"ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องคิดมาก" เสียงของอาต้วน ยังคงกล่าวอย่างเอาใจใส่ในตัวสหายของตนเมื่อเหล่าทหารทุกคนได้รับคำสั่งให้พักอีกครั้งหลังจากทดสอบฝีมือด้วยมือเปล่า "ฝึกฝนให้มากเข้าไว้ นะอาหลิ่ว" เขาจบประโยคด้วยการตบไหล่หลิวหลีเป็นเชิงให้กำลังใจ หญิงสาวเพียงพยักหน้าหงึกๆเหมือนเคย
"ข้าจะช่วยฝึกฝนให้เจ้าด้วยคนนะอาหลิ่ว ข้าเป็นทหารเก่าของที่นี่" ทหารอีกคนที่นั่งอยู่ในกลุ่มเอ่ยขึ้นกับหลิวหลี
"ข้าด้วยนะ เจ้าไปต้องกังวลไป อาหลิ่ว" ทหารอีกคนเอ่ยเสริม
ทหารอีกสองสามคนเข้ามารุมล้อมตบไหล่ ขยี้หัว เป็นการให้กำลังใจกับหลิวหลีในคราบของอาหลิ่วกันเป็นการใหญ่ การกระทำแบบนั้นของเหล่าทหารทำให้หลิวหลีรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมา
นางรับรู้ได้ถึงมิตรภาพที่เริ่มก่อตัว การที่หญิงสาวตัดสินใจตามจูหยวนจางเข้ามาในค่ายทหารครานี้อาจจะไม่เป็นเรื่องที่โง่งมจนเกินไป เพราะอย่างน้อย นางก็เริ่มเข้าใจในตัวของจูหยวนจางขึ้นมารำไร ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงชมชอบการเป็นทหารนักหนา
เมื่อบรรดาทหารพากันให้กำลังใจหลิวหลีกันครบถ้วนทุกคนแล้ว หญิงสาวเพียงยิ้มจริงใจส่งกลับไปเป็นการตอบแทนแค่นั้น นางไม่สะดวกพูดคุยกับใครจริงๆ เหล่าทหารก็มิได้ถือสานางแต่อย่างใดเพราะเข้าใจตรงกันว่าอาหลิ่วผู้นี้มีปัญหาเกี่ยวการสื่อสารด้วยคำพูด
กลุ่มทหารกลุ่มนั้นยังคงนั่งคุยกันอย่างเป็นกันเอง จูหยวนจางยังคงจ้องมองหลิวหลีที่บัดนี้ชื่อว่าอาหลิ่วอยู่อย่างนั้น เขาเข้าใจดีถึงบรรยากาศของกลุ่มทหารกลุ่มนั้น เขามิได้นึกขัดเคืองหรือหึงหวงแต่อย่างใด เพราะภรรยาของเขานั้นช่างปลอมตัวได้อย่างแนบเนียนจนใครๆคงคาดคิดไม่ถึงเป็นแน่ ว่านางจะเป็นสตรีที่ปลอมตัวเข้ามา เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงสงสัยจริงๆ ว่าเขาได้สตรีชนิดใดเป็นภรรยา ทำไมนางถึงได้โง่งมถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้นางได้เพียรพยายามเพื่อจะได้สมรสพระราชทานให้แต่งงานกับเขา
แล้วครานี้ นางยังมีความกล้าหาญมากมายถึงขั้นปลอมตัวเข้ามาเพื่อจะได้มาอยู่ใกล้ชิดกับเขา
เขาควรจะเปิดโปงนาง
เขาควรจะไล่นางให้กลับบ้านไป
แต่ทำไม...
ทำไมเขาถึงไม่ทำ...
"เรียนท่านรองแม่ทัพจู มีเสบียงมาส่งขอรับ" เสียงของนายทหารนายหนึ่งกล่าวขึ้นกับจูหยวนจางทำให้ชายหนุ่มต้องดึงสายตาออกจากหลิวหลีออกมา
เขาถามกลับเสียงเรียบ "ข้าต้องรู้ด้วยหรือ?"
"เอ่อ... หามิได้ท่าน เพียงแต่..." ทหารนายนั้นทำท่าอึกอัก
จู่ๆเสียงหนึ่งพลันดังแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลังของทหารผู้นี้
"เพียงแต่คนส่งเสบียงครานี้ เป็นข้าเอง เจ้าค่ะ ท่านรองแม่ทัพจู" เสียงใสๆของสตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริงมาทางจูหยวนจางพร้อมๆกับย่างกรายเดินมาอย่างสวยงาม
นางเป็นบุตรสาวของหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสบียง
นางมีนามว่าอวี้เจิน เมื่อนางรู้ว่าจูหยวนจางมาประจำการที่นี่ นางจึงขันอาสาติดตามบิดาและคณะส่งเสบียงเข้ามายังค่ายทหารแห่งนี้ เพื่อหวังจะสานสัมพันธ์กับจูหยวนจาง แม้นางจะรับรู้แล้วว่าเขาได้แต่งงานกับสตรีนางหนึ่ง แต่... การที่บุรุษจะมีอนุย่อมเป็นเรื่องธรรมดา และนางก็ไม่ถือสาหากนางจะได้เป็นเพียงอนุของเขา ยิ่งมาอยู่ที่ค่ายทหารด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องง่าย เพราะห่างไกลจากสายตาภรรยาเอกที่อยู่ทางบ้าน หญิงสาวคิดในใจพลางส่งเสียงใสๆมาทางจูหยวนจางอย่างต่อเนื่อง
"จำข้าน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ ข้า อวี้เจิน เราเคยเจอกันบ่อยครั้งเมื่อยามเสบียงเดินทางมา" อวี้เจินเอ่ยคำพร้อมกับรอยยิ้มประจบท่าทางสดใสและตีสนิทตลอดเวลา
"อืม... ข้าย่อมจำได้ เจ้าเป็นส่วนสำคัญของกองทัพทหาร" จูหยวนจางกล่าวออกไปเพื่อเปิดโอกาสให้หญิงสาวตรงหน้าแสดงออกถึงการตีสนิทกับเขาให้มากขึ้น ด้วยอยากรู้ถึงปฏิกิริยาของใครบางคนที่นั่งอยู่ในกลุ่มทหารไม่ไกล
"จริงหรือ ท่านจำข้าได้แล้วหรือ" อวี้เจินกล่าวอย่างตื่นเต้น
"แน่นอน" เขาตอบคำด้วยใบหน้านิ่งๆกระตุกยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย
"เช่นนั้น มาส่งเสบียงครานี้ ข้าคงต้องอยู่นานแน่แล้ว" อวี้เจินยังคงส่งเสียงสดใสอย่างต่อเนื่อง "นะเจ้าคะ นะนะ"
จูหยวนจางเพียงพยักหน้าเล็กน้อยพลางสังเกตไปที่หลิวหลี
เขาเห็นหญิงสาวมองมาทางเขาเช่นกัน
สีหน้าของนางยามนี้นั้น
ทำเขานึกขัน
"อาหลิ่ว เจ้าเป็นอะไรไป ปวดท้องรึ" อาต้วนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าคล้ายดำคล้ำของสหาย
หลิวหลีมิได้สนใจฟังอาต้วนแต่อย่างใด
นางยังคงจ้องมองไปทางจูหยวนจางและสตรีนางหนึ่งที่กำลังทำท่าทางสนิทสนมกับจูหยวนจางอยู่ในขณะนี้
นางพอจะดูออกถึงลักษณะกิริยาของสตรีนางนั้นด้วยเพราะเป็นสตรีเพศด้วยกัน
สตรีนางนั้นแสดงออกว่าชมชอบจูหยวนจางอย่างเห็นได้ชัดอย่างเปิดเผย
ตัวสตรีนั้นนางมิได้สนใจ นางสนใจเพียงจูหยวนจาง
ถ้าหากเขามีปฏิกิริยาตอบกลับไป ถ้าหากเขาตอบสนอง ถ้าหากเขายอมรับสตรีนางนั้น
นางบอกได้คำเดียวเลย ว่านางจะไม่ทน นางจะกลับบ้านไปและเขียนหนังสือหย่าทันที หลิวหลีคิดในใจขณะส่งสายตาแวววาวดุดันส่งไปให้จูหยวนจางอย่างไม่รู้ตัว
แต่สายตานั้นมิได้ทำให้จูหยวนจางสะทกสะท้านแต่อย่างใด
เขารู้สึกเอ็นดูด้วยซ้ำ
ไม่รู้ได้ว่าทำไม
ทำไม...เขาจึงอยากแกล้งนาง...