เฮือก!
ไป๋เหม่ยหงลุกพรวดขึ้นมาจากที่นอนขณะที่ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ ลมหายใจหอบหนักบ่งบอกว่าเธอกำลังอยู่ในอาการที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก ดวงตาแดงก่ำยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา มันบวมเป่งจนแทบปิดอยู่รอมร่อ
“พี่คะ” เสียงสะอื้นข้างหูทำให้เธอรู้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง หลังจากสติกลับมาครบถ้วนจึงได้คำตอบ
ภาพความสุขเหล่านั้นเป็นเพียงความฝัน
“เสี่ยวจู…” วงแขนเล็กรวบร่างของน้องสาวเข้ามาไว้ในวงแขน เสียงร่ำไห้ของเด็กหญิงสองคนดังก้องไปทั่วห้องนอนอีกครั้ง
วันนี้เป็นวันที่พวกเธอได้มีโอกาสปลดปล่อยความรู้สึกอันมากล้นออกมาหลังจากความวุ่นวายในการดูแลพิธีศพของบิดามารดาที่จากไปด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ งานวันเกิดคืนนั้นไม่มีโอกาสเกิดขึ้น…ช่วงเวลาแห่งความสุขมันจางหายไปแล้ว
สองพี่น้องได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล ฝนที่ตกหนักทำให้รถพ่อและแม่ของพวกเธอเสียหลักพลิกคว่ำรุนแรง ทั้งสองเสียชีวิตคาที่ไม่อาจยื้อไว้ได้ พวกเธอไม่มีญาติที่ไหนทำให้เคว้งคว้างในชั่วพริบตา โชคดีที่เรื่องจัดการพิธีศพมีทนายความของบิดาเข้ามาดูแลให้รวมไปถึงเรื่องเงินประกันด้วย
“พี่คะ ฮึก เราจะทำยังไงกันต่อไปดี” เสียงสะอื้นร้องถามขณะที่ร่างเล็กยังกอดผู้เป็นพี่สาวไว้แน่น
“…พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ความสุขที่มีมาตลอดหายวับไปกับตา ทุกอย่างมันเร็วมากทำเอาเหม่ยหงตั้งตัวไม่ทัน
เธอเพิ่งอายุสิบห้าใกล้จบมัธยมต้น ยังเหลือการต่อมัธยมปลายอีกสามปี ซึ่งดูจากเงินประกันที่ได้มาอาจไม่พอเช่าบ้านหลังนี้จนถึงตอนนั้น เด็กสาวไม่ได้มีความรู้เรื่องการบริหารคาเฟ่ที่ผู้เป็นพ่อแม่ริเริ่ม ที่นี่พวกท่านทำเองทุกอย่างไม่มีลูกจ้างไว้ใช้งาน
“เสี่ยวจู ถ้าเราต้องไปอยู่ที่อื่น...จะเสียใจไหม” สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำของพ่อกับแม่ ถ้าทำได้เธอก็ไม่อยากเสียมันไปเช่นกัน
เด็กน้อยก้มหน้างุดซบอกของพี่สาว เธออายุสิบขวบแล้วนับว่าเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าอยู่บ้าง ความเคร่งเครียดของเรื่องราวทั้งหมดทำให้เหม่ยจูรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่น
“ถ้ามันจำเป็น เสี่ยวจูอยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีพี่” คำตอบที่ได้รับเรียกน้ำตาจากคนฟังได้เป็นอย่างดี ตอกย้ำว่าพวกเราเหลือกันแค่สองคนพี่น้อง
“พี่ก็เหมือนกัน” ดวงตาคู่สวยหลับลงอีกครั้ง หากภาพนั้นคือความฝันเธอก็อยากจะจมดิ่งไปกับมันก่อนต้องเผชิญหน้ากับความจริง
การย้ายบ้านเป็นไปได้อย่างราบรื่นเมื่อเด็กสาวขอให้ทนายช่วยเรื่องการดูสัญญาเช่าห้องที่เหมาะกับการเดินทางไปโรงเรียน รวมถึงค่าใช้จ่ายรายปีที่ไม่แพงเกินไป ส่วนบ้านหลังเดิมต้องทำเรื่องยกเลิกสัญญาเช่า ค่าใช้จ่ายยังคงอยู่ในงบที่สามารถใช้ได้ซึ่งเหม่ยจูจดรายละเอียดทั้งหมดไว้
ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ถูกแบ่งออกจากเงินประกันชีวิตที่ได้รับมาโดยมีส่วนของค่าที่พักเป็นเวลาห้าปี ค่าเทอมของสองพี่น้องจวบจนจบมหาวิทยาลัย ค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียน เท่านั้นก็แทบจะทำให้เงินไม่เหลือแล้ว การที่ต้องกันไว้สำหรับที่พักในระยะเวลาห้าปีก็เพื่อให้พวกเราสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องที่ซุกหัวนอน ต่อให้ไม่มีเงินกินข้าวแต่การไม่มีที่อยู่อาศัยมันลำบากกว่ามาก
“ที่นี่เล็กกว่าบ้านเดิมของเรา อดทนหน่อยนะ” ร่างเล็กทั้งสองกวาดตามองที่อยู่ใหม่ มันเป็นคอนโดที่อยู่ไม่ไกลจากป้ายรถประจำทาง มีขนาดไม่ใหญ่มาก
เปิดประตูเข้ามาจะเป็นที่วางรองเท้า จากนั้นก็เป็นส่วนรับแขกหรือที่นั่งเล่น มีสองห้องนอน มีครัวเล็ก ๆ อยู่ตรงมุมด้านหลัง เปิดประตูไปจะเจอระเบียงพื้นที่พอสำหรับตากผ้า ถ้านำไปเทียบกับบ้านหลังเดิมย่อมต้องบอกว่าที่นี่เล็กกว่ามากทีเดียว
“ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะคะ ใกล้โรงเรียนกว่าที่เดิมด้วย” คนตัวเล็กพยายามพูดให้พี่สาวสบายใจ
“ถ้าอย่างนั้นเราไปเก็บของกันเถอะ” พวกเธอขนของที่จำเป็นมาทั้งหมด ส่วนของอื่นที่ไม่ใช้ก็นำไปขายเพื่อรวบรวมเงินเพิ่ม แต่ของบิดามารดาทั้งสองคุยกันแล้วว่าเลือกแค่ชิ้นที่สำคัญเอาไว้
การจับเก็บของใช้เวลายาวนานสามชั่วโมงทำเอาเด็กน้อยหิวมาก เธอเดินออกมาตามกลิ่นหอมพบว่ามีเงาวูบไหวอยู่ตรงห้องครัว
“พี่คะ ทำอาหารเหรอ” คนถามเดินตรงไปที่อ่านล้างจาน การล้างมือก่อนกินข้าวถือเป็นเรื่องที่ควรทำ
“ใช่ วันนี้พี่ทำอะไรง่าย ๆ” กลิ่นไข่เจียวหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ
“พี่ใส่หมูกับผักด้วยเหรอคะ” มองไข่เจียวสีเหลืองอ่อนที่มีสีเขียวและอย่างอื่นปะปนอยู่ด้วยทำให้รู้ว่าพี่สาวใส่อย่างอื่นลงไปขณะคนไข่ให้เข้ากัน
“ใช่ มันเรียกว่าไข่เจียวทรงเครื่องน่ะ” เป็นอาหารที่เรียบง่าย สารอาหารครบ รวมไปถึงรสชาติดี
“น่ากินจังเลย” คงเพราะเด็กสาวทอดตอนน้ำมันร้อนทำให้ไข่เจียวนั้นทั้งฟูทั้งเหลืองกรอบดูน่ารับประทาน
“ตักข้าวใส่จานให้พี่หน่อยได้ไหม” ใบหน้าสวยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์อันน่าเศร้า
“ค่ะ!” เจ้าตัวเล็กรับคำแข็งขัน รีบเดินไปหยิบจานมาตักข้าวในหม้อ
ทันทีที่ตักเสร็จเหม่ยจูก็นำมาวางไว้ใกล้กับจุดที่พี่สาวยืนอยู่เพื่ออำนวยความสะดวกไม่ให้อีกฝ่ายต้องเดินเยอะ กลิ่นไข่เจียวหมูสับใส่ต้นหอมชวนน้ำลายสอมาก ใช้เวลาไม่นานข้าวโปะไข่ก็เสร็จ
“อร่อยมาก” ไม่รู้เพราะหิวรึเปล่าใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นถึงได้ดูตื่นตาตื่นใจกับแค่ข้าวไข่เจียว
“อร่อยก็ดีแล้ว” เหม่ยหงหัวเราะออกมาพลางตักข้าวเข้าปาก เธอลิ้มรสมันช้า ๆ พลางหวนนึกถึงอาหารฝีมือบิดามารดา ทั้งสองทำได้ทั้งของคาวและของหวาน พวกเธอสองคนพี่น้องจึงกลับมากินข้าวที่บ้านเสมอ
“รสชาติเหมือนที่แม่ทำเลย…” ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่นเมื่อรู้ว่าหลุดพูดเรื่องอะไรออกไป
“ก็พี่เรียนรู้งานในครัวมาตั้งแต่ขึ้นมัธยมต้นนี่นา นอกจากนี้ยังทำของหวานได้ด้วยนะ” สีหน้าคนพูดยิ้มแย้มเหมือนยามปกติ แต่คู่สนทนาก็รับรู้ได้ว่านั่นเป็นการพยายามเพื่อไม่ให้เธอลำบากใจ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ทำข้าวกล่องให้เสี่ยวจูทุกวันเลยได้ไหม” เสียงเล็กเบี่ยงเบนความสนใจไปที่เรื่องอื่น
“อืม…แบบนั้นก็ดีนะ” การทำอาหารเองนอกจากจะประหยัดแล้วยังไม่ต้องกังวลว่าน้องสาวอาจไปกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ด้วย
“ขอบคุณค่ะ” เจ้าตัวเล็กตักข้าวไข่เจียวเข้าปากอีกหน รสชาติของมันชวนให้อบอุ่นหัวใจมากจริง ๆ
.................................................
.....................
......................................................................................
โถลูก กอดๆน๊า เหลือกันแค่สองคนพี่น้องแล้ว
ให้คุณรี๊ดมาโอ๋นะเด็กๆ („• ᴗ •„)