เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่งทหารทุกนายก็ถูกหัวหน้าหน่วยเรียกให้มารวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมถัดมาคือการขี่ม้า แต่ละคนจะได้ผลัดเปลี่ยนกันขี่ม้าตามกติกาของหัวหน้าหน่วย และหลิวหลีก็ยังคงสามารถทำได้ดีอีกเช่นเดียวกัน เพียงแต่...
ถ้าไม่บังเอิญหันไปสบตากับใครบางคนเข้า นางก็คงไม่โดนม้าดีดจนร่างกระเด็นตกลงจากหลังม้า โชคยังดีที่นางเคยถูกม้าดีดจนตกจากหลังม้าอยู่บ่อยครั้งในกาลก่อนเมื่อยามที่เคยฝึกที่จวนของตระกูล ทำให้รู้จังหวะของการตกลงมาได้เป็นอย่างดีจึงมิได้บาดเจ็บแต่อย่างใด แต่ผลที่ได้ คือ ถูกทำโทษ
หลิวหลีถูกทำโทษโดยการให้ไปยืนกางแขนยกขาขึ้นหนึ่งข้างอยู่ตรงกลางของลานกว้างอย่างโดดเดี่ยวไกลออกไป
อา...
ช่างดียิ่ง
ถูกทำโทษเยี่ยงนี้
ช่างดียิ่ง
นางจะได้ออกมาจากสายตาคล้ายจับผิดนั่น
จูหยวนจางกำลังจับผิดนางหรือไม่
เขาจำนางได้หรือไม่
นางกำลังกังวล
หากเขาจำนางได้
เขาต้องไล่นางกลับไปอย่างแน่นอน
ไม่!
นางไม่อยากกลับไป
อุตส่าห์ทำมาถึงขนาดนี้
นางไม่ยอม!
หลิวหลียืนกางแขนยกขาหนึ่งข้างร่ำร้องอยู่ในใจตลอดเวลา
และการที่หลิวหลียืนอยู่คนเดียวตรงกลางลานกว้างยิ่งทำให้จูหยวนจางพินิจพิจารณานางได้ง่ายยิ่งขึ้น
ยามเมื่อนางอยู่ท่ามกลางเหล่าทหารนางช่างกลมกลืนได้อย่างน่าอัศจรรย์ทำให้เขาไม่สามารถวิเคราะห์นางได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
แต่ยามนี้
นางยืนเด่นอยู่ตรงนั้น
เขาจะทำอย่างไรกับนางดี
ทำอย่างไรดี...
จูหยวนจางคิดอยู่อย่างนั้นพลางจ้องมองภรรยาของตนในคราบของบุรุษอย่างไม่วางตา
"เป็นอย่างไรบ้าง เหนื่อยหรือไม่ อาหลิ่ว อ่ะ กินน้ำก่อน" เสียงอาต้วนยังคงเอ่ยขึ้นอย่างใส่ใจในตัวสหายอย่างหลิวหลีหลังจากนางได้กลับเข้ามายังกลุ่มทหาร แม้นางจะมิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดแก่เขาเลย แต่เขาก็ยังดูแลเอาใจใส่นางเป็นอย่างดี
อาต้วนผู้นี้ช่างมีน้ำใจ นางคิดพลางยิ้มส่งให้อาต้วนอย่างจริงใจขณะรับน้ำมาดื่มกินตามคำ ทั้งสองนั่งพักอยู่ด้วยกันไม่ไกลจากสายตาของใครบางคน ท่าทางสนิทสนมนั่นทำใครบางคนจ้องมองอย่างสังเกต
จูหยวนจางยังคงนั่งมองภรรยาของเขาที่อยู่ในคราบบุรุษอยู่อย่างไม่วางตา
เสียงครวญครางหวานใสพลันดังขึ้นมาในโสตประสาทของเขา ชายหนุ่มรีบสลัดเสียงในมโนสำนึกนั้นออกไป อยู่ค่ายทหารอย่างนี้เขาจะทำสิ่งใดได้กัน ต่อให้นางแสดงตัวตนที่แท้จริงกับเขาก็ตามที
