเองเข้าตามไปด้วย
ร่างอ่อนนุ่มดังเต้าหู้ ยิ่งเขาสัมผัสผิวละเอียดนุ่มลื่นยิ่งทำให้ลมหายใจรู้สึกติดขัดและร่างกายพลันอุ่นร้อนขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่เคยบังคับได้ยามนี้กลับบังคับได้ยาก เขาลูบไล้ฝ่ามือและแก้มนวลพลางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาและแหบพร่า “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน แต่ไม่ใช่เวลานี้ สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือตอบแทนข้า” หญิงสาวมิสามารถเอ่ยท้วงติงสิ่งที่เขากล่าวมาเมื่อครู่ ได้แต่สะอื้นไห้อยู่ในลำคอของตน เขาโน้มหน้าซุกไซ้ลำคอสูดดมความหอมชื่นของสตรีใต้ร่าง มือกร้านที่จับดาบลูบไล้ล้วงเข้าสาบเสื้อ
เสียงสะอื้นไห้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาไหลอาบสองแก้มของนาง ความรู้สึกที่กลัวเริ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ นางไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองจะโดนนั้นคืออะไร หากใครล่วงรู้แล้วนางจะแต่งออกได้หรือ? บิดามารดาของนางจะถูกคำครหา ยิ่งคิดเสียงสะอื้นก็ไม่อาจหยุดได้
“เจ้ามีหลายชีวิตหรือไง?” หลงซีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงอารมณ์หงุดหงิดกลายๆ
“ข้า...” เสี่ยวหลานตอบด้วยความกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง น้ำเสียงที่ออกมาจึงทำให้หลงซีหงุดหงิดขึ้นมาไม่น้อยและโทสะนั้นพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ ทว่าเขาก็ยังพยายามกลั้นโทสะของตน ลุกขึ้นจากเตียงและออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เสี่ยวหลานนอนร้องไห้บนเตียงเพียงลำพัง
ฝ่ายหลงซีเมื่อออกจากห้องพักของตน ก็ตรงไปยังห้องของนายกองเฟิงฉือเขาไม่เพียงแต่ไม่เคาะประตูเพื่อให้คนข้างในรับรู้ถึงผู้มาเยือน เพียงแต่ใช้ฝ่าเท้าถีบประตูด้วยความแรงที่มีส่งผลให้ผู้ที่อยู่ด้านในเห็นหลงฉีมาถึงห้องก็ตกใจ ลุกลงจากเตียงและเอ่ยปาก
“ท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ” นายกองเฟิงฉือคุกเข่าก้มหน้าเอ่ยถามในสิ่งที่ตนกังขา
“ข้าจะนอน ส่วนเจ้าออกไปนอนห้องอื่น” หลงฉีกล่าวอย่างหัวเสียเพราะเรื่องเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
“ขอรับ ท่านอ๋อง” นายกองเฟิงฉือตอบรับและเดินออกไปเพราะล่วงรู้สาเหตุที่นายเดินมาถึงห้องเช่นนี้ ในใจพลางคิดตำหนิคนทั้งสองไม่น้อย แล้วไหงมาปล่อยอารมณ์กับข้าเนี่ย สงสัยข้าต้องคุยกับนางให้เข้าใจถึงสถานการณ์แล้วกระมัง
เช้าวันต่อมา
“เรียนท่านอ๋อง ม้าเตรียมพร้อมแล้วขอรับ” ทหารนายหนึ่งตรงเข้ามารายงานหลงฉี ในขณะที่เขากำลังทานอาหารเช้าอยู่
“อืม เตรียมออกเดินทาง” เขากล่าวและลุกขึ้นเดินไปยังหน้าโรงเตี๊ยมเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกลับกองทัพ ทว่าจังหวะที่เดินไปถึงม้ามีบางสิ่งกระตุ้นเตือน เขานึกขึ้นได้ว่าตนลืมสตรีนางหนึ่งไว้ที่ห้องของตนเอง “รอข้าตรงนี้!” เมื่อออกคำสั่งแล้วเขาสาวเท้าเร็วหันหลังกลับไปยังโรงเตี๊ยมและพุ่งตรงไปยังห้องของตนเองทันที
ประตูถูกดันออกพร้อมกับร่างใหญ่ในชุดขุนพล เขาสาวเท้าไม่ช้าไม่เร็วเดินเข้าไปห้องด้านใน เดินตรงไปยังเตียงที่หญิงสาวผอมแห้งนอนขดตัวอยู่ เขาอดที่จะพิจารณาใบหน้าน้อยๆ ที่ปิดตาไม่ได้ แสงแดดทำให้เห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจนนางมีผมดำขลับที่ปล่อยสยายปิดใบหน้าเพียงเล็กน้อย ดวงตาบวมช้ำที่เกิดจากการร้องไห้อย่างหนักเมื่อคืนนี้ แต่สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้ความงามของเธอหดหาย แต่กลับทำให้นางดูน่าทะนุถนอม บอบบางและควรจะได้รับการปกป้อง เขาใช้สายตาไล่มองไปยังเรือนร่างที่ยังมีอาภรณ์ปิดกายและเห็นรอยช้ำตามร่างกายไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นรอยจากการมัด หรือรอยขูดขีดจากหนามไม้ ยิ่งมองนาง อารมณ์ความหงุดหงิดก็เริ่มก่อตัวขึ้น เพราะเมื่อคืนนี้ นางเป็นตัวการที่ทำให้เขาเกิดความต้องการปลดปล่อยและต้องอารมณ์เสียเพราะเสียงสะอื้น
สักพักใหญ่เสี่ยวหลานค่อยรู้สึกตัว เปลือกตาเริ่มขยับทำให้ขนตาที่ยาวเรียงตัวกันเป็นแพร และลืมตาขึ้นสิ่งแรกที่เห็นคือชายอำมหิตได้ยืนอยู่ตรงหน้า ทำให้หน้าของนางซีดเผือด เพราะบุคคลนั้นคือผู้ชายที่ฆ่าคนได้ไม่กะพริบตา
“เจ้าอยากอยู่ที่นี่นานนักรึ ถ้ายังไม่ลุกข้าจะให้ทหารข้างล่างของข้ามาปลุกเจ้าแทน” หลงฉีเอ่ยเสียงเย็นและหันหลังกลับออกจากห้องไป อีกด้าน...เสี่ยวหลานนางได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นรีบจัดเครื่องแต่งกายและเผ้าผมของตนเองให้เรียบร้อย ไม่ลืมบ้วนปากและเดินตามหลงฉีออกไป
เมื่อนางมาถึงก็เห็นขบวนกองทัพทหารของหลงฉีเตรียมม้าพร้อมไว้อยู่แล้วเป็นนางที่ทำให้พวกเขารั้งรอ แต่นางขี่ม้าไม่เป็นจึงได้ยืนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก
นางยืนนิ่งมองซ้ายขวาไม่ว่าตนจะทำอย่างไรดี และไม่มีใครกล้าพานางนั่งไปด้วย หลงฉีเห็นเช่นนั้นก็ลงจากม้าด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา เขาเดินตรงมาพร้อมจับข้อมือให้นางเดินตามตนไปยังม้าคู่กายและอุ้มนางขึ้นบนหลังม้าโดยที่ขาทั้งสองข้างยังอยู่ฝั่งเดียวกัน ส่วนตนเองเห็นว่านางจัดท่าทางดีแล้วจึงเหยียบบังเ**ยนตามขึ้นไปและควบม้ามุ่งตรงไปด้านหน้าโดยจุดหมายคือกองทัพของตน
ม้าออกจากโรงเตี๊ยมมาได้สักพัก นางเห็นทางแยกข้างหน้า ในใจพลันยินดีที่เขาจะพานางไปส่งที่หมู่บ้านของตน นางจึงเอ่ยปากพูดกับหลงฉีด้วยท่าทีกระตือรือร้นไม่น้อยดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า
“ข้างหน้าเป็นทางแยก ท่านจะพาข้าไปส่งที่บ้านใช่หรือไม่” สีหน้าใสซื่อที่ไม่ได้พบบ่อยนักทำให้เขาอดจ้องไม่ได้ ปากเล็กสีแดงระเรื่อ ใบหน้าขาวผ่องไร้ไฝฝ้า ดวงตาส่องประกายแวววาวทำให้เขาเผลอตอบแต่ก็ต้องเปลี่ยนคำตอบในประโยคต่อมา
“ใช่ แต่เมื่อข้าเสร็จธุระเรียบร้อย ไม่ใช่คิดจะให้ข้าไปส่งก็ไปส่งได้ง่ายๆ ธุระของข้าสำคัญกว่าธุระของเจ้ามานัก...ส่วนเจ้าคิดสิจะตอบแทนข้ายังไง? ชีวิตเจ้าข้าเป็นคนช่วย เงินทองข้าไม่ต้องการ”
“เอ่อ..ข้า...” เสี่ยวหลานเอ่ยตอบอย่างลังเล ดูท่าเขาคงมีอำนาจไม่น้อยเพราะดูได้จากท่าทีของคนด้านหลังที่ให้การนบนอบเขา เขาคงเป็นแม่ทัพจากเมืองหลวง เงินทองในจวนก็ใช่จะมีเยอะ ทำอาหารตอบแทนทว่าในเมืองหลวงย่อมมีพ่อครัวฝีมือดี แล้วนางจะตอบแทนอย่างไรได้ เมื่อตอบแทนไม่ได้ก็ไม่ต้องให้เขาไปส่ง นางจึงเอ่ยปากยื่นข้อเสนอ
“ท่านปล่อยข้าลงตรงนี้ก็ได้นะเจ้าคะ ข้าเดินกลับบ้านเองได้” นางรวบรวมความกล้าพูดกับหลงฉีอีกครั้ง
“หุบปาก! ถ้าเจ้าไม่อยากตาย ข้าช่วยเจ้าแล้วคิดรื้อสะพานเช่นนั้นหรือ? โตมายังไงกันจึงไม่รู้ว่าความกตัญญูควรดำรงไว้ให้มั่น” หลงฉีเอ่ยตำหนิทำให้เสี่ยวหลานหน้าเสีย เพราะเขาช่วยชีวิตนางไว้จริงแต่เมื่อคืนไม่ใช่ว่าเขา...หลงฉีมองก็รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในหัวจึงได้ตีเข้าที่ตัวม้าส่งผลให้ม้าเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เสี่ยวหลานไม่ทันตั้งตัว นางกลัวจึงเอาเผลอยกแขนทั้งสองข้างโอบเข้าที่คอ หลงฉีไม่ทันระวังตัวก็ถูกสตรีน่าตายโอบกอดในท่าล่อใจแต่ก็ไม่ได้ห้ามหรือยกมือนางออก สักพักใหญ่เมื่อรู้สึกว่าฝีเท้าของม้าช้าลงนางจึงเงยหน้ามองเขา เห็นสีหน้าทะมึนใส่นางจึงค่อยๆ ลดแขนของตนเองลงและเอี้ยวตัวไปจับแผงคอม้าแทน
ยามอู่ ทางกองทัพของหลงฉีหยุดพักกลางทาง เพื่อปล่อยให้คนในกองทัพและม้าได้พักผ่อน เมื่อทหารเห็นว่าทางผู้บังคับบัญชาได้หาที่นั่งเรียบร้อยดีแล้ว เหล่าทหารจึงนำอาหารที่เตรียมไว้มามอบให้กับหลงฉีและเสี่ยวหลาน หลงฉีรับพร้อมหยิบขึ้นมากัดกินตามปกติ แต่เสี่ยวหลานยังคงมีอาการกล้าๆ กลัวๆ จนหลงฉีต้องเอ่ยปากอย่างไม่ยี่หระว่านางจะมองตนอย่างไร
