ในขณะที่พวกเขากำลังรับสำรับอยู่ในเหลาอาหารชื่อดัง เหมยลี่ก็ตื่นตาตื่นใจไปกับอาหาร ที่ถูกจัดเรียงรายขึ้นโต๊ะ
"รสชาติดีเจ้าค่ะ" เหมยลี่กล่าวพลางทำสีหน้าเรียบเฉย เมื่อรับรู้ได้ถึงรสชาติอาหารที่ยังถือว่าห่างชั้นกันกับอาหารในยุคสมัยใหม่อยู่พอควร แต่ครั้นจะให้นางกล่าวออกไปตามตรง ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการทำลายน้ำใจของบุรุษผู้นี้ที่ดูเหมือนเขาจะพยายามเสนอหลากหลายเมนูที่ขึ้นชื่อให้กับนางได้ลิ้มลอง
"แต่ดูสีหน้าท่าทางของเจ้าคล้ายกับว่าจะไม่ถูกใจเท่าที่ควร อาหารในยุคสมัยของเจ้าเลิศรสกว่านี้กระนั้นหรือ"
เหมยลี่ชะงักตะเกียบค้าง นางจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขาพร้อมกับ พยักหน้าเป็นคำตอบ "ยังขาดความกลมกล่อมอยู่ เมื่อรสชาติของอาหารแตะไปบนลิ้น ความละมุนในการปรุงรสยังห่างชั้น และของหวานที่ขึ้นชื่อเหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่มีรสหวานจนเกินไป ทำให้บดบังความอร่อยของเครื่องเคียงไปเสียหมด"
"เป็นเช่นนั้นหรือ เมื่อเจ้ากล่าวมาเช่นนี้ หากมีโอกาสข้าก็อยากจะลิ้มลองอาหารในยุคสมัยของเจ้าดูสักคราว่ามันจะเลิศรสเพียงใด"
"เอาไว้มีโอกาสข้าจะทำให้เจี้ยนเกอได้ลิ้มลอง รับรองว่าเลิศรสจนท่านแทบอยากจะเคี้ยวลิ้นของตนเองตามไปด้วยเลยทีเดียว"
"เลิศรสถึงเพียงนั้นเชียวและทีสำคัญ เจ้าสามารถปรุงอาหารเป็นด้วยหรือ"
"ที่ผ่านมาเพราะต้องเรียนรู้การปฏิบัติตัวมากมาย จึงทำให้ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลยเจ้าค่ะ ข้าปรุงอาหารได้ไม่แพ้ร้านอาหารในเหลาอาหารชื่อดังในยุคสมัยใหม่เลยล่ะ"
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากันไปมาอยู่นั้น ก็ได้มีสตรีใบหน้างดงามน่ารักชวนหลงใหลเดินเข้ามายังโต๊ะอาหารที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ในขณะที่สตรีผู้นั้นย่างกรายเข้ามา กระโปรงของนางแทบจะไม่กระดิกเลยด้วยซ้ำ ซึ่งท่วงท่าการเคลื่อนไหวเช่นนั้นทำให้เหมยลี่ถึงกับอดรู้สึกนับถือ ไปกับการรักษากิริยาของสตรีในยุคสมัยนี้อย่างช่วยไม่ได้
"ถวายพระพรชินอ๋องเพคะ ไม่คิดว่าจะได้พบพระองค์ในเหลาอาหารนี้"
"เจ้ามีอันใด"
ใบหน้าของเกาเจี้ยนหานดูจะไม่พอใจนัก ที่สตรีผู้นี้เข้ามาขัดจังหวะในการรับประทานอาหารของเขา ซึ่งการแสดงออกที่ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมนี้ ถึงกับทำให้ใบหน้าของสตรีผู้มาใหม่ถึงกับซีดเผือด นางได้แต่ริมฝีปากสั่น สายตาที่เต็มไปด้วยการตัดพ้อ จ้องมองไปที่บุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างน้อยใจ
"หม่อมฉันเพียงแค่อยากจะมาถวายพระพรชินอ๋องเพียงเท่านั้น หากทำให้พระองค์รู้สึกไม่พอพระทัยหม่อมฉันก็ต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ"
"เสร็จแล้วก็ไปได้"
"พ...เพคะ"
ไป๋เยว่ชิงสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ บุรุษผู้นี้ถึงอย่างไรก็ไม่เคยมองนางในสายพระเนตรเลยสักครั้ง นางได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะมองนางกลับมาเช่นที่นางเฝ้ามองเพียงแต่เขาเรื่อยมาบ้าง
เมื่อได้เห็นว่าสตรีผู้นั้นจากไปแล้ว เหมยลี่ก็ทำท่าทางล้อเลียนเขาเป็นการใหญ่ "มีสตรีที่งดงามเดินเข้ามาทำความรู้จักถึงเพียงนี้ เหตุใดพี่เจี้ยนเกอถึงได้แสดงท่าทีเย็นชาต่อนางนักเล่า"
"เจ้าอยากให้ข้าสนใจนางหรือ"
"นางก็มีรูปโฉมงดงาม มากนี่เจ้าคะ และยังกิริยาท่าทางก็สมกับเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่ถูกอบรมมาอย่างดี สายตาของนางบ่งบอกถึงความพอใจในตัวของท่านอย่างชัดเจน แล้วเหตุใดท่านถึงไม่คิดจะชายตามองนางบ้างเล่า"
"นางธรรมดาเกินไป"
"แต่ข้ารู้สึกว่านางช่างงดงาม หาผู้ใดเทียบเคียงได้เพราะตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ที่นี่ ข้าคิดว่านางนี่แหละ ที่งดงามที่สุดแล้วเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา"
"ยังไม่ที่สุดหรอก สำหรับข้าแล้วยังมีสตรีอีกผู้หนึ่งที่งดงามมาก ถึงแม้ว่านางจะดู กะโหลกกะลาไปบ้าง แต่นางก็สามารถทำให้ข้ารู้สึกสนใจได้"
เหมยลี่ได้ฟังคำกล่าวนั้นแล้วถึงกับยกยิ้มขึ้นมา เหตุใดนางจึงคิดว่าสตรีที่เขากำลังกล่าวถึงอยู่นั้นเป็นนางกันนะ แต่ในขณะที่นางกำลังยิ้มอย่างมีความสุข เกาเจี้ยนหานก็ได้ยกนิ้วขึ้นมาดีดหน้าผากของนางอย่างแรงจนเกิดริ้วรอยแดง
"โอ๊ย ข้าเจ็บนะเจ้าค่ะ ดีดมาได้"
"กำลังคิดเรื่องไร้สาระอันใดอยู่ คิดว่าเป็นตนเองหรืออย่างไร ถึงข้าจะให้ความสนิทสนมเจ้ามากกว่าผู้ใดแต่ ท่าทีที่ไร้ซึ่งกุลสตรีนี้ของเจ้า ยังไม่สามารถครอบครองหัวใจของข้าได้หรอก อย่าได้หลงตนเองไปนักเลย"
"ชิ ก็อย่ามาหลงเสน่ห์ข้าเข้าแล้วกันเจ้าค่ะ"
เหมยลี่ยื่นจมูกออกไปอย่างไม่พอใจ และกลับมาสนใจกับอาหารบนโต๊ะต่อ บุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้ดูจะปากคอเราะร้ายอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่เป็นไร เพราะนางรู้ดีว่าเขาให้ความรู้สึกพิเศษกับนางมากกว่าผู้ใดก็เพียงพอแล้ว
ไป๋เยว่ชิงที่นั่งอยู่โต๊ะด้านข้าง ได้แต่ลอบกำมือแน่นด้วยความอิจฉา ที่ได้เห็นว่า ทั้งสองคนต่างหยอกเย้ากันไปมาอย่างมีความสุข สตรีผู้นั้นคือผู้ใด เหตุใดท่านอ๋อง ถึงได้ให้ความสำคัญและดูสนิทสนมเป็นกันเองกับนางนัก นางจึงหันไปกระซิบกระซาบกับสาวใช้คนสนิทของตนเอง ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด…
และแล้วก็ถึงเวลาพลบค่ำที่ผู้คนเริ่มบางตาลง ช่วงเวลาที่เหมยลี่รอคอยก็มาถึง ซึ่งในตอนนี้เธอได้ถูกจับให้แต่งกายเป็นบุรุษ เพื่อไม่ให้เป็นที่จับตา เมื่อเดินเข้าไปยังหอโคมเขียวแห่งนั้น
ชินอ๋องจัดการให้พวกเขาเข้ามาทางด้านหลังของหออี้หลัน ซึ่งเป็นหอโคมเขียวอันดับหนึ่งของเมืองหลวงสถานที่แห่งนี้ ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่รวบรวมสาวงามมากมายเอาไว้ มิหนำซ้ำ หอโคมเขียวแห่งนี้ ยังไม่ได้มีเพียงนางคณิกาหญิง แต่ยังมีนายคณิกาชาย ที่มีเพียงคนเงินหนาเท่านั้นที่จะสามารถเรียกตัวพวกเขามาปรนนิบัติได้ ซึ่งความลับเหล่านี้จะถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของผู้ที่มาใช้บริการด่างพร้อย
"มีแต่คณิกาหญิงหรือเจ้าคะ เหตุใดถึงไม่มีคณิกาชายบ้าง"
"เจ้าจะสนใจคณิกาชายไปทำไม ต้องการให้พวกนั้นมาปรนนิบัติดูแลหรืออย่างไร" ใบหน้าของเกาเจี้ยนหาน ติดจะไปทางเย็นชาอยู่สักเล็กน้อย หลังจากที่เขาได้ยินว่าเหมยลี่ ถามถึงคณิกาชาย คิ้วกระบี่ของเขากระตุกพร้อมกับมือทั้งสองข้างถูกกำแน่น นี่นางเป็นสตรีเช่นไร?
ในขณะที่พวกเขากำลังจะถูกพาไปยังห้องรับรองแขกพิเศษ ก็ได้มีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง เดินเข้ามาคุกเข่ายังเบื้องหน้าของเกาเจี้ยนหาน คำกล่าวรายงานที่บ่งบอกถึงเรื่องสำคัญที่ต้องไปจัดการโดยด่วน ทำให้เขาต้องละทิ้งนางเอาไว้ และด้วยความกังวล เขาก็ไม่ลืมที่จะกล่าวกำชับนางอย่างเป็นห่วง
"รอข้าอยู่ที่ห้องรับรองนี้ห้ามไปที่ใดเข้าใจหรือไม่ ข้าจะไปเพียงชั่วครู่"
"เจ้าค่ะ" เหมยลี่เองก็ตกปากรับคำไปแทบจะในทันที หากบุรุษผู้นี้ไม่อยู่ นางก็คงจะสามารถทำสิ่งใดก็ได้อย่างที่ต้องการ ในใจหญิงสาวภาวนาให้เขาไปนานๆ เสียด้วยซ้ำ หากว่าเขายังอยู่กับนางตลอดเวลาเช่นนี้ เกรงว่าการเที่ยวหอนางโลมของนางคงจะไร้ซึ่งความหมายอย่างแท้จริง
"ห้ามซุกซนเข้าใจหรือไม่"
ก่อนที่จะก้าวขาออกไปเขาก็ยังไม่วายหันมากำชับนางอีกครั้ง เหมยลี่ได้แต่ยิ้มจนตาหยีพร้อมกับพยักหน้ารับหลายครั้ง เพื่อให้เขาวางใจ
"มาทั้งทีจะให้อยู่แต่ในห้องรับรองที่ไม่ให้เห็นสิ่งรอบข้างเลยได้อย่างไรเล่า" ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะก้าวออกมาจากห้องรับรองที่มีองครักษ์ของเกาเจี้ยนหานคอยอารักขาอยู่ พวกเขาก็ได้รีบหยุดยั้งนางเอาไว้เสียก่อน
"แม่นางจะไปที่ใด"
"ข้าแค่รู้สึกปวดเบาเจ้าจะห้ามข้าให้ออกไปกระนั้นหรือ"
"หาไม่ได้ขอรับ เชิญแม่นาง"
เมื่อเดินออกมายังห้องรับรอง ที่ได้ถูกจัดเตรียมไว้ เหมยลี่ก็ได้พบเข้ากับผู้คนมากมาย ที่กำลังชมการร่ายรำอย่างเย้ายวนของหญิงคณิกา ที่แต่งกายด้วยอาภรณ์น้อยชิ้น ท่าร่ายทำของพวกนางแต่ละคน ล้วนแล้วแต่เย้ายวน บุรุษที่ต่างมีอาการมึนเมาเหล่านั้นต่างโห่ร้อง ด้วยดวงตาเป็นประกายพร้อมที่จะขย้ำเหยื่อ
ในจังหวะที่เหมยลี่กำลังจ้องมองการแสดงเหล่านั้นด้วยความสนใจ ก็ได้มีบุรุษผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาเกือบชนเข้ากับร่างบางของนางจนเกือบเสียหลัก แต่ดีที่ได้องครักษ์ของเกาเจี้ยนหาน สกัดเอาไว้เสียก่อน ทำให้ร่างของบุรุษผู้นั้นเกือบจะล้มคะมำลงกับพื้น แต่ดีที่เขามีวรยุทธ์สามารถพลิกตัวกลางอากาศหนึ่งตลบ และกลับมายืนด้วยเท้าที่มั่นคง แต่ในจังหวะนั้น มือของเขาก็ฟาดเข้ากับพนักพิงเสียงดังจนเกิดเป็นรอยแผล
"คุณชายท่านเจ็บหรือไม่"
บุรุษผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงที่กล่าวถามเขาออกไป ใบหน้าของเขาดูสงบนิ่งคล้ายกับไม่มีความเจ็บปวด และกำลังจะเดินจากไปแต่เหมยลี่ก็ได้หยุดเขาเอาไว้เสียก่อน
"ให้ข้าช่วยอันใดหรือไม่"
บุรุษผู้นั้นไม่ได้ตอบความใด เขาเพียงส่งสายตาเย็นเย็ยบมาให้กับหญิงสาว จนนางเองยังรู้สึกหวาดกลัว แต่ด้วยความที่คิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้เขาต้องได้รับบาดเจ็บ จึงทำเป็นใจดีสู้เสือ
เหมยลี่หยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายที่นางนำติดตัวไว้ตลอดเวลาออกมา มันคือพลาสเตอร์ปิดแผล ชิ้นเล็กๆ ซึ่งเป็นลายการ์ตูนที่นางมักจะพกพาไว้เสมอ เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นสิ่งที่นางนำออกมา ก็ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าเจ้าสิ่งนั้นมันคืออันใด
"ดูเหมือนว่ามือของท่านจะเป็นแผลแล้ว ยื่นมือมานี่เถิด" เหมยลี่กล่าวกับเขาออกไปอย่างอ่อนโยน ในตอนนี้นางได้สวมหมวกปิดบังดวงหน้าเอาไว้ทั้งหมด แต่เมื่อน้ำเสียงที่อ่อนหวานนั้นกล่าวออกมา ก็ทำให้บุรุษตรงหน้ารู้ได้ทันทีว่านางคือสตรี เขาจึงได้แต่ฉงนว่าเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงได้เข้ามาในหอโคมเขียวแห่งนี้ได้ และดูเหมือนว่านางจะยังเป็นเพียงแค่สตรีที่อายุน้อย หาใช่เหล่าฮูหยินที่ถูกสามีเพิกเฉยจนต้องมาหาความสำราญยังที่แห่งนี้ อย่างเช่นสตรีทั่วไป
เหมยลี่แกะพลาสเตอร์ปิดแผลออกมาอย่างบรรจงพร้อมกับติดมันไปที่ฝ่ามือของเขา ด้วยการกระทำที่รวดเร็วของนาง ทำให้บุรุษผู้นั้นไม่ทันที่จะได้ทัดทานได้เขามองพลาสเตอร์ลายการ์ตูนน่ารักนั้นไปมา พร้อมกับใช้มือลูบคลำมันอย่างสนใจ เหตุใดภาพวาดบนเจ้าของแปลดประหลาดนี้ถึงได้สวยงามสีสันสดใสนัก ถึงรูปบนนั้นมันจะดูแปลกประหลาดไปบ้างแต่มันก็สามารถเรียกความสนใจจากบุรุษเย็นชาเช่นเขาได้มากโข
"เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าอันใดหรือ"
"มันคือผ้าทำแผลเจ้าค่ะมันจะช่วยห้ามเลือดให้กับคุณชายได้"
"ลักษณะของมันช่างดูแปลกตายิ่งนัก ข้าไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนเลย"
เหมยลี่ได้แต่ยกยิ้มขึ้นมาโดยมีหมวกผ้าปิดบังใบหน้าของนางไว้ จึงทำให้บุรุษผู้นั้นไม่สามารถเห็นได้ว่าตอนนี้นางกำลังยกยิ้มอย่างดีใจอยู่ ที่บุรุษหน้าตาน่ากลัวเมื่อสักครู่นี้ ได้เปลี่ยนแปลงท่าทีเป็นสนใจ พลาสเตอร์ติดแผลของนาง
"ช่างน่าสนใจจริงๆ "
"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าค่ะ" ในขณะที่เหมยลี่กำลังจะเดินจากไป ก็ได้มีเสียงของบุรุษใบหน้าน่ากลัวผู้นั้นดังขึ้นมาด้านหลังของนางเสียก่อน
"แม่นางโปรดหยุดก่อน เจ้าอยากนั่งเป็นเพื่อนข้า เพื่อชมสุนทรียภาพเบื้องล่างด้วยกันหรือไม่"
เหมยลี่ได้แต่เลิกคิ้วขึ้น อย่างแปลกใจที่เขารู้ว่านางคือสตรี
"ไม่ต้องแปลกใจหรอก เพราะน้ำเสียงของเจ้าบ่งบอกชัดเจนถึงเพียงนั้น หากบุรุษมีน้ำเสียงที่กังวานใส ดั่งกระดิ่งเงินเช่นเจ้า คงไม่น่าฟังเท่าที่ควรกระมัง"
"หากคุณชายไม่รังเกียจข้าก็ยินดีเจ้าค่ะ"
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแม้นแต่องครักษ์ที่เกาเจี้ยนหานส่งมาไว้คอยดูแลนาง ก็ยังไม่สามารถกล่าวทัดทานการกระทำของทั้งคู่ได้ทัน เหมยลี่และบุรุษผู้นั้นเดินมาที่โต๊ะว่างซึ่งอยู่ใกล้พวกเขา โดยไม่ต้องการที่จะเข้าไปในห้องรับรองที่ถูกจัดเตรียมไว้ก่อนหน้า เพราะต้องการที่ดูบรรยากาศโดยรอบด้วยความสนใจนี้เสียก่อน
"ข้ามีนามว่าหยางเพ่ยฉี" เหมยลี่เองก็รู้จักกาลเทศะ ไม่ลืมที่จะแนะนำชื่อแซ่ของตนเองหลังจากที่บุรุษผู้นั้นได้บอกชื่อแซ่ของเขาออกมาแล้ว
"เหมยลี่เจ้าค่ะ"
"แล้วแม่นางมาทำอันใดที่นี่หรือ" ในขณะที่หยางเพ่ยฉีกำลังถามนาง มือของเขาก็ยื่นจอกชาไปให้กับหญิงสาวอย่างมีน้ำใจ
"ข้าเพียงแค่จะมาเปิดหูเปิดตาเพียงเท่านั้น หวังว่าคุณชายจะไม่นำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวแก่ผู้ใด"
"ย่อมไม่เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ข้าและแม่นางถือว่ามีวาสนาต่อกัน ถึงได้มาพานพบ และได้พูดคุยกันเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ถือเสียว่าข้าเป็นสหายผู้หนึ่ง และสหายจะสามารถทำลายชื่อเสียงของสหายตนเองได้เช่นไรเล่า และอีกอย่างข้าก็ไม่ได้เห็นหน้าข้าตาของแม่นางด้วยซ้ำ"
เหมยลี่ได้แต่ยกยิ้มอย่างพอใจ ในขณะที่สนทนากับบุรุษแปลกหน้า พร้อมกับนั่งชมบรรยากาศ และท่วงท่าการร่ายรำของเหล่าหญิงคณิกาอย่างเพลิดเพลิน
"คุณชายมาสถานที่แห่งนี้บ่อยหรือเจ้าคะ"
"ย่อมไม่บ่อย ข้าเพียงแค่อยากจะมาเปิดหูเปิดตาเช่นเดียวกันกับแม่นางเพียงเท่านั้น"
ทั้งสองต่างหัวเราะร่วนด้วยความถูกใจ เมื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขานั้นต่างตรงกันบทสนทนาบนโต๊ะจึงเต็มไปด้วยความสนิทสนม โดยไม่ได้ถือว่าผู้หนึ่งเป็นสตรีและอีกผู้หนึ่งเป็นบุรุษกำลังสนทนากันอยู่ในหอโคมเขียวแต่อย่างใด
ซึ่งภาพบรรยากาศเช่นนี้ของพวกเขา ได้สร้างความ ตะลึงงันให้กับเหล่าองครักษ์ของหยางเพ่ยฉีที่คอยอารักขาอยู่ใกล้กับบริเวณนั้นไปเสียแล้ว ภาพของบุรุษที่มักจะพูดน้อยเข้ากับผู้ใดได้ยากของผู้เป็นนายในตอนนี้ ไม่มีเหลือหรอ เมื่อสตรีแปลกหน้าผู้นี้ สามารถทำให้ เจ้านายของพวกเขา เปลี่ยนแปลงไปราวกับเป็นคนละคน