7

1296 Words
“ผมไม่มีเวลามาเล่นไร้สาระ ถ้าอยากได้คืนก็ไปขึ้นรถ ทำตามที่ผมบอก แล้วคุณจะได้กินข้าว แล้วก็ได้กลับเมืองไทย” มุกระวีกัดริมฝีปากแน่น เธอไม่มีทางต่อกรกับเขาได้เลยสินะ “จริงๆ นะ” ฟาริสไม่ตอบแต่ใช้การพยักหน้าเรียบๆ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาตอบรับเธอ ซึ่งเธอจะตีความไปยังไงก็สุดแล้วแต่ มุกระวีเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แม้นั่นจะริบหรี่แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีหวังเสียเลย ถ้าได้พาสปอร์ตคืนมา เธอจะรีบเดินทางกลับประเทศไทยทันที เพราะละครเรื่องใหม่ก็ใกล้จะเปิดกล้องแล้ว เธอมีงานรออีกมาก การมาพักผ่อนทำไมกลายเป็นเรื่องเหนื่อยหนักกว่าเดิมก็ไม่รู้ แต่ถ้าเธอขัดใจเขามากๆ เธออาจจะได้กลับเมืองไทยช้ากว่าเดิม คนมีแผนการในหัวเดินไปขึ้นรถพร้อมกับนับหนึ่งถึงร้อยในใจไปด้วย ยอมถอยเพื่อรุกถึงจะเรียกว่าฉลาด ฟาริสส่งนมแพะกับขนมปังไปให้คนที่นั่งท้องร้องดังจ๊อกๆ จนเขาอดสงสารไม่ได้ “เอ้า กินซะ” มุกระวีเบะปากให้เขาเพราะมันน้อย แค่นี้จะกินอิ่มไหม เห็นเธอรูปร่างแบบนี้แต่กินจุใช้ได้ คิดแบบนั้นแต่ก็รับมากินแต่โดยดี ทั้งนมและขนมปังรสชาติดีมาก หรือเป็นเพราะหิวมากก็ไม่รู้ เธอจัดการหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว และไม่มีการรักษาภาพลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น โดยไม่สนใจว่าชีคฟาริสจะแอบมองอยู่ “เชื่อแล้วว่าหิวมาก” “มีอีกไหม” เธอถาม ฟาริสส่ายหน้า เขาไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ จึงไม่ได้เตรียมเสบียงไว้ล่วงหน้า “งานเสร็จแล้วผมจะเลี้ยงคุณด้วยอาหารมื้อพิเศษ” “เซ็ง” มุกระวีบ่นแล้วถามต่อ “ท่านชีคคะ เราจะไปที่ไหนกัน” ฟาริสหันมามอง เห็นคนตัวเล็กกินอิ่มแล้วอารมณ์ดีก็นึกขำในใจ “ทะเลทรายนูรีน พวกโจรมันไปกบดานกันอยู่ที่นั่น ผมได้ข้อมูลมาเมื่อคืนนี้” “ทะเลทรายนูรีน” มุกระวีทวนคำ “ฉันเคยได้ยินชื่อทะเลทรายนูรีน มันเป็นทะเลทรายที่มีเวลากลางวันมากกว่ากลางคืน มันจะร้อนระอุมาก แต่โอเอซิสที่นั่นก็สวยมากเหมือนกัน” “ใช่ ทะเลทรายนูรีนคือทะเลทรายแห่งแสงสว่าง มันสวยงามแต่ก็ร้อนระอุมากจริงๆ มันถึงไม่ค่อยมีคนไปที่นั่น เพราะปีหนึ่งจะมีคนตายจากความร้อนกลางทะเลทรายหลายสิบคน ถ้าไม่ใช่คนที่ชำนาญเส้นทางจริงๆ จะไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป เพราะนั่นเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง ผมจึงยังไม่อนุญาตให้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว” “งั้นฉันเปลี่ยนใจได้ไหม ไม่ไปแล้วค่ะ” ร่างเล็กถอยหลังกรูดติดขอบประตูรถ “ไม่ได้” เขาตอบเสียงแข็งแล้วจ้องดวงหน้าหวาน “คุณต้องไปกับผม” มุกระวีเบิกตาโตกับคำบอกเล่าแสนง่ายดายนั้น “นี่คุณรู้ว่ามันอันตราย ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง คุณก็ยังจะพาฉันไปเนี่ยนะ ทำไมใจร้ายแบบนี้” มุกระวีโวยวาย จินตนาการแล้วคร่ำครวญไม่หยุด “ฉันยังไม่อยากตายกลางทะเลทราย มันคงน่าอนาถ ผิวแห้งดำ เหี่ยวจนไหม้ ศพก็คงไม่สวย ท่านชีคคะ ได้โปรดพาฉันกลับเถอะนะคะ นะ พาฉันกลับเถอะ” มุกระวีส่งสายตาอ้อนวอน กระเถิบเข้าไปเกาะแขนแกร่งแน่นอย่างลืมตัว ฟาริสหรี่ตาคมดุลงมอง มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมุมปาก “กลับก็ได้ แต่จูบผมก่อนสิ แล้วให้ผมกินจนอิ่ม