"ท่านรองแม่ทัพจู สนามประลองพร้อมแล้วขอรับ" เสียงของหัวหน้าหน่วยดังขึ้นดึงสติและสายตาของจูหยวนจางให้ออกมาจากร่างของบุรุษผู้หนึ่ง เขาเพียงพยักหน้าน้อยๆด้วยสีหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลา
รอบบ่ายนี้การแสดงฝีมือของทหารใหม่แต่ละคนนั้นจะเป็นการประลองฝีมือการต่อสู้ตามที่แต่ละคนถนัด แม้ใครที่ต่อสู้ไม่เก่งก็ไม่เป็นไรเพราะแค่ต้องการประเมินพื้นฐานของแต่ละคนเพียงเท่านั้น
การต่อสู้ของแต่ละคู่ผ่านพ้นไปเป็นอย่างดี ในที่สุดก็มาถึงคู่ต่อสู้ที่จูหยวนจางรอชม นั่นก็คือบุรุษผู้หนึ่งที่เขามั่นใจว่าเป็นภรรยาพระราชทานของเขาปลอมตัวมา
จูหยวนจางนั่งอยู่บนตั่งไม้เหนือกลุ่มของทหารที่ล้อมวงกันให้กำลังใจแต่ละคู่ที่เข้ามาตรงกลางวงเพื่อแสดงฝีมือ สีหน้าของชายหนุ่มยังคงไร้อารมณ์ใดๆมีเพียงสายตาที่บ่งบอกได้ว่าอยากรู้ถึงใครบางคนว่าจะทำอย่างไรในสถานการณ์ยามนี้
"เริ่มได้" เสียงดังฟังชัดของหัวหน้าหน่วยตะโกนขึ้นเป็นสัญญาณให้การต่อสู้ของคู่หลิวหลีในคราบของอาหลิ่วได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
คู่ต่อสู้ของหลิวหลีนั้นทั้งตัวโตกว่าหลิวหลี ทั้งแข็งแกร่งกว่าหลิวหลี เมื่อเขาเหวี่ยงแขนมาแต่ละที หลิวหลีต้องใช้สมองอันน้อยนิดของนางประมวลผลระหว่างหลบเลี่ยงกับรับแรงปะทะแล้วส่งกลับ แต่เวลาไม่ได้มีมากพอที่จะให้เสียเวลาคิด สัญชาตญาณของนางจึงทำให้นางกระโดดโหยงหลบไปไกล
เขาวิ่งเข้าหาหลิวหลีหวังเหวี่ยงแขนฟาดฝ่ามือมาอีก หลิวหลีก็กระโดดหนีอีก เขาตามมาอีกหลิวหลีก็หมุนตัวหลบอีก เขาเข้ามาหลิวหลีหลบ เขาตามหลิวหลีหนี ภายในวงก็แคบเหลือเกินหนีไปหนีมาก็จนมุม สุดท้ายเมื่อคู่ต่อสู้ทำท่าขยับแขนขยับขาเข้าใส่หลิวหลี หญิงสาวจึงตัดสินใจฝ่าฝูงชนวิ่งหนีออกไปนอกกลุ่มอย่างไม่คิดชีวิต
นางวิ่งไปไกลลิบไม่สนใจกฎกติกาใดๆ สร้างความขบขันให้บรรดาทหารคนอื่นที่นั่งชมเป็นอย่างมาก
จูหยวนจางที่ตั้งใจรอชมฝีมือของนางถึงกับกลั้นยิ้มเอาไว้สุดชีวิตด้วยใบหน้าเรียบเฉยท่าทางเคร่งขรึม เขามิได้แปลกใจแต่อย่างใด ดีที่นางปลอมตัวได้อย่างแนบเนียนมิเช่นนั้นคงมีคนสงสัยในตัวนางเป็นแน่กับวิธีการต่อสู้อย่างนั้น
"เจ้าจะวิ่งไปไหน กลับมาเดี๋ยวนี้!" หัวหน้าหน่วยตะโกนอย่างไม่ลดละไปทางหลิวหลีที่หนีไปตั้งท่าเสียไกล หญิงสาวในคราบอาหลิ่วทำได้เพียงก้มหน้างุดๆเดินกลับเข้ามายังกลุ่มตามเดิม
อายก็อายแต่ยังดีกว่าโดนหมัดเจ้าตัวโตนั่น นางคิดในใจ
