GEAR 1:INTRO 1
ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์
“เอาล่ะ สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน พวกคุณดูท่าจะไม่ไหวละ”
เสียงอาจารย์ที่ดังกังวานเหมือนเสียงระฆังบอกถึงเวลาเลิกคลาส นักศึกษาเฟรชชี่ที่อยู่ในห้องลุกฮือขึ้นมาเหมือนได้ยินเสียงจากสวรรค์ หลังจากที่ต้องนั่งเรียนติดต่อกันเป็นเวลาเกือบสี่ชั่วโมงแบบไม่ได้พัก ตะโกนโหวกเหวกอย่างดีใจรีบเก็บของออกจากห้องเรียนไปอย่างรวดเร็ว
“แกกกกกกก ฉันจะบ้าตายอะไรที่ทำให้อาจารย์สอนติดต่อกันได้นานขนาดนี้”
ยัยซูซี่ตุ๊ดน้อยร่างบาง พูดขึ้นมาด้วยท่าทางที่แสดงออกถึงความเหนื่อยล้า...จากการนอน ใช่ค่ะฟังไม่ผิดหรอกก็ยัยนี่นั่งฟุบหลับไปกับโต๊ะเลคเชอร์ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่อาจารย์เริ่มสอน หลังจากที่นางเห็นเนื้อหาที่แสดงบนโปรเจคเตอร์แล้วบอกกับฉันว่า ‘ฉันไม่ไหว แกไหวไปก่อน’ และนั่นล่ะค่ะ หลังจากนั้นนางก็นอนยาว ซึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไร หลับได้แต่ห้ามส่งเสียงรบกวนคนอื่น
“แกมีสิทธิ์บ่นด้วยเหรอยัยซูซี่ ฉันเห็นแกหลับตั้งแต่เริ่มคลาส” ยัยแพรวเพื่อนสาวแสนซนอีกคนในกลุ่มของฉันพูดแขวะยัยซูซี่พร้อมกับดีดหูไปหนึ่งทีเพื่อเป็นการเรียกสติเพื่อน
“ก็แทนที่ฉันจะได้นอนบนเตียงสบายๆ กลับต้องมานั่งหลับหลังขดหลังแข็งเรียน” นางเถียงกลับไปทันทีอย่างไม่ยอมกัน
“โอ๊ยยยยยย ไม่อยากเรียนก็กลับไปเลี้ยงแมวที่บ้านไป๊!”
ยังไม่ทันให้ยัยแพรวพูดบ่นอะไรต่อเพื่อกวนประสาทซูซี่ ฉันก็รีบขัดทันทีเพื่อเป็นการห้ามทัพ เอาเข้าจริงๆ แล้วสองคนนี้ก็เถียงและว่ากันแบบนี้เป็นประจำตามประสาเพื่อนสนิทนั่นแหละ
“พวกแกเลิกเถียงกันได้แล้ว ฉันหิว” เพื่อเป็นการหยุดยัยสองคนนี้ ฉันก็ต้องยกเอาเรื่องกินขึ้นมาอ้าง อย่างว่าแหละนะไม่มีใครพลาดเรื่องกินได้หรอก เรื่องกินมันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทุกคนอยู่แล้ว
“ฉันก็หิววว/ฉันก็หิว!” ทีอย่างนี้ล่ะพร้อมเพรียงกันนัก พูดเฉยๆ คงไม่พอทั้งสองคนรีบหันไปเก็บของใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วก็คว้าแขนฉันไปควงไว้คนละข้างพร้อมกับดึงฉันออกจากห้องเรียนทันที
พอออกมานอกห้องเรียนก็เห็นบรรยากาศของมหาวิทยาลัย จากระเบียงทางเดิน ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วอากาศไม่ร้อนเท่าไร นักศึกษาก็พอมีให้เห็นบางตา บางคนก็เล่นกีฬา บางคนก็ทำกิจกรรมของคณะ ซึ่งตอนนี้คณะของฉันก็กำลังจะมีกิจกรรมเหมือนกันนะ เป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะจัดเมื่อไรและที่ไหน
อ๋อ ลืมบอกไปเลย ฉันเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะยอดฮิตของเด็กสายวิทย์ที่นิยมเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เป็นคณะที่ขึ้นชื่อว่ามีแต่ผู้ชายและมีการว้ากโหดๆ แต่ไม่จริงเสมอไปหรอก นั่นเป็นสิ่งที่คนภายนอกคิดห่างหาก
ความจริงแล้ววิศวะของเราเป็นคณะที่มีหลากหลายสาขามากๆ ทำให้ผู้เรียนก็ไม่ได้มีแต่ผู้ชายเสมอไป อย่างเช่นภาควิชาอุตสาหการนี่สาวสวยทั้งนั้นเลยนะ หกสิบเปอร์เซ็นต์เป็นผู้หญิงเลยก็ว่าได้
และการรับน้องของคณะนี้ที่มหาวิทยาลัยนี้ก็ไม่ได้โหดและน่ากลัวอย่างที่คิด จริงอยู่ที่มีการเข้าห้องเชียร์และมีการว้ากในช่วงเดือนแรก แต่นั่นก็ไม่ได้โหดอะไรมากเป็นการเรียกรวมน้องๆ มาเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน ฟังพี่ๆ บ่นด้วยเสียงดังเหมือนจะน่ากลัว เพื่อเป็นการบอกน้องถึงกฎระเบียบที่ควรจะปฏิบัติ อ๋ออีกอย่างที่อยากจะบอกคือไม่มีหรอกนะพี่ว้ากโหดๆ ที่หน้าตาดี หล่อเว่อร์อะไรแบบนั้น มีแต่หน้าเหมือนโจรใต้ไว้หนวดไว้เครารุงรัง
ฟังแล้วดูเหมือนจะน่ากลัว ความจริงพี่ๆ เขาน่ารักมากนะ (เหรอ) แอ๊บโหดให้น้องๆ กลัวไปอย่างนั้น และฉันก็เป็นคนนึงที่เข้าห้องเชียร์ตลอดเพราะอยากจะรู้ว่าพี่เขาจะมาไม้ไหนกันอีก บอกเลยฉันไม่กลัวนะบางทีก็แอบขำด้วยซ้ำไป
“ฉันรักป่า รักน้ำ รักมหาลัย” พอลงจากลิฟต์เดินออกมาหน้าตึกคณะ อยู่ๆ ยัยแพรวก็พูดขึ้นมาพร้อมกับกางแขนและหมุนตัวไปรอบๆ ประหนึ่งกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศ และด้วยบรรยากาศตอนเย็นที่มีลมพัดเบาๆ ทำให้กระโปรงพลีทสั้นเสมอเข่าของเธอปลิวพลิ้วตามลม
“อะไรของแกวะ” ฉันเงยหน้าจากการดูฟีดในหน้าเฟซบุ๊กขึ้นถามไปด้วยความสงสัย อารมณ์ไหนของนางกัน
“ฉันก็รักของฉันเข้าใจบ้างไหม” อืม...เข้าใจ เข้าใจแล้วว่าไม่ควรถามอะไรอีก
“เข้าใจละแต่หิว ตอนนี้พักเรื่องรักแล้วไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”
“แกไม่เข้าใจฉัน ชิชะ!”
“แล้วจะไปกินที่ไหนกันดีล่ะยัยซิน ขอไม่ไกลนะ” ซูซี่พูดขึ้นหลังจากที่เงียบไปนานเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตากดอยู่บนสมาร์ทโฟน
ตอนนี้เราก็เดินมาถึงที่ลานจอดรถข้างตึกเรียนแล้ว รถที่จะใช้ก็เป็นรถยนต์ของซูซี่แหละ ความจริงฉันก็มีรถยนต์นะแต่นั่งกับเพื่อนสบายกว่า ฮ่าๆ
“หน้ามอนี่แหละ ร้านตามสั่งป้าสายใจ” บอกเลยว่าอาหารร้านนี้อร่อยเด็ดดวงมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่อาหารตามสั่งแต่ก็ทำได้ตามสั่งตามชื่อเลย
"ไปๆ"
วันต่อมา....
วันนี้ก็เป็นวันธรรมดาๆ อีกหนึ่งวัน ไม่มีอะไรมากต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปเรียนให้ทัน ชีวิตนักศึกษาปีหนึ่งที่ตารางเรียนแน่นเอี๊ยดเช้ายันเย็นแทบจะไม่มีเวลาหายใจ ช่วงปีที่หนึ่งวิชาเรียนก็จะเป็นวิชาที่ปูพื้นทางวิศวกรรมศาสตร์ ไม่ได้ลงลึกในสาขาที่เรียนมาก ทุกสาขาจะเรียนวิชาคล้ายๆ กัน เวลาเรียนเลยจะเจอเพื่อนต่างสาขาเรียนในคลาสเดียวกันบ้าง พูดมาเยอะตอนนี้ก็เจ็ดโมงครึ่งแล้ว ได้เวลาต้องไปเรียนเพราะฉันมีเรียนตอนแปดโมงเช้า
ด้วยความที่มหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนอยู่นอกเมืองไม่ได้รถติดเหมือนในกรุงเทพ จึงใช้เวลาในการเดินทางจากหอพักไปมหาวิทยาลัยไม่นานนัก วันนี้ฉันขับรถไปเรียนเองเนื่องจากยัยเพื่อนทั้งสองของฉัน หลังจากที่แยกย้ายกัน นางก็ไปดื่มกันต่อ คงจะแฮงค์เลยพลอยตื่นสายไปด้วย ไม่ไหวเลยจริงๆ งานฉันไม่ได้ไปด้วยหรอกเพราะไม่ค่อยชอบดื่มเท่าไร แต่คอไม่อ่อนนะบอกเลย
7.45 น.
ตอนนี้ฉันมาถึงมหาลัยแล้ว ใกล้ได้เวลาเริ่มคลาสคนก็เริ่มทยอยเข้าห้องมาละ อย่างที่บอกไปคลาสนี้เป็นคลาสรวม มีหลายสาขาเข้ามาเรียนด้วยกัน ทำให้จำนวนคนที่อยู่ห้องเรียนเยอะมาก แต่ฉันก็จองที่ไว้ให้เพื่อนทั้งสองเรียบร้อยแล้ว
อีกไม่นานพวกนางคงน่าจะมาแล้วเพราะอาจารย์คนนี้โหดสุด แต่ก็สายได้ห้านาที หลังจากนี้ล็อกห้องทันทีไม่มีสิทธิ์เช็กชื่อ
“ชะนีซิน ฉันมาแล้วววววว” คาบเส้นมากเพื่อนฉัน อาจารย์กำลังจะไปล็อกห้องพอดี ถือว่าวันนี้โชคดีไป
“Thanks, ที่จองที่ให้นะจ๊ะ” ยัยแพรววิ่งมาและนั่งลงอย่างรวดเร็ว
“เป็นไงล่ะ เที่ยวกันเก่งนัก ฉันบอกพวกแกแล้วว่าเที่ยวได้แต่อย่าอยู่จนดึก” บ่นไปสักหน่อยจะได้สำนึกซะบ้าง
“บ่นเก่ง” นั่น
“แล้วมันใช่ไหมล่ะ”
“น่า ก็เมื่อคืนฉันเจอผู้ชายงานดี เจอคนที่ชอบที่ใช่เลยคุยเพลินไปหน่อย คิคิ” ยัยแพรวพูดพร้อมกับยิ้มบิดตัวไปมาเมื่อนึกถึงคนที่กำลังตกอยู่ในหัวข้อบทสนทนา ดูที่ทางแล้วคงจะเป็นคนที่ใช่จริงๆ แสดงอาการขนาดนี้ เป็นเอามากเพื่อนฉัน เอาไว้ค่อยถามทีหลังละกัน ตอนนี้รู้สึกถึงรังสีอำมหิตแผ่เข้ามาใกล้ นักศึกษาคนอื่นเริ่มหันมามองละ คงเพราะพวกฉันเสียงดังกันไปหน่อย อืม...คงไม่หน่อยแหละ
“พอก่อนแก ก่อนที่เราจะโดนเด้งออกจากห้อง เรียนค่ะเรียน” ฉันพูดพร้อมกับเอาชีทที่ปริ้นท์มาให้เพื่อนทั้งสองไปดู
11.00 น.
“โห คนเยอะมาก” ยัยแพรวว่าพลางมองไปรอบๆ หน้าตึก
“นั่นๆ โต๊ะนั้นว่าง”
“ไหน...เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น เล่ามาเลย” หลังจากเลิกคลาสพวกฉันก็มานั่งที่ม้าหินอ่อนหน้าตึก บริเวณหน้าตึกก็จะมีม้าหินอ่อนเพื่อให้นักศึกษาใช้นั่งพักระหว่างรอเรียนหรือบางส่วนก็ใช้ติวหนังสือกัน ตรงนี้ก็มีคนนั่งอยู่เยอะเลยแหละ ยิ่งเป็นแหล่งรวมผู้ชายซะส่วนใหญ่เสียงก็จะเจี๊ยวจ๊าวเป็นพิเศษ
“ฮิฮิ ต่อมเผือกแกมันกระตุกเหรอจ๊ะ ดูรีบร้อน” ก็คนมันอยากรู้ ถึงเพื่อนฉันคนนี้มันจะเป็นคนดี๊ด๊า แต่ก็ยังไม่เคยเห็นบอกชอบใครหรือถูกใจใครมากขนาดนี้
“จะเล่าไม่เล่า”
“เล่าสิยะ...ซูซี่เปิดหัวข้อ”
“แหม ไม่เล่าเองล่ะยะ โยนให้ฉันเลยนะ ...ก็เมื่อวานพวกฉันก็ไป Drink drank drunk ตามประสาสองสาวสวยโสด จู่ๆ ก็หันไปเจอกลุ่มเทพบุตรจุติลงมาจากไหนไม่รู้แก๊ หล่อแบบหล่อมากกกกก หล่อกันทั้งกลุ่ม หล่อแบบกะเทยอย่างฉันจะเป็นลม ฉันเลยคิดว่านี่แหละ กลุ่มนี้แหละฉันต้องได้สักคน หลังจากทำการล็อกเป้าหมาย ฉันก็เคลื่อนย้ายตัวเองไปอยู่ในรัศมีที่สายตาเขาจะมองเห็นทันที คราวนี้แหละมิวสิคออน เต้นสิคะ ยักย้ายส่ายสะโพกไปมา เต้นจนกว่าผู้กลุ่มนั้นจะมองมา สำเร็จค่ะ หนึ่งในกลุ่มนั้นมองมา...แต่เขาไม่ได้มองฉันนน ชะนี! เขามองนังชะนีแพรว!”
เล่าแบบเห็นภาพมาก เอ่อแต่เพื่อนคงจะลืมไปเพื่อนเป็นตุ๊ดหัวเกรียน เพื่อนพึ่งเปิดตัวนะผมยังยาวไม่ทัน ถึงเพื่อนจะแต่งหน้าจัดเต็มสวยยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนก็เถอะ
“ไว้แกผมยาวก่อนเถอะ ค่อยไปให้ท่าเขา ฮ่าๆ”
“ก็นั่นแหละย่ะ ฉันพลาดและยัยแพรวได้” นางพูดพร้อมกับทำท่าสะบัดผมงอนๆ หันหน้าหนี
“แล้วไงต่อ ได้ยังไง” ฉันถามเพื่อให้เล่าต่อ
“ก็หลังจากที่เขามองมา ฉันก็มองกลับ สบตากันไปมาจนสุดท้ายได้คุยกัน สบโอกาสที่เขาชวนไปนั่งที่โต๊ะเขา”
“เร็วไปมะ”
“ไม่เร็วไปหรอกย่ะ ช้าหมดก็อดกินน่ะสิ แล้วคนที่คุยกับฉันน่ะ หล่อมากกก แต่คนในกลุ่มก็หล่อไม่แพ้กันขอบอกคนละสไตล์เลย”
“แล้วพวกเขาเป็นใคร ถึงหล่อแต่ก็ใช่จะไว้ใจได้นะ” บ่นอีก
“ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลหรอกแก เขาเป็นรุ่นพี่ที่คณะเรานี่แหละเรียนปีสามกันแล้ว แต่เรียนยานยนต์ ที่เราไม่เคยเจอเพราะเรียนคนละสาขา พี่เขาก็ไม่ค่อยร่วมกิจกรรมกันเท่าไร ส่วนคนที่ฉันคุยด้วยอะ เขาชื่อสิบทิศ น่ารักมากเลยแก เขาคุยเก่งท่าทางเป็นมิตรสุดในกลุ่มแล้ว คนอื่นก็มีคุยนะ มีพี่กานต์ คนนี้คุยดีฉันแอบๆ ถามพี่เขามีแฟนแล้วแหละ แต่อยู่คนละคณะ แล้วก็พี่ดินท่าทางเจ้าชู้มีสาวนั่งคลอเคลียนัวเนียตลอด ส่วนพี่แบล็คคนนี้ท่าทางง่วงๆ เหมือนโดนบังคับมา และคนสุดท้าย พี่อัคคี คนนี้ฉันไม่ได้คุยเลยอะ พี่แกเงียบมาก กินเหล้าอย่างเดียวไม่พูดไม่จา เพื่อนคุยด้วยแบบถามไปเป็นประโยคแต่เขาตอบมาเป็นคำ
แต่ท่าทางแบดบอยมาก ดูกร้าวใจสุด เห็นแล้วใจน้องกระตุก”
ทีเรื่องอย่างนี้จำได้ดีจริงๆ เพื่อนฉัน เล่ามาเป็นฉากๆ เก็บรายละเอียดเก่ง จริงๆ ก็เป็นห่วงยัยแพรวนะ ถึงจะเป็นรุ่นพี่แต่ไม่ได้รู้จักสนิทสนมอะไรมากมาย แต่ละคนที่เล่ามาก็ดูไม่ธรรมดา แต่ก็คงจะบอกอะไรมากไม่ได้คอยดูห่างๆ ละกัน
“สรุปคนที่แกถูกใจคือ...?”