หลังจากวางสายจากยัยแพรวอาบน้ำแต่งตัวเสร็จภายในยี่สิบนาที ฉันก็มายืนเช็กความเรียบร้อยที่หน้ากระจกก่อนออกจากห้อง วันนี้ฉันใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีดำโชว์ขาเรียวยาวที่ฉันภูมิใจสักหน่อย ใส่รองเท้าผ้าใบ ดูเรียบง่ายมาก ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนฉันก็มัดรวบเปิดช่วงคอ ดูไปดูมา ฉันแต่งตัวสบายไปไหมนะ คิดว่าเพื่อนฉันต้องจัดเต็มกันมากแน่ๆ แต่ช่างเถอะช่วงเวลาเร่งรีบฉันไม่อะไรมากอยู่แล้ว
เมื่อเช็กความเรียบร้อยเสร็จแล้ว ฉันก็คว้ากระเป๋าสะพายใบโปรด ปิดประตู ล็อกห้อง รีบออกมาทันที ตอนนี้ก็สองทุ่มกว่าแล้ว ฉันโดนพวกนั้นสาปแล้วแน่ นี่ก็โทรมาเร่งอีกหลายสายแล้ว ว่าแล้วฉันก็ขับรถออกมาจากหอทันที โชคดีที่ตอนนี้ถนนค่อนข้างโล่ง ฉันเลยมาถึงร้านภายในยี่สิบนาที ต่อไปนี้เรียกฉันว่าซินตีนผีได้เลย
พอมาถึงร้านฉันก็หาที่จอดรถ วันนี้คนเยอะมากเนื่องจากเป็นวัน สุดสัปดาห์คนก็ต่างมาฉลองมาดื่มกัน พรุ่งนี้เป็นวันหยุดคงไม่มีเรียน หรือทำงาน พอจอดรถเสร็จฉันก็โทรหายัยซูซี่ให้ออกมารับเพราะฉันไม่รู้ว่าพวกนั้นนั่งอยู่โซนไหนกัน อ้อ สงสัยกันไหมว่าทำไมฉันรู้ที่ตั้งของร้าน จีพีเอสเลยค่ะ ซึ่งก็บอกทางได้ดี ไม่พาฉันเข้าตรอกไปไหนมั่วซั่ว อะนั่นไง ยัยซูซี่มายืนสวยๆ เอามือ ทัดผมรออยู่ที่หน้าร้าน อยากจะบอกว่าหลายเดือนผ่านไปผมนางเริ่มยาวแล้วนะคะ
“นี่ ฉันมาแล้ว” เดินเข้าไปสะกิดเรียกนางสักหน่อย มัวแต่ยืนอ่อย
“ว้าย! ชะนี มาช้านะยะ” นางหันมาเจอฉันก็บ่นทันที
“เหอะน่า มาช้าดีกว่าไม่มานะ อย่ามัวแต่บ่นเลยรีบเข้าไปกันดีกว่า” พูดจบยัยซูซี่ก็คว้ามือฉันเข้าไปในร้านทันที
บรรยากาศในร้านก็ครึกครื้นไหนยัยแพรวบอกว่าชิวๆ ไง ที่นางเปิดให้ดูตอนนั้นเห็นแค่ภายนอกร้าน ร้านใหญ่ใช้ได้ มีแต่คนหน้าตาท่าทางดูดีเต็มไปหมด นี่คัดคนเข้าร้านรึไงนะ ภายในร้านแบ่งเป็นหลายโซนด้วยกัน มีทั้งหมดสองชั้น แล้วยัยซูซี่ก็ลากฉันขึ้นมาที่ชั้นสอง นี่คงเป็นโซนวีไอพีสินะ เพราะที่นั่งเป็นโซฟา แยกโต๊ะจัดเป็นส่วนๆ ไม่วุ่นวายเหมือนข้างล่าง แต่ก็ไม่ได้เงียบเป็นป่าช้า ดูจากผู้คนแล้ว ฉันดูแต่งตัวไม่เข้ากับร้านเลย ช่างมันเถอะ รีบมารีบกลับ
“มเหสีเสด็จแล้วจ้ะ” ซูซี่พูดขึ้นหลังจากที่ลากฉันผ่านผู้คนจนมาถึงโต๊ะ พอมาถึงโต๊ะที่มีกลุ่มแฟนของยัยแพรว และยัยแพรวที่นั่งออเซาะแฟนนางอยู่หันมาตามเสียง ก็รีบลุกขึ้นมาหาอย่างรวดเร็วพร้อมกับยื่นมือน้อยๆ มาฟาดเข้าที่แขนฉันอย่างหมั่นไส้ทันที
“โอ๊ย!” ฉันร้องขึ้นพร้อมกับลูบแขนตรงที่ยัยแพรวตี ไม่ได้เจ็บมากหรอก เล่นใหญ่ไปงั้นแหละ
“ไหนแกบอกออกมาตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ยัยคนโกหก” เริ่มแล้วไง
“นี่แกจะไม่ให้ฉันนั่งก่อนหน่อยเหรอ” รีบเปลี่ยนเรื่องทันทีพร้อมกับหันไปมองหาที่นั่งที่ว่าง
“นั่นสิแพรว ไม่เป็นไรหรอก ไหนๆ เพื่อนก็มาแล้ว” เสียงแฟนยัยแพรวพูดขึ้นมาดั่งเสียงสวรรค์
“เห็นแก่แฟนฉันหรอกนะ ครั้งนี้ฉันจะปล่อยแกไป ชิ!” พูดแล้วก็เดินตึงตังไปนั่งออเซาะเกาะแขนผู้ชายต่อ ยัยเพื่อนคนนี้หนิ เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อน พอจบเรื่องกับยัยแพรว ฉันก็เดินไปนั่งที่ว่างข้างยัยซูซี่ทันที หลังจากที่ฉันนั่งลง ยัยแพรวกับซูซี่ก็แนะนำฉันให้รู้จักกับพี่ๆ ทุกคน นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันเกร็งมากเท่าไรนัก บางคนก็ค่อนข้างเป็นกันเอง บางคนก็เงียบพูดน้อย บางคนก็คุยแต่โทรศัพท์ และด้วยความที่เป็นรุ่นพี่ฉันก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรมีบ้างที่พี่เขาถาม ฉันก็ตอบเท่านั้น
“ไม่คิดว่าเพื่อนน้องแพรวจะสวยขนาดนี้ ขนาดแต่งตัวธรรมดา ยังดูไม่ธรรมดาเลย” อ่า...พี่คนนี้ท่าทางเจ้าชู้ดูจากสายตาที่มองมา แต่ก็คงเป็นแค่แบบอยากแซวเล่นตามประสา ว่าแต่พี่เขาชื่ออะไรนะ
“แหมพี่ดิน ซูซี่ก็สวยเหมือนกันนะคะ” อ้อพี่ดินนี่เอง ยัยซูซี่ไม่พูดเปล่าแต่ยังทำท่าดึงคอเสื้อลงแล้วกัดปาก มองพี่เขาด้วยสายตายั่วยวนอีกต่างหาก
“ซูซี่จะสวยขึ้น ถ้าผมยาวกว่านี้นะคะ” พี่ดินทำท่าทางขนลุกแบบหยอกล้อพร้อมกับบอกยัยซูซี่ไป
“ซูซี่งอนพี่ดินแล้ว ถ้าสวยขึ้นมาอย่ามาจีบแล้วกัน”
“ครับๆ พี่จะรอนะ ฮ่าๆ” ขำแรงมาก บทพ่อแง่แม่งอนของสองคนนี้ พลอยทำให้ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความจริงมาเที่ยวกับกลุ่มนี้ก็ไม่ได้แย่นี่นา ไม่อึดอัดอย่างที่คิด
มองไปรอบๆ โต๊ะแล้ว เหมือนจะเห็นที่ว่างอยู่ตรงข้ามฉันอีกหนึ่งที่ จริงสิตอนนี้พี่เขาอยู่กัน หนึ่ง สอง สาม สี่ อ่าสี่คน ขาดใครนะ พี่สิบทิศ พี่ดิน พี่กานต์ พี่แบล็ค พี่...อัคคี พี่อัคคีสินะที่ไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ หรือคงไม่ได้มา
“อะยัยซิน นี่แก้วแกฉันชงให้เบาๆ ละกัน แกต้องขับรถกลับอีกไกล” ซูซี่ยื่นแก้วน้ำที่ผสมเหล้ายี่ห้อดังแล้วมาให้ฉัน
“ซูซี่ ยัยซินมันคอแข็งจะตาย แค่นี้ไม่กระทบหรอก” ยัยแพรวพูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบหายไปนาน
“ก็ฉันต้องขับรถ” ถึงจะคอแข็งแต่ไหนก็ดื่มมากไม่ได้
“ไม่น่าเชื่อว่าซินจะคอแข็ง” มีบทกับเขาสักทีพี่กานต์ พี่แกวางโทรศัพท์และเริ่มเข้าบทสนทนากับเขาบ้างแล้ว หลังจากที่ปลีกวิเวกนั่งคุยโทรศัพท์อยู่นาน ได้ยินแว่วๆ คงจะคุยกับแฟนแหละ และถ้าให้เดานะพี่เขาหน้าตาดีขนาดนี้แฟนก็ต้องสวยเหมาะสมกันแน่นอน
“ก็พอกินได้นิดหน่อยค่ะ” ฉันตอบกลับไปอย่างไว้ท่าที
“คราวหลังต้องมาบ่อยๆ นะ ฝึกคอไว้ วิศวะอย่างเรามันเป็นเรื่องธรรมดา ฮ่าๆ” พี่กานต์พูดพร้อมกับยกแก้วขึ้นมาชนกับแก้วฉัน
ตอนนี้ฉันก็ดื่มไปหลายแก้วแล้วเหมือนกัน เริ่มมีอาการละ หมายถึงอาการอยากเข้าห้องน้ำนะ
“ซูซี่ ห้องน้ำอยู่ไหน ฉันอยากเข้าห้องน้ำ” ฉันหันไปสะกิดยัยซูซี่ที่กำลังคุยกับพวกพี่เขาอยู่อย่างออกรส
“ฮะ? ห้องน้ำเหรอ อยู่ข้างล่างตรงทางขึ้น” ซูซี่หันเอียงตัวกลับมาตอบฉัน
“ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม” ยัยแพรวพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันกำลังจะลุกออกไป
“ไม่เป็นไร ฉันไปเองดีกว่า”
“โอเค ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าไปฉุดใครเข้า”
“นี่ปากเหรอยะ”
พูดจบฉันก็ลุกออกมาจากโต๊ะทันที อย่างฉันจะไปฉุดใครล่ะ คงมีแต่คนจ้องจะฉุดน่ะสิ ถ้าไม่เป็นการหลงตัวเองมากไป ฉันก็คิดว่าฉันสวยไม่เบาเหมือนกันนะ พอเดินลงมาข้างล่างคนค่อนข้างเยอะ แต่ละโต๊ะคืออาการเหมือนจะเริ่มได้ที่ละดูสนุกสุดเหวี่ยง พอเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวและเช็กความเรียบร้อยเสร็จ ฉันก็ออกมาจากห้องน้ำเดินสวนทางกับผู้หญิงสองคนที่กำลังเดินคุยกันเรื่องบางเรื่องที่สะดุดหูฉันพอดี
“แกเห็นเหมือนที่ฉันเห็นไหม” ผู้หญิงฝั่งขวาถามเพื่อนของเธอด้วยท่าทางระริกระรี้ พลางหันกลับไปมองทางด้านหลังของเธอ
“เห็นสิ พี่อัคคีคนดังไงแก๊” ยัยคนฝั่งซ้ายตอบเพื่อนนางกลับไป และแสดงท่าทางเหมือนกับเพื่อนของเธอ อืม...พี่อัคคีที่สองคนนี้หมายถึงใช่เพื่อนกลุ่มแฟนยัยแพรวไหมนะ สรุปวันนี้พี่เขามาเหรอ
“งานดีมาก กอไก่ล้านตัว ดูแบดสุดๆ ฉันไม่คิดว่าวันนี้จะมาเจอพี่เขา ปกติที่มหาลัยก็ไม่เคยเจอ ถ้าจะเจอคงต้องมาร้านนี้สินะ ว่าแต่พี่อัคคีพึ่งเดินออกมาจากหลังร้านเขาไปทำอะไรมานะ”
“ฉันจะไปรู้เหรอ” แล้วทั้งสองคนก็เดินหายเข้าห้องน้ำไป เป็นอันจบบทสนทนา