"เจ้าชื่ออะไร" หัวหน้าหน่วยคำรามใส่หน้าหลิวหลีทันทีที่หญิงสาวเดินเข้ามายังกลุ่ม
เงียบ
ไม่มีคำตอบ
หลิวหลีไม่อยากเอ่ยคำใดออกมาด้วยเกรงว่าน้ำเสียงหวานใสของนางจะสะดุดหูใครบางคนที่นั่งอยู่บนตั่งไม้ไม่ไกลนั่น
"เจ้าชื่ออะไร ตอบ!" เสียงแหกปากตะเบ็งใส่หูหลิวหลีจนหญิงสาวต้องห่อไหล่เอียงหน้าย้ายหูหนี ด้วยเกรงว่าพลังของเสียงนั้นจะทำร้ายใบหูของนาง
อาต้วนที่นั่งชมอยู่นอกวงไม่ไกลเห็นอาการห่อไหล่เอียงหัวหลบอย่างนั้นของสหายจึงตะโกนตอบแทน "อาหลิ่วขอรับ เขาชื่ออาหลิ่ว เขามีปัญหาเกี่ยวกับการพูดขอรับท่านหัวหน้า"
"หือ! อย่างนั้นรึ" หัวหน้าหน่วยได้ยินดังนั้นจึงเบาเสียงลงก่อนแสดงความเห็นใจบุรุษตรงหน้าพลางเอ่ย "อา...ช่างเถอะ เจ้าห้ามวิ่งหนีออกไปนอกกลุ่มอีก รักษากฎกติกาให้ดี มันสำคัญมาก เข้าใจหรือไม่"
จบคำของหัวหน้าหน่วยหลิวหลีรีบพยักหน้าหงึกๆก่อนจะรีบกลับหลังหันเพื่อเดินกลับไปรวมตัวกับกลุ่มทหารที่นั่งล้อมวงอยู่ในทันที
ในขณะที่หลิวหลีกำลังเดินเข้าไปยังกลุ่มเพื่อนทหารอย่างโล่งใจ เสียงเข้มของผู้หนึ่งพลันดังขึ้น
"หยุด!"
หลิวหลีชะงักเท้าทันที นั่นเสียงของจูหยวนจาง!
"เจ้าชื่ออาหลิ่วรึ" เสียงทุ้มต่ำเนิบนาบของจูหยวนจางเอ่ยขึ้นขณะลุกขึ้นจากตั่งไม้แล้วเดินอย่างสุขุมเข้ามาใกล้หลิวหลีในรูปโฉมของอาหลิ่ว
หญิงสาวค่อยๆหันหน้ากลับไปหาเขาอย่างเก็บข่มอาการระแวดระวังระหวาดระแวงเอาไว้อย่างที่สุด
"มีปัญหาเรื่องการพูดด้วย" เสียงทุ้มต่ำเรียบเรื่อยของจูหยวนจางยังคงเอ่ยขึ้นเมื่อมาหยุดยืนตรงด้านหน้าของหลิวหลี
สายตาคมปลาบจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวนิ่งๆอย่างหยั่งเชิงและวิเคราะห์ สีผิวเข้มขึ้น หนวดนี่ก็เหมือนมาก ช่วงไหล่บึกบึน หน้าอกหายไป แต่กลิ่นกายนาง...
หลิวหลีทำได้เพียงก้มหน้ามองพื้นตัวเกร็ง
"หน่วยก้านดี" เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูของจูหยวนจางเอ่ยขึ้นพลางตบไหล่ข้างหนึ่งของหลิวหลีเป็นการกระทำของหัวหน้าที่พึงกระทำกับลูกน้อง "เรื่องการพูดมิใช่ปัญหา เจ้าว่าจริงหรือไม่ อาหลิ่ว" ประโยคท้ายเขาถามเสียงเข้มมาทางหลิวหลี นางฉลาดไม่เบา คงกลัวเขาจำเสียงได้เป็นแน่ จูหยวนจางคิดในใจ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสบตาของเขาที่ก้มมองลงมาที่นางนิ่งๆ สายตาของเขาไม่แสดงอารมณ์หรือความหมายใดๆ
เขาจำนางไม่ได้
เขาจำไม่ได้...
ดียิ่ง!
ดียิ่ง!
หญิงสาวคิดในใจขณะส่งยิ้มแห้งๆพร้อมพยักหน้าหงึกๆตอบกลับไป