“ถ้าไม่กินก็เขวี้ยงทิ้งไปซะ” เสี่ยวหลานได้ยินเช่นนั้นได้แต่เม้มปาก ด้วยที่ตนไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าและเขาก็ไม่ได้แยกเขี้ยวใส่จึงตัดสินใจใช้ฟันกัดอาหารนั้นโดยทันที ส่วนเหล่าทหารต่างก็พากันแยกย้ายกันกินอาหารของตนเอง เมื่อเห็นว่าพักเหนื่อยกันเต็มที่หลงฉีสั่งการให้เตรียมออกเดินทางเพราะเขาไม่ต้องการถึงฐานทัพล่าช้าจนพระอาทิตย์ตก
เหล่ากองทหารของหลงฉีต่างพากันควบม้าจนมาถึงฐานทัพของตนก็ย่างเข้ายามซวี เหล่าทหารที่อยู่ที่ค่ายมองเห็นว่าหลงฉีพากองกำลังกลับเข้ามาที่ค่าย ก็เตรียมการทำความสะอาดกระโจมที่เดิมตั้งไว้ตระหง่ายทางฝากตะวันออกอยู่แล้ว ส่วนอาหารก็มีกลุ่มทหารจัดเตรียมพร้อมสรรพ เพื่อมิให้พวกตนต้องโดนพายุอารมณ์ของท่านอ๋องแม้เขาจะกินง่ายอยู่ง่าย ทว่าฐานะตำแหน่งจะให้กินง่ายอยู่ง่ายเหมือนทหารทั่วไปได้อย่างไร
การกลับเข้ามาที่ค่ายของจวิ๋นอ๋องหยางซื่อหลงฉีพร้อมด้วยหญิงสาวงามปานล่มเมืองนั้นสร้างความแตกตื่นให้กับเหล่าทหารผู้กล้าที่ไม่รู้เรื่องราว แต่ก็มิมีผู้ใดกล้าปริปากเอ่ยแม้สักคำ เพียงคิดในใจว่าภายในค่ายมิสามารถนำผู้หญิงเข้ามาได้แล้วเหตุใดผู้เป็นนายกลับนำมาเสียเอง แต่ก็เอาเถอะนายของตนเป็นถึงจวิ๋นอ๋องผู้เอาแต่ใจ อย่างไรเสียพวกเขาทั้งหลายก็ยังอยากมีศีรษะอยู่ประดับบ่าอยู่ดี จะนำมาสักกี่คนก็ได้แค่อย่าสร้างเสียงบันเทิงใจให้พวกเขากระสับกระส่ายจนต้องแอบเข้าป่าแล้วกัน
เสี่ยวหลานถูกส่งตัวไปยังกระโจมของหลงฉี โดยที่ทหารได้เตรียมน้ำอาบให้นางเรียบร้อยแต่ชุดที่จะสวมใส่กลับไม่มีแม้แต่ชุดเดียว นายกองเฟิงฉือคิดไม่ออกจะนำชุดไหนให้นางสวมแทนชุดเก่าที่นางสวมอยู่ เขายืนคิดอยู่นานจึงตัดสินใจนำชุดของหลงฉีนำมาให้นางใส่ชั่วคราวก่อน หลังจากที่นางอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว นางได้ไปนั่งขดตัวที่เตียงของหลงฉีอีกครา สายตาจับจ้องไปที่ทางเข้ากระโจม เพื่อรอตั้งระวังตัวว่าใครคนนั้นจะเข้ามาหรือไม่
นางอยู่ในกระโจมนานจนกระทั่งนางเผลอหลับไป ในสมองที่คิดจะเตรียมการเฝ้าระวังก็หายไปพร้อมกับความง่วงงุน สักพักใหญ่หลงฉีที่ได้ชำระล้างร่างกายแล้วหลังจากที่ปรึกษาเกี่ยวกับการศึกกับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเรียบร้อยแล้ว จึงเดินเข้ามาที่กระโจมเพื่อพักผ่อน และเห็นว่าหญิงสาวได้นอนขดตัวอยู่บนเตียง เขามิได้โวยวายหรือรู้สึกว่ามันไม่ควรแต่อย่างใดทำเพียงถอดเสื้อคลุมแขวนไว้แล้วเดินตรงมายังเตียงโดยทันที...
“เจ้าต้องชดใช้ข้า เจ้าตัวโง่งม”
*************************************************************************************