พอฉันกลับมาถึงที่โต๊ะก็เหมือนจะเห็นตรงที่ที่เคยว่างมีคนนั่งแล้ว จริงๆ ตรงนี้เป็นเหมือน มุมส่วนตัวที่ค่อนข้างมืด แต่ถ้ามองใกล้ๆ ก็พอจะเห็นอะไรได้บ้างจากแสงไฟหลากสีที่เคลื่อนตัวตามจังหวะเพลงสาดส่องเข้ามา กลับมานั่งที่ของตัวเองฉันก็ได้ก็เห็นแล้วล่ะ เพราะที่นั่งตรงข้ามฉันที่เคยว่างมีคนนั่งแล้ว เป็นพี่อัคคีนั่นเอง ที่สองคนนั้นพูดถึงคงเป็นพี่เขาจริงๆ สินะ
วันนี้พี่เขาใส่เสื้อสีดำและกางเกงยีนส์ขายาวสีซีด บวกกับใบหน้าเรียบนิ่งและท่าทางที่ดูเฉยชา ยิ่งทำให้พี่เขาดูเป็นแบดบอยเข้าไปกันใหญ่ และเหมือนว่าฉันจะจ้องเขานานเกินไปจนเขารู้ตัวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่ผ่านเข้ามา ทำให้ฉันสบตาเข้ากับพี่เขาพอดีเป็นจังหวะเหมือนโลกหยุดหมุนไปเลย
สายตาที่มองมาเรียบนิ่งไม่ได้แสดงออกถึงอะไรทั้งนั้น แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกวูบไปทั้งร่างกายเหมือนมีความร้อนส่งมาจากสายตานั้น จากที่ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็เหมือนเริ่มรู้สึกขึ้นมาเพียงแค่สบตากันไม่กี่วินาที สติหลุดไปแล้วฉัน นี่ฉันเป็นอะไรไป...แต่แล้วสติที่หายไปก็กลับมาเมื่อยัยซูซี่หันมาเรียกด้วยเสียงที่ดังในระดับหนึ่ง
“กลับมาแล้วเหรอ ไปนานนะยะ” ฉันกลับมานานแล้วเถอะ มัวแต่สนใจผู้ชายไม่สนใจเพื่อน
“อือ” ฉันตอบนางกลับไปสั้นๆ เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้วสิ ทำไมรู้สึกแปลกๆ และเหมือนเห็นว่าเขาก็ยังมองมาที่ฉันอยู่เหมือนเดิม หรือฉันคิดไปเองกันนะ อาการแบบนี้มันคืออะไรกันเพียงแค่สบตากับเขาแค่ครั้งเดียว ไม่มีแม้บทสนทนา แต่ทำให้ใจฉันสั่นได้ขนาดนี้
เริ่มจะเชื่อแล้วสิ ว่าอย่าสบตากับเขาถ้าใจไม่แข็งพอ จากที่ยัยแพรวคอยมาเล่าเรื่องของพี่เขาให้ฟัง ว่าถึงเขาจะเงียบแต่ก็ดูอันตรายที่สุดในกลุ่มแล้ว และเป็นไปได้อย่าสบตากับพี่เขานานๆ เชียวล่ะ ระวังโดนตกโดยไม่รู้ตัว เสน่ห์เขาเหลือร้ายขนาดนี้ยากจะต้านทานไหว
“เฮ้ยไอ้อัค นี่น้องซินเพื่อนแฟนกูเอง”
เมื่อพี่สิบทิศเห็นว่าฉันกลับมาแล้ว ก็แนะนำตัวฉันให้เขารู้จักพร้อมกับทำท่าชี้ไม้ชี้มือมาทางฉัน นี่พวกพี่ๆ เขาก็ดูเหมือนจะเริ่มมีอาการเมากันบ้างแล้ว เล่นดื่มเข้าไปเยอะขนาดนั้นไม่มีพักเลย นี่กะจะกินจนตับพังกันเลยรึยังไง
“อืม” นี่ขนาดตอนเขาพูดจบสายตาเขายังไม่ละไปไหนเลย
“สวัสดีค่ะ” ฉันทักทายไปตามมารยาท ไม่รู้จะพูดอะไรที่มันยาวกว่านี้จริงๆ และพี่เขาก็แค่พยักหน้าเพื่อเป็นการทักทายกลับและหันไปสนใจแก้วเหล้าในมือต่อ เมื่อกี้ฉันตาฝาดไปรึเปล่านะ ฉันแอบเห็นว่าก่อนจะหันกลับไป ปากเขากระตุกขึ้นเหมือนแอบยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก แต่คงไม่ใช่หรอก เขาจะยิ้มทำไมกันล่ะ
“ไอ้อัค มึงก็คุยกับน้องเขาหน่อยดิวะ น้องเขากลัวมึงละนั่น”
พวกพี่เขาเริ่มหันมาสนใจ ส่วนเขาคนนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่ทำในสิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือการที่เขาหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงของเขาขึ้นมาทำอะไรบางอย่างและยื่นมาทางฉัน
“คะ?” ฉันไม่ได้ยื่นมือไปรับโทรศัพท์จากพี่เขาในทันทีที่มันยื่นมาอยู่ตรงหน้า เพราะกำลังงงๆ อยู่ว่าเขายื่นโทรศัพท์ของเขามาให้ฉันทำไม เพื่อนๆ ของเขาและฉันที่เห็นแบบนี้ก็แสดงสีหน้างุนงงไม่แพ้กัน ต้องการให้ฉันทำอะไรกันนะ
“รับไปสิ” พี่อัคคีสั่งพร้อมกับยืดแขนยื่นโทรศัพท์เข้ามาใกล้ฉันมากกว่าเดิม และด้วยความที่ฉันงุนงงกับการกระทำของเขาและเหมือนจะขัดไม่ได้ บวกกับการที่หันไปมองหน้าเพื่อนทั้งสองของตัวเองที่กำลังส่งสายตามาเหมือนอยากจะบอกว่ารีบรับๆ ไปเถอะ ฉันจึงยื่นมือไปเพื่อรับโทรศัพท์ของพี่เขามา
พอรับโทรศัพท์จากพี่เขามา บนหน้าจอสมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุดแสดงให้ฉันเห็นแอปพลิเคชันสีเขียวยอดฮิตที่ใช้ในการติดต่อกัน ในหน้าที่ใช้ ในการเพิ่มเพื่อน เกิดอาการพูดไม่ออกกะทันหัน นี่เขาต้องการให้ฉันทำอะไรกันแน่ ไม่อยากเข้าข้างตัวเองหรอกนะว่าเขาต้องการให้ฉันเพิ่มเพื่อน ยัยซูซี่ที่เห็นอาการที่ฉันแสดงออกก็ยื่นหน้าแทรกเข้ามาเพื่อดูที่หน้าจอแล้วช็อกไปตามๆ กัน
“คือ...” ฉันเงยหน้าจากหน้าจอขึ้นส่งสายตา และถามเพื่อคลายความสงสัย
“แอดไลน์เธอไปสิ”
และเหมือนเขาจะรู้ว่าฉันสงสัยเลยตอบกลับมาให้หายข้องใจ นี่เขากำลังขอไลน์ฉันเหรอ เขาทำท่าทางสบายๆ เหมือนการแอดไลน์คนที่ไม่สนิทเป็นเรื่องธรรมดา นี่มันอะไรกันฉันงงไปหมด และไม่เพียงแค่ฉันที่งง ทุกคนที่นั่งอยู่โต๊ะนี้งงจนไม่มีใครพูดอะไรแล้ว
“หึ...ร้าย” และเป็นพี่แบล็คที่พูดขึ้นมาหลังจากที่ไม่เคยมีบทเหมือนกับคนอื่นเขาเลย พร้อมกับยิ้มที่มุมปากอย่างกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
“ไอ้อัคคค มึงไปเอาความกล้านี้มาจากไหน”
หลังจากนั้นพวกพี่เขาก็เริ่มเปิดบทสนทนา และโวยวายถึงการกระทำของเขา บ้างก็บอกว่าขนาดพวกพี่เขายังไม่มีไลน์ฉันเลย บ้างก็ว่าเขา...รุกแรง
“ก็บอกให้ชวนคุย ก็นี่ไง...ไม่ถนัดพูดพิมพ์เอาดีกว่า”