ผมถึงจะยอมเสียเวลาพาคุณกลับไปที่คฤหาสน์ไม่ต้องรอนแรมเดินทางไปด้วยกัน” “บ้า ชีคชีกอ” “เอาไงคิดดีๆ มุกระวี” คนหล่อถามพร้อมดวงตาพราวระยับ มุกระวีมองรอบๆ ตอนนี้อยู่ในเขตเมือง ยังไม่เข้าเขตทะเลทราย ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง เธอกัดริมฝีปาก คำนวณผลได้ผลเสีย แค่จูบเขาครั้งเดียวแล้วเธอก็จะนอนอยู่ในคฤหาสน์อย่างมีความสุข แต่ถ้าไม่จูบเธอก็ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับเขาด้วย ‘จะว่าไปท่าทางชีกอแต่ก็หล่อดี’ ‘ไม่นะ คิดอะไร’ “ถ้าฉันจูบ ท่านชีคต้องสัญญากับฉันก่อนว่าจะส่งฉันกลับคฤหาสน์จริงๆ ไม่หลอกลวง” ‘จะหลับหูหลับตาจูบ คิดซะว่ากำลังจูบกับดาราซุป’ตาร์สักคน’ ฟาริสพยักหน้า เขาไม่ได้รับปากอีกเช่นกัน แต่คนที่เข้าใจไปเองว่าถ้าจูบแล้วจะได้กลับคฤหาสน์ก็กำลังรวบรวมความกล้าอยู่ มุกระวีใจสั่น คงไม่มีใครเชื่อว่าเธอไม่เคยจูบกับผู้ชายคนไหนมาก่อนหน้าที่จะเจอเขา จูบที่ตั้งใจเก็บเอาไว้ใช้กับณเดชน์ แหม...แต่เสียดายที่เขามีสาวในดวงใจไปแล้ว เอาล่ะ จะได้ไม่ต้องถูกลากไปด้วย มุกระวีโผเข้าไปจูบฟาริสอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ตัวเองลังเล การถูกจู่โจมอย่างรวดเร็วไม่ใช่สิ่งที่ฟาริสแปลกใจ เพราะท่าทางเงอะงะ ลังเล ไม่รู้วิธีการจูบของมุกระวีทำให้ชีคหนุ่มรอตั้งรับอยู่นานแล้ว พอริมฝีปากอิ่มประกบเข้ามา เขาก็ใช้มือประคองใบหน้าหวานให้อยู่กับที่แล้วเป็นฝ่ายจูบรุกไล่เอง “อ๊ะ ปล่อยนะ” มุกระวีร้องออกมา เพราะไม่คิดว่าเขาจะประคองหน้าเธอไว้ มือบางทุบไปบนอกแกร่งระรัว ฟาริสเหยียดยิ้ม “ที่คุณทำเขาเรียกว่าไล่งับปาก แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่าจูบ” เขาสอนโดยใช้ฟันซี่คมๆ ขบเม้ม ไล้เลีย ชิมความหวานละมุนที่ริมฝีปากก่อนจะแหย่ปลายลิ้นเข้าไปเพื่อเสาะแสวงหาความหวานที่เคยตักตวงมาหลายครั้งแล้วยังติดใจไม่หาย มุกระวีเบิกตาโต เธอคิดว่าการจูบจะเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่กลายเป็นว่าเธอถูกตรึงให้จูบกับเขาอย่างดูดดื่ม ลิ้นร้ายพัวพัน นัวเนีย พยายามไล่เกี่ยวกระหวัดจนเธอแทบลืมหายใจ “อื้อ” มุกระวีพยายามผละออก เพราะรู้สึกว่าปอดขาดอากาศหายใจ มือไม้ของเขาก็เลื่อนขึ้นมาเกาะกุมทรวงอกเธออย่างเอาแต่ใจ “อย่านะ” พอเขาปล่อยเป็นอิสระ มุกระวีถึงกับรีบหอบเอาออกซิเจนเข้าปอดหอบใหญ่ ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะฤทธิ์จูบร้อนระอุนั่น มือเรียวทำท่าจะตบ แต่ถูกตวาดด้วยเสียงเกรี้ยวกราด “ถ้าตบผม ผมจะจูบคุณคืน” ไอ้การขู่ตบจูบมันไม่ได้มีแค่ในละคร เธอเคยเห็นฉากเข้าพระเข้านางแบบนี้บ่อยในกองถ่าย กว่าผู้กำกับจะบิวต์ให้นักแสดงจูบกันได้ แม้จะใช้มุมกล้องช่วย แต่พระนางก็ยังเขินกัน ผู้กำกับต้องให้เวลาทำใจ แต่ชีวิตจริงไม่มีเวลาให้ทำใจรู้ตัวอีกทีก็ถูกเขาพรากจูบแรกไปแล้ว “ไม่ตบก็ได้ เพราะฉันไม่อยากถูกคุณจูบ” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยขึ้น “กลัวติดใจใช่ไหมล่ะ ถามจริงๆ นี่จูบแรกในชีวิตคุณหรือเปล่า” มุกระวีอ้าปากจะพูดว่าใช่ แต่เปลี่ยนใจ ดวงตาปรือฉ่ำหวานจ้องเขา “ครั้งที่ร้อยแล้วต่างหาก” ฟาริสกระตุกยิ้ม “จริงเหรอ ถ้างั้นผมแถมครั้งที่ร้อยหนึ่งให้ก็แล้วกัน แสดงว่าผู้ชายก่อนหน้านี้นับร้อยคนคงจูบได้ห่วยมาก งั้นผมสอนให้คุณเองดีกว่า ผ่านผมไปรับรองคุณจูบเก่งแน่”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD