ร่างบางยืนมองกระเป๋าเดินทางด้วยแววตาอาลัย ก่อนจะหันกลับมาหาหญิงชราที่ใบหน้าเหี่ยวย่นและเส้นผมกลายเป็นสีดอกเลาตามกาลเวลา
"เดินทางปลอดภัยนะเจ้าเม ตามหาแม่เอ็งให้เจอ บอกว่ายายอยากเห็นหน้าสักครั้งก่อนตาย ถ้าไม่อยากกลับมาโทรศัพท์มาแทนก็ยังดี" น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยพลางลูบศีรษะหลานสาวที่ก้มลงกราบแนบอก
"หนูจะตามหาแม่ให้เจอจ้ะยาย ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ อยู่ทางนี้ยายก็ดูแลตัวเองให้ดีๆ รอวันที่หนูจะพาแม่กลับมานะจ๊ะ" หญิงสาวเงยหน้าขึ้นฝืนยิ้มเต็มกำลัง ทั้งที่ในใจไม่อยากจะไปเลยสักนิด แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กทำให้ขัดไม่ได้
"ถึงที่โน่นแล้วก็อย่าลืมโทร.มาบอกเจ้าภูมันล่ะ"
"ไม่ลืมหรอกจ้ะยาย ฝากแกดูแลยายด้วยนะภู ขากลับจะซื้อขนมมาฝาก" รับคำแล้วหญิงสาวก็หันไปหา 'ภูชิต' เพื่อนสนิทที่วิ่งเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนเรียนจบมหาวิทยาลัย ที่สำคัญบ้านยังอยู่ข้างกันอีกด้วย
"ไม่ต้องห่วง ยายแก้วก็เหมือนยายฉัน รับรองจะดูแลอย่างดี ดีกว่าหลานแท้ๆ อย่างแกโน่นแหละ ว่าแต่รีบไปรีบกลับล่ะ ไม่ใช่หายไปเลยเหมือนน้ากานต์นะ" แต่พอพูดออกไปแล้วชายหนุ่มก็อยากตีปากตัวเอง
'เมลิน' เห็นสีหน้าของผู้เป็นยายสลดลงก็ยื่นมือไปตีต้นแขนภูชิตดังเพี้ยะ "ปากไม่มีหูรูดนะแก"
"โทษทีๆ" ชายหนุ่มรีบขอโทษ
"เอาล่ะๆ เข้าไปได้แล้วลูก" ยายแก้วโบกไม้โบกมือไล่หลานสาวให้เข้าด้านในได้แล้ว
"จ้ะยาย หนูไปแป๊บเดียวเจอแม่แล้วก็จะกลับ ยายอย่าลืมกินยาตามที่หมอสั่งด้วยนะ ไอ้ภูอย่าลืมดูแลยายฉันให้ดีนะ" เธอไม่ลืมกำชับทั้งยายและเพื่อนอีกหนแล้วเดินเข้าสู่ห้องผู้โดยสารขาออก แต่ไม่วายหันกลับมามองผู้มาส่งเป็นระยะจนลับสายตา
เมลินนั่งเครื่องบินมาลงกรุงโรม แทนที่จะลงที่เมืองฟลอเรนซ์ซึ่งเป็นเบาะแสเดียวที่มีว่ามารดาของเธอน่าจะอยู่ที่นั่น แต่เพื่อความแน่ใจเธอจึงเลือกจะเข้าไปติดต่อกับทางสถานทูตเผื่อจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม แล้วค่อยเดินทางไปเมืองฟลอเรนซ์ก็ได้
'กานต์รพี' มารดาของเมลิน แต่งงานกับสามีชาวอิตาลี เธอเคยพาสามีไปอยู่บ้านที่ราชบุรีนานกว่าสามปี ทำให้เมลินพอจะพูดภาษาอิตาเลียนได้ การเดินทางครั้งนี้เธอจึงไม่หนักใจเรื่องการสื่อสารนัก
แต่สิ่งที่น่าหนักใจสำหรับเมลินคือหลังจากแม่และสามีใหม่เดินทางกลับอิตาลี ช่วงปีแรกก็ติดต่อกันปกติ มารดายังส่งเงินให้ประจำ แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายและติดต่อไม่ได้อีกเลย มีเพียงจดหมายและของฝากเป็นขนมส่งมาให้เมื่อสองปีก่อน ซึ่งที่อยู่บนหน้ากล่องพัสดุนั้นคือเบาะแสหนึ่งเดียวที่มี บวกกับคำบอกเล่าของเพื่อนบ้านที่ได้สามีเป็นชาวอิตาลีเหมือนกัน บอกว่าเห็นกานต์รพีกับสามีเปิดร้านอาหารอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์
ยายแก้วมีลูกสาวคนเดียวคือกานต์รพี หลังจากลูกสาวขาดการติดต่อไปก็ล้มป่วย หกเดือนก่อนที่หลานสาวอย่างเมลินจะเรียนจบ ยายแก้วก็พูดขึ้นในค่ำวันหนึ่ง
"เจ้าเมเอ๊ย ยายมีเรื่องจะไหว้วานเอ็ง"
"เรื่องอะไรบอกมาได้เลยจ้ะยาย เพื่อยายแล้วหนูทำได้ทุกอย่างจ้ะ"
"ช่วยไปตามแม่เอ็งกลับมาที ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง ยายอยากเห็นหน้าแม่เอ็งสักครั้งก่อนตาย"
"โธ่...ทำไมพูดแบบนี้ล่ะจ๊ะยาย ยายน่ะยังแข็งแรงอยู่กับหนูไปอีกนาน อีกอย่างเดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้วล่ะ"
"ยายไม่รู้จะอยู่ถึงวันที่แม่เอ็งกลับมาหรือเปล่า นี่เป็นเงินที่ยายเก็บออมมาทั้งชีวิต เอามันไปใช้ตามหาแม่เอ็งให้ยายที ส่วนของในถุงนี้เป็นของเอ็งนำมันติดตัวไปด้วย ยายเคยให้ผู้ใหญ่หว่างเอาไปดูราคาให้ ราคาสูงลิบลิ่วทีเดียวเชียว เอาติดตัวไปเผื่อขัดสนขึ้นมากะทันหัน"
เมลินไม่ยอมรับเงินปึกใหญ่จากผู้เป็นยาย เพราะไม่อยากจากบ้านไปไหน ถ้าเธอไม่อยู่แล้วใครจะดูแลยาย "หนูไม่ไป! หนูจะอยู่กับยาย"
"เอ็งไม่อยากให้ข้าตายตาหลับรือ"
"ยาย!"
ถึงจะขัดใจแต่สุดท้ายหญิงสาวก็มาถึงจุดหมายปลายทางเรียบร้อยแล้ว
หลังจากเช็กอินและเก็บกระเป๋าเดินทางไว้ในโรงแรมทำที่จองมาแล้ว เมลินก็ตามแผนที่ไปยังสถานทูตทันที
แต่ทว่าเจ้าตัวก็ต้องเดินคอตกกลับออกมา หลังจากเข้าไปสอบถามข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ภายในสถานทูตแล้ว กลับไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ เลย มีเพียงข้อมูลที่เคยมาทำเอกสารเมื่อสองปีที่แล้ว ซึ่งที่อยู่ก็ตรงกับข้อมูลหญิงสาวมี
แต่ถึงอย่างไรทางเจ้าหน้าที่ก็รับปากว่าจะให้ความช่วยเหลือ และได้ขอหมายเลขติดต่อกลับหากพบข้อมูลเพิ่มเติม
"เอาวะ! คืนนี้นอนพักเอาแรงก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปฟลอเรนซ์แต่เช้า หวังว่าหนูจะได้เจอแม่นะ"
อพาร์ตเมนต์ห้าชั้นที่ทาสีส้มอิฐเก่าคร่ำครึ จนพื้นผิวที่ทากะเทาะหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ มีทางเข้าเป็นตรอกแคบๆ ที่ปูด้วยอิฐสีแดงอยู่ตรงหน้าเมลิน
หญิงสาวแหงนมองเพื่อความแน่ใจว่ามาถูกที่แล้ว ก่อนจะกระชับกระเป๋าแล้วผลักประตูที่เก่าจนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเข้าไป มองซ้ายมองขวาก่อนจะเห็นบันไดอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ จึงรีบเดินขึ้นบันไดด้วยหัวใจลิงโลดที่จะได้เจอมารดาแล้ว
แต่ทว่าอีกห้านาทีต่อมา เมลินก็รู้สึกเหมือนภูเขาถล่มลงมาต่อหน้า เมื่อแทนที่จะได้เจอคนที่เธอเฝ้าคิดถึงมาตลอดสองปี แต่กลับเป็นใครก็ไม่รู้ ซ้ำคำบอกเล่าของเจ้าของห้องคนใหม่ก็ทำเอาหญิงสาวแทบจะหมดเรี่ยวแรง
"เจ้าของห้องคนเดิมย้ายออกไปได้สองปีแล้ว แล้วพวกเราก็มาเช่าต่อ ถ้าคุณไม่เชื่อจะเข้ามาดูไหม ว่าคนที่ตามหาไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ" เจ้าของห้องใจดีเปิดทางให้เมลินเข้าไปสำรวจดูข้างใน แต่เธอรีบโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะพยายามอ้าปากที่สั่นถามออกไป
"เจ้าของห้องคนเก่าเป็นสามีภรรยากันใช่ไหมคะ"
"ใช่ๆๆ ผู้หญิงน่าจะเป็นคนเอเชียนะ ตาสีดำ ผมสีดำเหมือนคุณเลย"
หญิงสาวพอยิ้มได้เล็กน้อย อย่างน้อยข้อมูลก็ไม่ผิด "ถ้าอย่างนั้นฉันรบกวนถามอะไรอีกสักอย่างได้ไหมคะ"
"ได้ๆๆ ถ้าเรารู้ก็ยินดีจะให้คำตอบ"
"หลังจากที่พวกคุณมาอยู่ที่นี่ได้เจอพวกเขาอีกไหมคะ ได้ยินว่าพวกเขาเปิดร้านอาหารอยู่ในเมืองนี้"
"อืม...ไม่แน่ใจนะ ผมขอถามภรรยาดูก่อนแล้วกัน เผื่อเธอจะรู้" หลังจากนั้นเจ้าของห้องก็เดินกลับเข้าไปคุยกับภรรยาเป็นภาษาอะไรสักอย่างที่เธอเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง ครู่หนึ่งทั้งคู่ก็เดินออกมา
"ร้านอาหารเหรอ? ตอนมาที่นี่แรกๆ ฉันคิดว่าฉันเห็นร้านอาหารที่มีคนเอเชียนะ แต่เปิดได้ไม่นานก็ปิดไป ลองไปถามร้านอื่นๆ ที่อยู่แถวนั้นก็ได้"
สองสามีภรรยาเขียนแผนที่และบอกทางคร่าวๆ แก่เมลิน เธอเอ่ยขอบคุณทั้งคู่แล้วรีบไปตามทางบนแผนที่นั่นทันที
ผ่านไปจนค่ำ เมลินยืนคว้างอยู่ที่ใดสักที่ในเมืองฟลอเรนซ์ หลังจากตามหามารดาไปทั่วทุกที่ที่มีคนให้เบาะแสมา บางคนบอกเคยเห็นที่นั่นที่นี่ เธอก็ตามไปอย่างมีความหวังว่าจะได้เจอมารดา
ความหวังเลือนรางลงทุกขณะ หญิงสาวไปจนจะทั่วเมืองแต่ไม่พบอะไรเลย จึงทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งใกล้ๆ สะพานข้ามแม่น้ำ
นั่งพักเหนื่อยได้ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่ามืดแล้ว จะกลับโรมเวลานี้ก็เห็นจะไม่ได้เพราะพรุ่งนี้ยังต้องตามหาเบาะแสของมารดาต่อ
มือบางล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาดูเพื่อหาที่พักใกล้ๆ แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดคิด เมื่อกระเป๋าและโทรศัพท์ในมือถูกใครมาจากไหนไม่รู้ฉกชิงไปอย่างรวดเร็ว
"ว้าย!" เธออุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะตั้งสติได้ "ขโมย! ช่วยด้วย!"
มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร เมลินจึงตัดสินใจวิ่งตาม สวมวิญญาณนักกรีฑาเหรียญทองสมัยเรียนป.ห้า เพราะเอกสารและของสำคัญทุกอย่างอยู่ในนั้น
"ช่วยด้วย! โจรขโมยกระเป๋า!" เธอวิ่งตามขโมยที่วิ่งนำหน้าอยู่ไม่ไกล ปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือไปด้วย แต่กลับเหมือนไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอเลย
"ช่วยด้วย! โอ๊ย!!" แต่แล้วขาของเธอก็สะดุดจนล้มลงนอนกับพื้น พอเงยหน้าขึ้นโจรกระชากกระเป๋าก็อันตรธานไปเสียแล้ว
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตากลมโตราวเขื่อนพัง ทำไมวันนี้อะไรๆ ถึงไม่เป็นใจให้เธอสักอย่าง และพอกวาดตาที่มีม่านน้ำตาบดบังไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนไม่รู้ สองข้างทางเงียบกริบ บ้านเรือนต่างปิดไฟเงียบ ราวกับว่าทั้งเมืองตอนนี้มีเธอแค่คนเดียว
ร่างบางพยายามลุกขึ้นยืนทั้งที่เจ็บแสบระบมไปทั้งแขนขา เลกกิ้งที่ว่าหนาๆ ก็ยังขาดตรงหัวเข่ากระแทกพื้นจนมีเลือดไหลซิบออกมา
เมลินเดินกะเผลกๆ ไปนั่งที่ม้านั่งข้างเสาไฟ แล้วก้มหน้าร้องไห้หนักกว่าเดิม
"ยายจ๋า แม่จ๋า ฮือๆๆ"
จนผ่านไปพักใหญ่เธอถึงหยุดร้องไห้ และคิดว่าต้องไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ
แต่พอเงยหน้าขึ้นก็รู้สึกเหมือนมีสายตาของใครบางคนมองอยู่จึงหันไปดู แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อเห็นชายร่างสูงกำยำ ในมือมีบุหรี่กำลังจ้องมองมา
เกิดความกลัวว่าจะเป็นโจรอีก แม้ตอนนี้ทั้งตัวเธอไม่มีอะไรให้ปล้นแล้ว แล้วเธอก็ได้โอกาสเมื่อผู้ชายคนนั้นหลับตาลง รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีมาทันที