ทางด้านหลี่ไห่อิงเองก็ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากันกับผู้เป็นอดีตสามีทั้งที่ในใจของนางยังไม่สามารถลืมเลือนเขาไปได้ เมื่อต้องได้มาเผชิญหน้ากันตรงๆ เช่นนี้จึงทำให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย
"อิงเอ๋อร์ เหตุการณ์ในครั้งนี้พี่รู้ดีว่าตนเองเป็นคนผิด และพี่ก็ไม่รู้ว่าจะชดเชยให้เจ้าเช่นใด"
"หึ…!!! ท่านใช้เวลาสืบหาความจริงนานกว่าที่คาดคิดนะเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกผิดหวัง หรือเสียใจ อันไหนก่อนดี แต่ก็ช่างมันเถอะถือว่าในตอนนี้ท่านได้รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ข้ารอเวลานี้ มานาน นี่คือหนังสือหย่าของพวกเราสองคนผัวเมียข้าได้ลงนามไปเรียบร้อยแล้ว"
สตรีที่ในวันวาน มีเขาคอยเป็นผืนฟ้ากางปีกปกป้อง มาวันนี้ไม่คาดคิดเลยว่า นางจะสามารถยิ้มร่าให้กับเขาพร้อมกับมอบหนังสือหย่าให้ โดยไร้ซึ่งท่าทีเสียใจอย่างเย็นชาได้ถึงเพียงนี้ แต่มันจะแปลกอันใดเล่า หากให้คิดกลับกัน ลองเป็นตัวเอง เมื่อได้ผ่านพ้นประสบการณ์ความเป็นตายมาแล้ว คงไม่แปลก หากนางจะรู้สึกสิ้นศรัทธาในตัวเขา
องครักษ์จางหมิง มองดูใบหน้าของภรรยา อย่างรู้สึกผิดปนเสียใจ ที่หากวันนั้นตนเอง มีความเชื่อใจนางสักนิด เรื่องราวคงไม่เป็นเช่นนี้เป็นแน่
เมื่อหลี่ไห่อิงเห็นว่าผู้เป็นสามีไม่ได้ตอบคำถามใด และไม่ยอมรับหนังสือหย่าไป เสียที นางก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา พร้อมกับ กล่าวถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูเหนื่อยล้า "หากท่านรู้สึกผิดต่อข้าจริง มอบยู๋ร์เอ๋อร์ให้มาอยู่กับข้าจะได้หรือไม่ หากจะพูดกันตามจริงแล้ว โทษของการใส่ร้ายฮูหยินเอกของเฉินซื่ออิงในครั้งนี้ สมควรที่จะถูกประหาร เสียด้วยซ้ำ แต่จนถึงตอนนี้ ขากลับยังไม่ได้ยินข่าวอันใด เล็ดรอดออกมา นั่นคงจะเป็นการปิดข่าวในตระกูลจางของพวกท่านเสียมากกว่ากระมัง เพียงเท่านี้มันก็เป็นเครื่องบ่งบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าหากบุตรสาวของข้ายังอยู่ที่นั่นต่อไป เกรงว่าแม้แต่ชีวิตของยู๋ร์เอ๋อร์สตรีผู้นั้นก็คงไม่คิดปล่อยไว้ ขนาดนางสร้างเรื่องราวอุกอาจถึงเพียงนี้ พวกท่านยังไม่คิดจะลงมือทำสิ่งใด"
คล้ายกับสิ่งที่หลี่ไห่อิงกล่าวออกมา ตีแสกหน้าของจางหมิง จนเขาไม่กล้ากล่าวแย้งสิ่งใด หลังจากที่สืบทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาก็คิดว่าจะจับฮูหยินรองผู้นั้นมาลงโทษจนถึงที่สุด แต่ด้วยความที่ผู้เป็นมารดาของเขาขอร้องอ้อนวอน อย่าให้เขาแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าอาย และสตรีผู้นั้นก็เป็นฮูหยินผู้เฒ่าจางหามาให้ตนเองกับมือ และนางยังได้คลอดบุตรชายให้กับเขา แล้ว อนาคตของบุตรชายที่มีมารดาทำตัวร้ายกาจถึงเพียงนี้ จะมีความเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไรเล่า
เมื่อถูกมารดาเอาเรื่องนี้เข้ามาขู่ เขาก็ไม่รู้ว่าจะสู้หน้า ฮูหยินเอกของตนเองกับสิ่งที่ได้กระทำมาอย่างไร เมื่อถูกนางขอร้องอ้อนวอนเช่นนี้ ความรู้สึกผิด จึงได้ก่อตัวขึ้นมา จนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้านาง
"ยู๋ร์เอ๋อร์เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลจาง แล้วนางจะสามารถไปมีชีวิตที่ไร้ซึ่งอนาคตที่ชัดเจนกับเจ้าได้เช่นไร เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ แค่เพียงเจ้ายอมกลับไปใช้ชีวิตเหมือนปกติที่ผ่านมา และได้อยู่กับยู๋ร์เอ๋อร์ไม่ดีกว่าหรือ"
"จางหมิงท่านคิดเช่นไรกระนั้นหรือ ถึงได้กล่าวประโยคนี้ออกมา ท่านคิดว่าข้าจะดีใจ น้อมรับกับคำกล่าวนี้ของท่านกระนั้นหรือ ช่างน่าขันสิ้นดี ที่ท่านคิดว่าข้าจะยอมให้อภัยกับคนที่คิดจะปลิดชีวิตของข้าอย่างไร้ซึ่งความยุติธรรม ที่ซึ่งไม่มีแม้แต่การไต่สวน" หลี่ไห่อิงตะโกนตอกหน้าผู้เป็นสามีอย่างเหลืออด และกล่าวคำพูดที่อัดอั้นของตนเองต่อไป
"ถึงแม้นว่าข้าจะไม่มีสมบัติ อันใดติดตัว แต่ข้าเชื่อมั่นว่า หากนางออกมาจากตระกูลจางได้ ถึงแม้ชีวิตความเป็นอยู่จะไม่ได้รุ่งโรจน์ แต่ก็คงจะไม่อนาถ ถึงขนาดแทบจะเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกับมารดาของนางกระมัง"
หลี่ไห่อิงบนใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น นางยิ้มเยาะให้กับชะตากรรมและคำพูดของสามีเมื่อสักครู่นี้ "ท่านรับรองได้หรือไม่ว่ามารดาของท่าน จะให้ความเป็นธรรมกับนาง ท่านรับรองได้หรือ ว่ามารดาของท่านจะรักนาง จนมองเห็นสิ่งถูกผิดอย่างยุติธรรม ข้ารู้ว่าท่านรู้คำตอบนี้ดี การที่นางมีมารดาเป็นที่จงเกลียดจงชังแม้แต่กระดิกตัว ก็คงจะเป็นที่ขัดเคืองตาสำหรับฮูหยินผู้เฒ่าจางแล้วกระมัง ท่านมีเวลาให้ความรักความใส่ใจกับนางกระนั้นหรือ ท่านอย่าได้หลอกตัวเองอีกเลย ถือว่าเป็นการชดใช้ที่ท่านไม่สามารถมอบความยุติธรรมให้กับข้าก็ดี ถือว่าที่ท่านไม่สามารถสัญญาว่าจะปกป้องดูแลข้าได้จนตลอดชีวิตก็ดี ข้าขอเพียงแค่ยู๋ร์เอ๋อร์เพียงเท่านั้น อย่าให้นางต้องมีชีวิตที่น่าเศร้าเฉกเช่นมารดาของนางเลย"
หากเป็นแต่ก่อนนางคงไม่มีความมั่นใจที่จะขอตัวบุตรสาวมาเลี้ยงดูด้วยตนเอง แต่หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเหมยลี่ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ก็ทำให้นางเห็นถึงแสงสว่างในความมืด ในความอับจนหนทาง ก็มักจะเห็นโอกาส ที่จะได้เริ่มต้นใหม่ของนางอยู่บนปลายทางแห่งนี้ ขอเพียงนางอย่าได้ยอมแพ้และถอดใจไปเสียก่อน
ถึงแม้ชีวิตต่อจากนี้ของนางและบุตรสาวจะมีความลำบาก แต่มันจะมีความสุขสบาย ในจิตใจมากกว่าที่จะต้องอดทนรับฟังคำดูถูกเหยียดหยามเหล่านั้นทุกวี่วัน ความอยุติธรรมต่างๆ มากมายเหตุใดนางจะต้องอดทนถึงเพียงนี้ เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว ก็ได้แต่หัวเราะให้กับตนเองว่ามันช่างไร้ประโยชน์เสียจริง
"อิงเอ๋อร์…!!!"
"ถือว่าข้าขอร้องท่านเผื่อท่านจะเห็นถึงความสัมพันธ์ของเราในหลายปีที่ผ่านมา"
หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะเลือกเชื่อใจในตัวภรรยาคู่นี้มากกว่าสิ่งที่ตาเห็น แต่ในเมื่อไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็ได้แต่ยอมรับความจริงข้อนี้
"งั้นข้าจะให้เงินตำลึงและสมบัติติดตัวเจ้า เพื่อเอาไว้ใช้เลี้ยงดูยู๋ร์เอ๋อร์จนเติบใหญ่ และมีชีวิตที่ดีได้อย่างไม่ลำบาก" องครักษ์จางหมิงหยิบยื่นน้ำใจนี้ให้กับนาง อย่างจริงใจ เพราะเขาได้เล็งเห็นแล้วว่า สิ่งที่นางกล่าวมาทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงที่กระแทกใจเขาอย่างจัง เขาไม่สามารถ ยืนยันสิ่งใดได้เลย ว่าจะสามารถปกป้องบุตรสาวของตนเองได้ เพราะแม้แต่ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ยืนอยู่ยังเบื้องหน้าของเขาในตอนนี้ เขายังไม่สามารถปกป้องนางได้เลย
"ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ข้าสามารถเลี้ยงดูนางได้ด้วยตัวข้าเอง และเชื่อว่านางจะสามารถมีชีวิตที่ดีได้ แต่ก็ขอ ขอบน้ำใจท่านมาก ที่ยังคิดจะหยิบยื่นความเมตตานี้ให้"
สายตาที่เด็ดเดี่ยวเต็มไปด้วยความมั่นใจไร้ซึ่งท่าทีหวาดกลัว เหมือนเช่นในวันวานได้หายไปจนหมดสิ้น ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้หล่อหลอมให้หญิงสาว ผู้อ่อนต่อโลกผู้นั้น ได้ตายจากไปแล้ว องครักษ์จางหมิงได้แต่รู้สึกเจ็บปวดในใจ ที่ตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งในการหล่อหลอมความเด็ดเดี่ยวนี้ให้กับนาง
"อีก 3 วันพี่จะนำตัวยู๋ร์เอ๋อร์มาให้กับเจ้า และเหล่าสาวรับใช้ของเจ้าก่อนหน้านี้ ข้าก็ได้จัดการลงโทษพวกนาง อย่างเหมาะสมแล้ว เจ้าวางใจเถิด ชีวิตของข้าต่อจากนี้จะอยู่เพื่อชดเชยให้กับเจ้า"
ในเมื่อเห็นว่าไม่สามารถโน้มน้าวใจผู้เป็นภรรยาให้กลับไปใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างเช่นในวันวาน การมอบบุตรสาวให้กับนางมาดูแลเช่นนี้ ก็เป็นการดีที่เขาจะยังสามารถเทียวมาหาพวกนางได้บ่อยครั้ง เขาเชื่อมั่นว่าความรู้สึกที่ภรรยามีให้กับตนนั้นใช่ว่าจะหายไปได้โดยง่าย หากเขาสามารถพิสูจน์ความจริงใจนี้ให้นางได้เห็นไม่แน่ว่าสักวันหนึ่ง นางอาจจะสามารถอภัยให้กับตนเองก็เป็นได้
"ขอบใจท่านมาก แต่ผู้ที่ควรลงโทษจริงๆ คือผู้ใดนั้น ท่านก็รู้ดี เหล่าสาวใช้พวกนั้นเป็นเพียงลิ่วล้อที่กลายมาเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าท่านจะจัดการกับพวกนางเช่นใด ข้าก็หาได้ใส่ใจ แต่ข้าก็พอจะเข้าใจได้ถึงการกระทำของท่าน ขอบใจท่านก็แล้วกันที่บอกเรื่องนี้ให้กับข้าได้ทราบ" หลี่ไห่อิงยิ้มออกมาจากใจจริงเป็นครั้งแรก คล้ายกับว่าไม่ว่าเขาจะทำเช่นใด ตอนนี้มันก็ไม่มีผลกับนางแล้ว
องครักษ์จางหมิงได้แต่มองรอยยิ้มนั้น หลังจากที่ผ่านเรื่องราวเลวร้าย เขาก็ได้แต่เห็นใบหน้าที่จากไปด้วยความเย็นชาของนาง แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของผู้เป็นภรรยายิ้มออกมาอย่างจริงใจเช่นนั้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำเหน็บแนม เขาก็รู้สึกดีใจที่ได้เห็นมัน เขาก็ได้แต่จ้องมองมันเพื่อที่อยากจะจดจำมันเอาไว้ เพราะเกรงว่านางคงจะไม่สามารถ ส่งยิ้มเช่นนั้นให้กับตนเองได้อีก…
หลี่ไห่อิงนั่งมองหนังสือหย่าของตนเอง ซ้ำไปซ้ำมานางไม่คาดคิดเลยว่า เมื่อได้มาเผชิญหน้ากับสามีอีกครั้งนางจะมีความเข้มแข็งได้ถึงเพียงนี้ หากไม่ได้เหมยลี่นางคงไม่มีความคิด ที่กล้าหาญถึงเพียงนี้กระมัง
การเป็นภรรยาที่ดีอยู่ในกรอบ คอยเชื่อฟังสามีและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของแม่สามี ช่างเป็นความทรมานที่คอยกดดันให้นางไม่มีความสุข นางต้องยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบาน พร้อมกับจัดงานแต่งให้อย่างยิ่งใหญ่ กว่างานแต่งของตนเองเสียอีก เมื่อผู้เป็นสามีได้รับภรรยาอีกคน ความรู้สึกเช่นนี้จะมีสตรีผู้ใดไม่เคยรู้สึกบ้างเล่า ว่ามันเจ็บปวดเพียงใด แต่เมื่อถูกสั่งสอน ให้พวกนางต้องยิ้มรับ และเต็มใจ ให้เป็นสตรีที่มีความใจกว้าง ซึ่งไม่เคยมีสตรีใดออกมาเรียกร้อง
เมื่อลับหลังพวกนางก็คอยเข่นฆ่าแย่งชิงความรัก ความโปรดปรานของผู้เป็นสามี ต่างคนต่างรับคม ซ้อนแผนการของกันและกันไปมาหากผู้ใดพ่ายแพ้ก็จะเป็นเช่นนาง แต่เหล่าบุรุษที่เป็นตัวต้นเหตุเหล่านั้นเล่า กลับหน้าชื่นตาบานคอยรับการปรนนิบัติจากผู้เป็นภรรยา โดยที่ไร้ซึ่งเรื่องทุกข์กังวลใจ พวกเขาคอยรับแต่ความสุขสม แล้วความยุติธรรมมันอยู่ที่ใด
หลังจากหลี่ไห่อิงถูกล้างสมองโดยเหมยลี่ ให้มีความคิดเสียใหม่กับเรื่องแบบนี้ สตรีเหตุใดจึงต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตอย่างกล้ำกลืนฝืนทน ในเมื่อมีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ และใช้ชีวิตที่ดีของตนเองได้โดยลำพัง โดยไม่ต้องพึ่งพาบุรุษ แค่เพียงพวกนางจะต้องมีความอดทนเสียหน่อย และฟันฝ่ากับอุปสรรคที่จะเกิดเพียงเท่านั้นคำครหาก็เป็นเพียง คำพูด ไม่สามารถฆ่าคนได้หากนางไม่เก็บมาใส่ใจแล้วไยนางจะต้องใช้ชีวิตไปกับคำครหานั้นให้ชีวิตของตนเองไม่มีความสุขด้วยเล่า