เขาไม่เชื่อสักนิดว่าเธอผ่านการจูบมาเป็นร้อย เขาอยากสั่งสอนคนอวดดี แขนกำยำรั้งร่างบางเข้าหาตัว ริมฝีปากร้อนผ่าวกดทับลงบนริมฝีปากนุ่มที่จูบเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักที แล้วใช้ลิ้นร้อนผลักดันเข้าไปฉกชิมความหอมหวาน มุกระวีหน้าแดงเถือก ตอนนี้แค่จูบคงไม่พอ เมื่อเขานึกอยากจะเอาเคราสากไล้ไปบนผิวนุ่มๆ และซอกคอขาวนั้น อยากรู้ว่าจะหอมกรุ่นแค่ไหน
มุกระวีเสียงสั่นพร่า “ปล่อยฉัน”
ชีคฟาริสพยายามหยุดยั้งตัวเอง เขามีหน้าที่ต้องไปทำ แต่ถ้าห้ามใจตัวเองไม่อยู่ คงเปลี่ยนจากการตามล่าหาคนร้ายกลายเป็นเรื่องไล่ล่าบนเตียงแทน
“ไง คราวนี้เลิกอวดดีได้หรือยัง เพราะจูบของคุณมันไม่เรียกว่าจูบเลยนะมุกระวี คุณไม่เคยจูบมาก่อนมากกว่า”
เมื่อถูกดูถูกแบบนี้คนที่เพิ่งได้หายใจเต็มปอดก็รีบโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ ลืมความโมโหที่เขาจับหน้าอกไปก่อนหน้านี้จนหมด เพราะตอนนี้กลัวเขาปล้นจูบอีกครั้งมากกว่า
“ยอมรับก็ได้ว่าไม่เคยจูบ จะไปจูบกับใครได้ยังไง ฉันรอจูบกับแฟนฉันคนเดียว แต่คุณนั่นแหละที่ปล้นจูบฉัน บังคับให้ฉันต้องทำแบบนี้” เธอยอมรับ และหาข้ออ้าง แต่มานึกอีกทีก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายเขาเลย มุกระวีกำมือแน่นที่เกือบเสียทีเขา
“มีแฟนแล้ว แต่ไม่เคยจูบกัน ประหลาดนี่คุณคิดว่าผมเป็นอะไร เด็กทารกเหรอ” ชีคฟาริสนึกขำที่มุกระวีสร้างเรื่องขึ้นมา กลัวถูกจับปล้ำกลางทะเลทรายหรือไง
“เอาล่ะ ในเมื่อฉันจูบท่านชีคแล้ว ทีนี้ก็บอกให้คนขับรถพาฉันกลับไปที่คฤหาสน์ได้แล้ว”
ฟาริสอมยิ้ม กำลังจะบอกว่าจูบนั้นมันห่วยมากจนเขาไม่สามารถยอมรับได้ จูบแบบนี้เขายังไม่ยอมให้ผ่านหรอก ชีคฟาริสลอบยิ้มหยัน ทว่าเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาทำสัญญาณมือให้มุกระวีหยุดพูด
“ท่านอาโทร.มามีอะไรหรือครับ” ฟาริสกรอกเสียงถามลงไปแล้วก็หยุดพูดเพื่อรอฟังอีกฝ่าย “ท่านอาไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะระวังตัวอย่างดี เท่านี้ก่อนนะครับ”
พอเห็นว่าชีคหนุ่มวางสายแล้ว มุกระวีก็รีบพูดขึ้นทันที
“ท่านชีคอย่าลืมสัญญาของเรานะคะ ให้คนไปส่งฉันกลับคฤหาสน์ได้หรือยัง ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
แล้วคุณจะไปตายที่ไหนก็เรื่องของคุณ นั่นคือสิ่งที่มุกระวีคิดในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกไป
ฟาริสแสร้งถอนหายใจยาวทำสีหน้าเคร่งเครียด “มุกระวี ผมให้คุณกลับไปที่คฤหาสน์ไม่ได้แล้ว เมื่อครู่ท่านอาของผมโทร.มาบอกว่ามีกลุ่มผู้ไม่หวังดีคิดจะลอบทำร้ายผมมันดักรออยู่ที่บ้าน ถ้าผมส่งคุณกลับไปที่คฤหาสน์ก็เท่ากับส่งคุณไปตาย เพราะที่นั่นเป็นเป้าหมายหลักของพวกมัน ผมว่าทางที่ดีคุณควรอยู่กับผมในเวลานี้ก่อน”
มุกระวีเบิกตาโต
‘ไอ้ชีคบ้า’
‘ไอ้คนเจ้าเล่ห์’
‘หลอกจูบชัดๆ’
มุกระวีชักสีหน้าไม่พอใจใส่ “ไม่จริง ทำไมต้องมีคนคิดปองร้ายคุณตอนนี้ ตอนที่ฉันจะกลับคฤหาสน์พอดีด้วยล่ะ คุณโกหกฉันใช่ไหม”
เขาไหวไหล่ “ทำไมผมต้องโกหกคุณด้วย เรื่องนี้สำคัญมากผมพูดจริง เสียใจด้วยนะ ผมเห็นคุณเป็นอะไรไปในประเทศของผมไม่ได้หรอก ทำใจอยู่ด้วยกันไปจนกว่าจะปลอดภัยละกัน”
“ให้ตายเถอะ” มุกระวีอุทานเสียงหลง “ฉันอยากกลับบ้าน”
ชีคฟาริสเห็นสาวสวยตรงหน้ามีสีหน้าเหมือนอยากจะกระโดดตึกตายก็พูดเสียงขรึมติดขำ “จงคิดว่าประเทศมีดิสเป็นบ้านของคุณเถอะ”
มุกระวีส่ายหน้าหวือ “ฉันจะบอกอะไรให้ไหมคะท่านชีค ฉันเกลียดคุณ”
“เกลียดที่ผมพูดความจริงงั้นเหรอ ก็เมื่อกี้ท่านอาของผมโทร.มาบอกด้วยตัวเอง คุณก็เห็น ถ้าหากว่าผมส่งคุณกลับไปแล้วคุณเป็นอะไรขึ้นมา ผมเองก็คงรู้สึกผิดมากเหมือนกัน เหตุการณ์ความวุ่นวายมันเกิดขึ้นได้สักประมาณเดือนหนึ่งมาแล้ว แต่มันเพิ่งรุนแรงตอนที่คุณมาเที่ยว คุณก็ต้องเข้าใจบ้างสิ”
มุกระวีอยากจะเอาหัวเขกกับกระจกรถ เธอไม่น่าได้ทัวร์ราคาถูกในเวลาแบบนี้เลย และไม่น่ามาเจอผู้นำประเทศชีกอแบบนี้ด้วย
“ตกลงว่าฉันกลับไปที่คฤหาสน์ของท่านชีคไม่ได้แล้ว และต้องรอนแรมเดินทางไปตามหาโจรกับสร้อยเพชรพร้อมกับคุณอีก” เธอถามออกไป ทั้งที่พอรู้คำตอบในใจแล้ว “ซวยชะมัด”
ฟาริสพยักหน้า พร้อมกับยืนยันคำตอบ “ก็ฉลาดนี่ เข้าใจถูกต้องแล้ว คุณต้องไปกับผม ผมมีกำลังคนที่จะดูแลคุณได้ ไม่ต้องกลัว ผมรับรองว่าจะไม่ให้คุณนอนตายเป็นศพแห้งกลางทะเลทรายแน่”
ไม่รู้ว่ามุกระวีควรจะดีใจหรือไม่ แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกแล้ว จะถอยหลังก็ไม่ได้ มีแต่ต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น ยิ่งมองออกไปนอกกระจกรถก็ยิ่งรู้ว่าชะตาชีวิตต่อจากนี้แขวนอยู่ในมือพระเจ้า เพราะเส้นทางข้างหน้าคือเส้นทางที่เข้าสู่เขตทะเลทรายแล้ว พระอาทิตย์ลอยสูง แสงแดดสาดแสงแรงกล้าส่องกระทบกับพื้นทราย มองไปทางไหนก็มีแต่เนินทรายสุดลูกหูลูกตา
“คิดว่าเป็นการทัวร์ทะเลทรายระดับวีไอพีโดยมีผมเป็นไกด์ก็แล้วกัน”
มุกระวีเผลอกัดฟันแน่นอย่างขุ่นใจ
‘เคยถามฉันไหม ว่าอยากไปทัวร์ทะเลทรายกับคุณหรือเปล่า’
ขบวนรถของฟาริสขับฝ่าเปลวแดดที่ร้อนระอุไปจนถึงเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว แต่แสงแดดก็ยังแผดแสงแรงกล้าไม่ต่างจากเวลาบ่ายโมงที่เธอเริ่มเดินทาง
มุกระวีทุบไปตามเนื้อตามตัวอย่างเมื่อยล้า เธอนั่งรถมาเกือบหกชั่วโมงแล้ว มองไปทางไหนก็เห็นแต่ท้องฟ้ากับทะเลทราย
“เมื่อไรจะถึงสักทีคะ อีกไกลไหม” มุกระวีหันไปถาม เธอเมื่อยขาไปหมดแล้ว แถมยังอยากเข้าห้องน้ำอีกด้วย
“อีกไม่ไกลเท่าไร”
“อีกไม่ไกลของท่านชีค ฉันฟังมาสามรอบแล้วนะคะ แต่ก็ยังไม่ถึงสักที” มุกระวีหันไปเบะปากใส่ เธอถามเขากี่ครั้งเขาก็บอกว่าอีกไม่ไกล
“อยู่ใกล้ผมมันน่าเบื่อมากนักเหรอ ท่าทางคุณดูอึดอัด”
“แล้วถ้าตอบว่าใช่ล่ะคะ”
“อึดอัด” เขาลดศีรษะลงมาแล้วมองบางสิ่ง “ปลดตะขอออกได้ผมไม่ถือ เข้าใจ เลือดจะได้ไหลเวียน”