พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก

2153 Words
ลูก้า โรมาโน นั่งอยู่บนรถที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ พลางสอดส่ายสายตามองหาอะไรบางอย่างด้านนอก ก่อนจะร้องสั่งคนขับรถ "ช้าลงหน่อย" แม้จะกังขาเพราะปกติจะได้ยินแต่ผู้เป็นเจ้านายพูดว่า 'ขับให้มันเร็วๆ กว่านี้หน่อย ขับแบบนี้ลงเดินเองไม่เร็วกว่าเหรอ' แต่คนขับรถด้านหน้าก็ลดความเร็วลงแต่โดยดี เพราะสังเกตจากช่องว่างระหว่างคิ้วที่มีขนาดแคบลงจนแทบจะชนกัน บ่งบอกว่ากำลังอารมณ์บ่จอยขั้นสุด "หายไปไหนวะ" มาเฟียหนุ่มบ่นพึมพำ สายตายังมองออกไปข้างนอกตลอดเวลา "ใครหายเหรอครับนาย" เลขาฯ คนสนิทเก็บความสงสัยไม่ไหวเพราะเห็นความผิดปกติของเจ้านายตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้ว "ผู้หญิงที่ใส่เสื้อฮู้ดสีชมพู นายช่วยมองหาฝั่งนู้นที" ได้ยินคำตอบของเจ้านาย โยเซฟก็รีบหันออกไปมองด้านนอกโดยไม่นึกเอะใจอะไร แต่แล้วก็หันกลับเข้ามาอย่างเร็ว "เมื่อกี้เจ้านายว่ายังไงนะครับ ผู้หญิงใส่เสื้อฮู้ดสีชมพูเหรอ?" "ใช่! อย่าเพิ่งถาม หาให้เจอก่อน" ทางด้านเมลินที่เดินหนีมาก็พยายามมองหาสถานีตำรวจ ขณะนั้นเองมีใครไม่รู้วิ่งสวนมาชนเธอเข้าเต็มๆ อีก แต่ไม่มีคำขอโทษสักคำ พออีกฝ่ายลุกขึ้นได้ก็วิ่งต่อทันที "ทำไมวันนี้ถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนจังนะ" หญิงสาวบ่นพลางลุกขึ้นปัดกางเกง ทันใดนั้นก็มีกลุ่มผู้ชายร่างใหญ่สามคนวิ่งมา ท่าทางเหมือนจะตามคนที่เพิ่งชนเธอไป ทั้งสามคนชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อยแต่ก็วิ่งผ่านไปในที่สุด "เฮ้อ! เกือบไปแล้ว ฝรั่งนี่มีแต่ตัวสูงใหญ่เหมือนยักษ์อย่างที่ยายว่าจริงๆ" เมลินอดใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่ได้ ก่อนจะกลั้นใจเดินกะเผลกๆ ต่อไปเพื่อหาสถานีตำรวจให้เจอ แต่แล้วก็มีแสงไฟจากหน้ารถสาดมาจากทางด้านหลัง มือบางที่มีเลือดไหลซิบออกมารีบดึงหมวกขึ้นมาคลุมศีรษะทันที พอรถแล่นเข้ามาใกล้เธอก็อดหันไปมองไม่ได้ พลันก็สะดุดเข้าตาเข้ากับคนที่นั่งอยู่บนรถ ดวงตาคมกริบกำลังมองมาและจ้องมองเธอราวกับจะให้ละลายไปต่อหน้าต่อตา ส่วนประกอบบนใบหน้าที่บ่งบอกว่าเป็นชาวเอเชีย อายุอานามน่าจะไม่เกินสิบแปดปี กับเสื้อฮูดสีชมพูที่เห็นเพียงแวบเดียวลูก้าก็จำได้ทันที หัวใจของเมลินเต้นตึกตัก พยายามเร่งสองขาให้ก้าวเร็วขึ้น แต่รถก็หยุดแล้วคนที่อยู่บนนั้นก็ลงมาขวางหน้าเธอไว้ "ท่าทางคุณบาดเจ็บ มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า" เจ้าของร่างสูงใหญ่เอ่ยถามเสียงทุ้มนุ่ม ทำเอาบอดี้การ์ดด้านหลังมองหน้ากันเลิ่กลั่ก "ฉันไม่ได้เป็นอะไร ขอบคุณ" แม้จะตอบแบบสุภาพแต่น้ำเสียงไม่ได้แสดงความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย มาเฟียหนุ่มเลิกคิ้ว กระตุกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความพอใจ เมลินเห็นรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจนักก็รีบเดินหนีออกมา แต่แล้วก็ชะงักเมื่อชายตัวใหญ่สามคนที่วิ่งผ่านเธอไปตอนแรกวกกลับมา แต่พอเห็นลูก้ากับบอดี้การ์ดอีกห้าคนก็ถอยกลับไปท่าทางมีลับลมคมใน "ดูเหมือนคุณจะเดินสะดุดเท้าใครเข้าให้แล้วนะ ทางที่ดีให้ผมช่วยดีกว่า" หญิงสาวลังเลเพราะสามคนนั้นทำท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่สวนกับเธอไปครั้งแรกแล้ว อยู่ๆ ก็วกกลับมา แต่เธอไม่ได้รู้จักกับคนพวกนั้นนี่นา แล้วจะไปมีปัญหากับใครที่ไหนได้ "ไม่เป็นไรจริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้รู้จักกับคนพวกนั้น ไม่ได้มีปัญหากับใครด้วย" พูดจบร่างบางก็เดินหนีออกมา ลูก้าไม่ยอมแพ้เดินตามไปห่างๆ จนกระทั่งเธอเจ็บแผลจนเดินต่อไม่ไหว ค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ร่างสูงรีบวิ่งเข้าไปดูพยายามจะไม่ทำให้เธอตกใจกลัว "ท่าทางคุณจะเจ็บหนักอยู่นะ ให้ผมช่วยเถอะ" เมลินเงยหน้าขึ้นสบดวงตาคมอีกครั้ง แววตาลุ่มลึกเปล่งประกายแปลกๆ ทำให้เธอหวั่นไหวและหวามไหวในเวลาเดียวกัน ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นเครือขึ้นมา "ถ้าคุณอยากช่วย ก็ช่วยพาฉันไปส่งสถานีตำรวจที" "สถานีตำรวจ? ทำไมคุณถึงจะไปที่นั่น" เขาถามจบ น้ำตาเม็ดโตก็ร่วงเผาะจากดวงตากลมโต ทำเอามาเฟียหนุ่มถึงกับทำอะไรไม่ถูก "ได้ๆๆ ผมจะพาคุณไป เซฟ!" รับปากหญิงสาวแล้วเขาก็หันไปตะโกนเรียกเลขาฯ คนสนิท แล้วค่อยๆ พยุงร่างบางขึ้นรถท่ามกลางสายตาของบอดี้การ์ดที่งงเป็นไก่ตาแตก "ไปสถานีตำรวจ!" เสียงเข้มสั่งคนขับรถ โยเซฟจึงเอี้ยวตัวกลับไปถาม "ทำไมต้องเป็นที่นั่นครับ" ลูก้ามองหน้าเลขาฯ คนสนิทครู่หนึ่งก็หันไปหาคนที่นั่งตัวลีบติดกับประตูที่น้ำตาหยุดไหลแล้ว "คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าจะไปสถานีตำรวจทำไม" เมลินเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงแผ่ว "ฉันถูกโจรกระชากกระเป๋า" น้ำตารื้นขึ้นมาอีก "ของสำคัญอยู่ในนั้นหมดเลย" "โจรกระชากกระเป๋า? ใช่ไอ้พวกเมื่อกี้หรือเปล่า" เธอส่ายหน้า เสียงทุ้มจึงรีบถามต่ออีกว่า "แล้วจำหน้ามันได้ไหม" "ไม่ ไม่ทันได้มองด้วยซ้ำ" "แล้วคุณมาทำอะไรแถวนี้มืดๆ ค่ำๆ คนเดียว" ปลายเดือนพฤศจิกายนอุณหภูมิเริ่มลดต่ำลง ทำให้ผู้คนเข้าบ้านแต่หัวค่ำ ไม่มีเสียงตอบกลับมานอกจากเสียงสะอื้น คล้ายกับว่าคำถามของเขาจี้ใจดำเธอเข้าอย่างจัง เมลินกัดริมฝีปากพยายามจะหยุดร้องไห้ แต่กัดปากตัวเองจนเจ็บไปหมดก็หยุดน้ำตาไม่ได้ "เอาล่ะๆ ผมไม่ถามแล้ว" เขายอมแพ้ ล้วงผ้าเช็ดในกระเป๋าเสื้อโค้ตออกมาแล้วยื่นให้เธอ มือบางยื่นมารับแต่แทนที่จะเช็ดน้ำตา เธอกลับสั่งน้ำมูกใส่ผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ปักลวดลายเป็นดอกแคสเปียสีม่วง พลางขอบคุณเสียงอู้อี้ ไม่นานนักรถของลูก้าก็มาถึงหน้าสถานีตำรวจ โดยมีรถของบอดี้การ์ดขับตามหลังมาอีกหนึ่งคัน โยเซฟลงจากรถแล้วเปิดประตูให้เจ้านาย ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อเปิดให้แขกกิตติมศักดิ์อย่างเมลิน หญิงสาวก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ ก่อนจะวิ่งกะเผลกๆ ตามร่างสูงที่กำลังเดินตรงเข้าไปในสถานีตำรวจ "เดี๋ยวคุณ!" พอได้ยินเสียงเรียกร่างสูงก็หยุดกะทันหัน คนที่วิ่งตามหยุดเท้าไม่ทันทำให้ชนเขาอย่างจัง ร่างบางถึงกับเซแต่โชคดีที่เขายื่นมือมาโอบเอวเธอไว้ได้ทัน "โอ๊ะ!" เมลินอุทานด้วยความตกใจเมื่อตัวของเธอเบียดเสียดกับแผงอกกำยำ "ปล่อยฉัน" ตั้งสติได้หญิงสาวก็ดิ้นขลุกขลัก แต่เจ้าของท่อนแขนกลับไม่ยี่หระ กอดเอวเล็กไว้เช่นนั้นพลางกวาดสายตามองใบหน้าคนในอ้อมแขนที่พวงแก้มแดงจัดเพราะอากาศเย็นชัดๆ เป็นครั้งแรก แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกระแอมเบาๆ ของเลขาฯ เขาถอนหายใจก่อนจะยอมปล่อยแขนที่กอดเอวเล็กไว้ "เมื่อกี้คุณเรียกผม มีอะไรหรือเปล่า" "ฉันแค่จะบอกว่าขอบคุณที่พาฉันมาส่ง หลังจากนี้ฉันจะจัดการเอง คงไม่ต้องรบกวนคุณแล้ว" ตบท้ายด้วยพนมมือไหว้ตามความเคยชิน ก่อนจะนึกได้ว่าคนที่นี่คงไม่รู้จักธรรมเนียมการไหว้ แต่ผิดคาดเมื่อเขาถามขึ้นมาว่า "คุณมาจากประเทศไทยเหรอ" คิ้วเรียวยกขึ้น "ใช่ คุณรู้ได้ยังไง" สีหน้าเริ่มมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ "ผมเคยไปประเทศไทย แต่หลายปีแล้วล่ะ เห็นคนที่นั่นทำแบบที่คุณทำเมื่อกี้" "อ้อ...นั่นแหละ ขอบคุณอีกครั้ง หมดธุระของคุณแล้วเชิญกลับไปเถอะ" "นี่คุ้ณ...ใจคอจะไล่กันท่าเดียวเลย แค่คำขอบคุณมันไม่พอหรอกนะ" เสียงของมาเฟียหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างออดๆ เมลินมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจว่าต้องการอะไรกันแน่ ทีแรกเธอปฏิเสธไปแล้วแต่ก็ยังตามตื๊อจะช่วยให้ได้ แต่มาตอนนี้กลับบอกว่าแค่คำขอบคุณไม่พอ "แล้วคุณจะเอายังไง ฉันไม่มีค่าตอบแทนให้หรอกนะเพราะอย่างที่บอกว่าโดนโจรกระชากไปหมดแล้ว" "ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาค่าตอบแทนเป็นเงินซะหน่อย เอาไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ตอนนี้เข้าไปข้างในก่อนดีกว่า ยืนตรงนี้นานๆ คุณจะกลายเป็นน้ำแข็งได้นะ" ลูก้าสรุปรวบรัดตัดตอน แต่ทำเอาคนฟังขมวดคิ้วมุ่น ยังจะมีทีหน้าทีหลังอีกเหรอ ไม่ได้ๆ ต้องคุยให้รู้เรื่องตอนนี้... แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อร่างสูงกำยำก้าวอาดๆ เข้าไปข้างในแล้ว เธอจึงต้องวิ่งตามเข้าไปอย่างทุลักทุเล แล้วเมลินก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรสักคำ มีแต่ลูก้าที่สั่ง ย้ำว่าสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดดูกล้องทุกตัวภายในเมือง ส่วนเธอได้แต่นั่งรออยู่เงียบๆ กับโยเซฟ ใบหน้านิ่งๆ ขรึมๆ ทำให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ขนาดหายใจก็ยังต้องหายใจให้เบาที่สุด กลัวว่าเขาจะได้ยินเข้า "เจอตัวแล้ว!" น้ำเสียงแห่งความดีใจและตื่นเต้นดังขึ้น โยเซฟรีบลุกไปดูก่อนจะกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับผู้เป็นเจ้านาย ครู่หนึ่งก็ออกไปจากสถานีตำรวจพร้อมบอดี้การ์ดอีกสองคน "คุณรออย่างใจเย็นเถอะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงคนของผมจะกลับมา แล้วคุณก็จะได้ของคืน เอาเป็นว่าระหว่างนี้เรามาทำความรู้จักกันไปพลางๆ ดีไหม" เธอไม่ได้อยากจะคุยกับเขาสักนิดจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น "คุณมาเรียนที่นี่เหรอ" แต่เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกอย่างพยายามจะผูกมิตร คนถูกถามเลยต้องตอบอย่างเสียมิได้ "เปล่า" "เปล่า? ไม่ได้มาเรียนงั้นก็มาทำงาน แต่หน้าตาคุณยังดูเด็กอยู่เลย มาทำงานอะไรที่ไหนเหรอ" "ไม่ใช่อีกนั่นแหละ แล้วฉันก็ไม่จำเป็นต้องบอกคุณเพราะเราไม่รู้จักกัน เสร็จธุระตรงนี้แล้วเราก็ไม่ได้เจอกันอีก เพราะฉะนั้นเลิกถามสักที" "แต่ผมอยากรู้จักคุณ อย่างน้อยให้ผมรู้จักชื่อคุณก็ยังดี" มาเฟียหนุ่มเอ่ยหน้าซื่อ สลัดคราบโหดๆ ดุๆ ที่คนต่างก้มหัวให้ด้วยความเกรงกลัว "ผมชื่อลูก้า หรือจะเรียก 'ลุค' สั้นๆ ก็ได้" ใครจะไปกล้าเรียก รู้จักมักจี่กันก็หรือเปล่าก็ไม่... หญิงสาวถอนหายใจแล้วตอบกลับไปเสียงขุ่นมัว "ฉันชื่อเมลิน" "เมลิน..." เสียงทุ้มพึมพำเบาๆ "ชื่อน่ารักดี ผมชอบ" เขาว่าอย่างกรุ้มกริ่ม "ไหนๆ ก็ยอมบอกชื่อแล้ว ช่วยบอกอีกสักนิดเถอะว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ เผื่อผมจะช่วยอะไรได้" เมลินเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาที่เธอเพิ่งเห็นชัดเจนว่าเป็นสีฟ้าน้ำทะเล ก่อนจะเสมองไปทางอื่นเมื่อเห็นประกายวิบวับในดวงตาคู่นั้น "ฉันมาตามหาแม่" น้ำเสียงนั้นอ่อนลง "แม่ฉันตามสามีมาอยู่ที่นี่ได้สามปี แต่ขาดการติดต่อได้สองปีแล้ว เบาะแสสุดท้ายพวกเขาอยู่ในเมืองนี้ ฉันไปตามหาทุกที่แล้วแต่ก็ไม่พบ" พูดถึงแล้วน้ำตาลก็พานจะไหลขึ้นมาอีก เธอจึงเงยหน้าขึ้นกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตากลับเข้าไป "ผมรู้จักคนไทยทุกคนที่อยู่ที่นี่ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือผมก็ยินดี...ทุกเมื่อ" น้ำเสียงนั้นจริงใจและจริงจัง จนเมลินเกิดความหวังขึ้นมา แต่คิดจะหวังพึ่งคนที่เพิ่งรู้จักกันก็กระไรอยู่ "ฉันไม่..." "อย่าเพิ่งปฏิเสธ คิดดูดีๆ ก่อน คุณนั่งรออยู่ตรงนี้นะ ผมขอออกไปสูบบุหรี่หน่อย" จบประโยคแกมสั่ง ร่างสูงก็ลุกออกไป สูบบุหรี่หมดไปสองตัว เลขาฯ คนสนิทก็กลับมาถึง "ว่าไง ได้เรื่องไหม" "ครับนาย นี่ของของเธอ" มือใหญ่รับกระเป๋ามาแล้วถือวิสาสะเปิดออกดู ก่อนจะหยิบของบางอย่างออกมาแล้วซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ต
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD