คาริสาเดินลงมาพร้อมเจ้านาย เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าหากนับแสนเบื่อที่จะรอจนกลับไปก่อน เขาจะเข้าใจว่าเธอไม่อยากเจอหน้าเขา หรือคิดจะหลบหน้าเขาหรือเปล่า
“อ้าว สวัสดีครับพี่แสน ไม่คิดว่าจะเจอพี่วันนี้นะครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรที่พี่แสนอยากจะเปลี่ยนแปลงกะทันหันหรือเปล่าครับ ถึงได้มาด้วยตัวเอง แต่ผมเกรงว่าจะไม่สะดวกเพราะได้เวลาเลิกงานพอดีเลย เอาเป็นว่าถ้าพี่แสนไม่รีบ เราไปหาที่นั่งคุยกันก็ได้นะครับ... ผมเพิ่งวางสายจากเจ้าหมื่นเมื่อห้านาทีที่แล้วนี่เอง เดี๋ยวโทรไปตามให้มันรีบขับรถมาสมทบกับเราก็น่าจะทัน”
ธนาดลร่ายยาวอย่างเป็นการเป็นงาน ที่จริงเขารู้ตั้งแต่เมื่อชั่วโมงที่แล้วว่าพี่ชายเพื่อนมานั่งรอคาริสาที่นี่สักพักแล้ว เขาถึงเรียกหญิงสาวเข้าไปคุยเป็นนานสองนาน กะว่าคนใจร้อนอย่างนับแสน ที่ไอ้เพื่อนรักเขาบ่นให้ฟังบ่อยๆ คงไม่ทนรอเป็นแน่... ที่ไหนได้ เขาคิดผิดไปถนัด !
“ไม่ละ วันนี้พี่แค่มารับครีมเค้า” นับแสนไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่ธนาดลพูดสักเท่าไร... นิ่งเท่านั้นที่จะสยบความเคลื่อนไหวได้ “ครีมครับ เราไปกันเถอะ ผมหิวข้าวจะแย่แล้ว”
ธนาดลหน้าม้าน ส่วนคาริสาโล่งอก นึกว่าเขาจะโกรธเธอซะแล้ว
“งั้นครีมกลับก่อนนะคะคุณธนา” คาริสายกมือไหว้เจ้านายแล้วเดินเลี่ยงไปหานับแสน แต่ยังไม่ทันถึงไหนก็ถูกแฟนหนุ่มคว้ามือเข้าไปกุมแล้วจับจูงเธอทั้งที่เขายังไม่ได้ร่ำลาธนาดลสักคำ
กระทั่งขึ้นรถมาได้ แม้เขาจะเป็นคนเปิดให้ก็ตามแต่คาริสาก็ดูออกว่ามันค่อนข้างกระแทกกระทั้น ทั้งที่คิดว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดแต่คาริสาก็นั่งนิ่งเกร็งไปตลอดทาง เมื่อนับแสนไม่พูด เธอก็ไม่กล้าปริปาก แม้แต่เขาจะพาไปไหนเธอยังไม่กล้าถามเลย...
พอมาถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ตอนนี้ทั้งคนทั้งรถพลุกพล่านไปหมดเพราะได้เวลาเลิกงานของเหล่าคนเมืองแล้วนั่นแหละ นับแสนถึงได้ยอมเอ่ยปาก
“จะลงมั้ย !”
ดู... ดูเถอะ เขาเธอถามแบบดุๆ ส่วนเธอก็ดันตอบเขาไปแบบกลัวๆ ซะนี่
“ละ... ลงค่ะ” คาริสาเห็นนับแสนเดินนำไปแทบไม่รอ เธอเองก็รีบลงมาจากรถปิดประตูได้ก็เดินตามเขาไปที่ประตูเข้าห้างแทบจะทันที แต่ขาเธอรึจะไปยาวเท่าคนตัวโตอย่างนับแสน
‘หายไปไหนแล้วนะ’
คาริสาลองเดินไปรอบๆ ชั้นนี้ทั้งชั้นก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่เข้ามาก่อน ใครเคยเจอสถานการณ์แบบนี้คงเข้าใจดี เขาพาเธอมาแท้ๆ แต่กลับมาทิ้งกันได้ลงคอ ถึงเธอจะลงมาสายตั้งเกือบชั่วโมง แต่มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัยทั้งนั้น ทีเขามารอเองไม่บอกเธอก่อนสักคำ เธอยังไม่เห็นจะเคืองเขาเลย
หลังมือน้อยๆ ถูกยกขึ้นมาป้ายน้ำตาแบบเร็วๆ ด้วยความน้อยใจ ที่นี่ไกลจากบ้านเธอมากซะด้วย จะนั่งรถเมล์ก็ไม่รู้มีสายไหนผ่านบ้านเธอบ้าง แถมช่วงเวลาเร่งรีบแบบนี้ขึ้นไปคงได้ยืนเบียดกับคนอื่นไปอีกนานแน่ มีหวังเธอคงได้เป็นลมอีกตามเคย จะต่อรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินที่นี่ก็ไม่มีสถานีใกล้ๆ อีก จะให้นั่งแท็กซี่เธอก็กลัว เห็นช่วงนี้ยิ่งออกข่าวกันถี่ยิบเรื่องผู้โดยสารผู้หญิงถูกแท็กซี่หื่นหลอกไปข่มขืน คุณป้าก็สั่งนักสั่งหนาว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าขึ้นแท็กซี่คนเดียว ถ้าสุดวิสัยจริงๆ ก็ให้โทรกลับบ้าน ท่านจะมารับเอง... แต่นี่ท่านก็ยังไม่กลับจากสัมมนาต่างจังหวัดเลย
ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล...
“อยู่นี่เอง” นับแสนพึมพำเหมือนโล่งอก แต่พอหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ โซนน้ำพุของห้างแล้ว ก็ไม่เห็นคนที่เขาเดินหาซะทั่วหลังออกมาจากร้านดอกไม้หันหน้ามามองเขาสักนิด
“ปะ เข้าไปในร้านนั้นกัน ผมจองชั้นสองเอาไว้ทั้งชั้น” เขาชี้เข้าไปในร้านเยื้องซ้ายมือ พร้อมกับลุกขึ้นก่อนแล้วจับมือคาริสาเหมือนตอนที่พาออกมาจากที่ทำงาน
หญิงสาวเดินตามแรงฉุดรั้งไป พอไปถึงชั้นสองของร้านอาหารญี่ปุ่นมีชื่อ คาริสาก็เอาแต่ก้มหน้า เธอไม่ได้ขัดขืนเพราะมัวแต่กลั้นน้ำตา จะพูดก็พูดไม่ออก เพราะในลำคอยังติดก้อนสะอื้นอยู่ก้อนใหญ่
ใช่ว่านับแสนจะมองไม่เห็น... เขาแค่ยังหยุดหัวเราะอยู่ในใจไม่ได้ต่างหาก เจอกันสองวันยายนี่งอแงใส่เขาทุกวัน
‘ที่จริงดูไปดูมา ยายปีศาจนี่ก็น่าเอ็นดูดี’
นายใหญ่แห่งเหนือฟ้าสะบัดศีรษะเบาๆ เมื่อเผลอคิดอะไรแปลกๆ ออกมา !
“อะนี่ ผมให้”
คาริสาเงยหน้าขึ้นมามองช่อดอกกุหลาบขนาดมหึมา ที่ถูกหยิบยื่นมาวางให้บนตัก
“หายไปซื้อไอ้นี่มาเหรอคะ” ปลายเสียงหวานยังติดสะอื้นเล็กน้อย
“อื้อ” เขาตอบอย่างสบายๆ พร้อมเอนหลังพิงเก้าอี้ แถมยังยกแขนหนึ่งข้างเกยไว้อีกต่างหาก “ตอนบ่ายซื้อมาแล้วช่อนึง แต่โมโหเลยโยนลงถังขยะไปแล้ว”
“คุณแสนโมโหครีมเหรอคะ” คาริสารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองมีแต่คำถาม
คนโมโหมองใบหน้าอ่อนเยาว์ใสกระจ่าง สิวฝ้าสักเม็ดก็ไม่มีให้เห็นอย่างเคลิ้มๆ ยิ่งเจ้าหล่อนมีน้ำตาประปรายเพราะปาดออกไม่หมด บวกกับคิ้วที่ยู่ย่นชนกันน้อยๆ ริมฝีปากล่างก็ถูกเม้มอย่างรอคอยคำตอบ... มันช่าง
‘น่ารัก’
เป็นอีกครั้งที่นับแสนต้องสะบัดหัวไล่ความคิดตัวเองออกไป
“ผมไม่ได้โมโหครีม แค่ไม่ชอบไอ้ธนา” เขาพูดไปด้วยยื่นมือไปป้ายปาดน้ำตาให้คนขี้แยด้วย “แล้วร้องไห้ทำไมครับ”
“ปะ... เปล่าค่ะ” เธอเสหลบตาวูบ
มือหนาถือโอกาสประคองใบหน้าเล็กให้หันมาสบตา
“บอกผมมา... ”
ระหว่างที่คาริสากำลังกระอักกระอ่วนไม่รู้ว่าจะบอกเขายังไง ก็เหมือนมีระฆังมาช่วยชีวิตไว้พอดี
“สั่งอาหารเลยมั้ยคะ” พนักงานสวมชุดนักเรียนและทับด้วยผ้า กันเปื้อนร้องถามพร้อมยื่นเมนูของร้านให้สองชุด
“วางไว้ก่อนครับ เดี๋ยวผมเคลียร์กับแฟนเสร็จแล้วจะเรียก”
พนักงานเด็กนักเรียนพาร์ตไทม์ยิ้มน้อยๆ แล้วขอตัวออกไป ที่ยิ้มไม่ใช่เพราะเพิ่งเคยเห็นคู่รักที่พากันมากินที่ร้าน แต่เพราะคู่นี้ พี่ผู้หญิงก็สวยหยาดเยิ้ม พี่ผู้ชายก็ล้อหล่อ แม้จะหน้าดุไปสักหน่อยก็เหอะแต่ก็ง้อแฟนได้น่ารักน่าชังดีจัง
“สั่งเลยก็ได้ค่ะ ครีมไม่ได้เป็นอะไร นั่งรอครีมตั้งหลายชั่วโมงคุณแสนคงจะหิวแย่”
นับแสนถอดถอนใจ เขาก็ไม่รู้ว่าแกล้งถอนหายใจเล่นๆ ให้หญิงสาวเห็นว่าเขาใส่ใจเธอจริงๆ หรือเพราะว่าเขาอยากจะขยี้หัวคาริสาแรงๆ ตามต่อด้วยเขกกะโหลกสักหนึ่งโป๊กให้หายมันเขี้ยว
“ต่อให้หิวจนกินช้างได้ทั้งฝูง แต่แฟนมานั่งร้องไห้กระซิกๆ แบบนี้ ใครจะไปกินลงครับ”
“คุณแสนไม่ต้องย้ำคำว่าแฟนบ่อยๆ ก็ได้ค่ะ ครีม... ไม่ค่อยชิน” เธอว่ามันน่าอายจะตายไป เจอกันสองวันได้ยินเขาบอกคนโน้นคนนี้ว่าเราทั้งคู่เป็นแฟนกันห้าหนได้แล้วมั้ง
“อ้าว ทำไมล่ะครับ หรือครีมไม่อยากเป็นแฟนกับผมแล้ว” เขาเห็นคาริสาส่ายหน้าน้อยๆ เลยพูดต่อ “งั้นมีอะไรต้องพูดกัน ไม่พอใจผมเรื่องอะไรต้องบอก ผมจะได้รู้ว่าแบบไหนที่ครีมชอบหรือไม่ชอบ เอาเรื่องร้องไห้นี่ก่อนเลย”
“ก็ครีมนึกว่าคุณแสนทิ้งครีมไปแล้วเพราะโมโห...”
“ก็บอกแล้วว่าผมโมโหไอ้ธนามัน ไม่เกี่ยวกับครีมเลย” ยิ่งตอบ นับแสนยิ่งทึ่งตัวเอง เขาทำเหมือนไม่พอใจธนาดลจริงๆ ซะสมบทบาทเกินเหตุที่เจ้านั่นมาทำท่าหวงก้างหญิงสาวให้เห็น
“แล้วคุณแสนไปทะเลาะอะไรกับคุณธนาเค้าล่ะคะ” หญิงสาวถามพาซื่อ