เมื่อแสงแดดสาดลอดเข้ามาในกระโจม เปลือกตาที่หนักอึ้งขององค์หญิงห้าก็ขยับเคลื่อนไหวไปมา ใบหน้าเนียนใสดูอ่อนล้า ใต้ขนตาที่แผ่ออกมาเป็นแพสวยบัดนี้ปรากฏร่องรอยหมองคล้ำเล็กน้อย
“ปลายยามเฉิน*แล้ว เจ้าจะไม่ยอมตื่นจริง ๆ หรือ” คนหน้าหนาที่แม้จะได้นอนแค่สองชั่วยามแต่ก็ยังมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ เขาเพิ่งกลับมาจากการฝึกทหาร เมื่อไม่เห็นหน้าเห็นตาสาวใช้อุ่นเตียงคนใหม่ก็เลยเข้ามาสำรวจในกระโจมถึงได้รู้ว่าโฉมสะคราญยังไม่แม้แต่จะลุกออกจากเตียงขยับเขยื้อนไปที่ใดเลย
“...ลู่จื่อ ข้าหิวน้ำ” เซี่ยอีอิ่งนึกว่าคนที่ปลุกนางคือนางกำนัลคนสนิทจึงพูดพึมพำออกมา หวังหย่วนเหอยกยิ้มแล้วก็เอื้อมมือไปรินน้ำชาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้วยื่นจอกน้ำชาให้สตรี แต่คนที่ยังปวดเมื่อยตัวก็ยังไม่ลืมตาตื่นขึ้นเสียที จนบุรุษองอาจหงุดหงิดใจรีบยัดจอกนั้นป้อนใส่ปากองค์หญิงห้า
“แค่ก ๆ” เซี่ยอีอิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีเพราะสำลักน้ำชา
“ตื่นได้สักทีนะ” สายตาคมที่แฝงประกายเหี้ยมโหดจ้องมองใบหน้าของโฉมสะคราญ เขาสำรวจนางเงียบ ๆ จากนั้นก็ใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดคราบน้ำที่เลอะมุมปากให้
“ทะ ท่านอ๋อง!” เซี่ยอีอิ่งรีบตะครุบปากของตัวเองทันทีเพราะลืมไปว่าแม่ทัพใหญ่ที่เป็นถึงชินอ๋องแห่งแคว้นผู้นี้ไม่ชอบให้ผู้ใดเรียกแทนตัวเขาด้วยบรรดาศักดิ์ตามฐานันดรตั้งแต่ถือกำเนิด หวังหย่วนเหอมองเห็นแววตาตื่นตระหนกนั้นก็อารมณ์ดีขึ้นมา น่าแปลกที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยใส่ใจสตรีนางใด แต่พอได้เจอองค์หญิงห้ากลับรู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นไม่น่าเบื่อหน่าย
“รีบลุกขึ้นมา” หวังอ๋องกล่าวเพียงเท่านั้น จากนั้นก็เดินไปนั่งลงที่โต๊ะมุมห้อง คว้าหนังสือที่อยู่แถว ๆ นั้นมาอ่านฆ่าเวลา ร่างบางค่อย ๆ ประคองตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากเพราะทั้งร่างกายในตอนนี้รู้สึกปวดเมื่อยและระบมที่กึ่งกลางกายไปเสียหมด บุรุษนั่งจิบน้ำชาดูสตรีลุกออกจากเตียงด้วยสายตานิ่ง ๆ ประจวบกับที่ด้านนอกมีเสียงโวยวายของนางกำนัลองค์หญิงห้า ทหารที่เฝ้าหน้ากระโจมก็ขัดขวางเอาไว้แต่กลับมีเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
หมายเหตุ *ยามเฉิน คือ 07:00 – 09:00 น.
“ให้นางเข้ามา” สิ้นคำนั้นลู่จื่อก็สามารถนำพาตนเองเข้ามาในกระโจมของหวังอ๋องได้ นางกำนัลเมื่อได้สบตากับบุรุษน่ากลัวผู้นั้นก็รีบย่อตัวทำความเคารพด้วยความหวั่นเกรงทันที
“มาโวยวายหน้ากระโจมข้า เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่” หวังหย่วนเหอเล่นบทคนเหี้ยมโหด แววตาแข็งกระด้างไม่มองลู่จื่อด้วยซ้ำแต่กลับเบนสายตาไปสบตากับเซี่ยอีอิ่งที่นั่งตัวสั่นอยู่บนเตียง
“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ!” เพราะเกรงว่าบ่าวรับใช้ของตนจะถูกฆ่าทิ้ง เซี่ยอีอิ่งจำต้องฝืนความเจ็บช้ำลงมายืนที่ข้างเตียง เสื้อผ้าของนางหลุดลุ่ยดูแทบไม่ได้ ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยถูกย่ำยี ลู่จื่อเห็นอย่างนั้นก็พยายามเก็บสีหน้าและความสงสารองค์หญิงเอาไว้ในใจ สงวนท่าทีต่อหน้าอ๋องจอมโหดผู้นี้
“กล้าขึ้นเสียงใส่ข้าเช่นนี้ เมื่อคืนนี้เจ้ายังไม่เข็ดอีกหรืออย่างไรกัน” หวังหย่วนเหอเอ่ยด้วยท่าทีสบาย ๆ สายตาคมเข้มปรากฏประกายวาววับที่ดูแล้วเหมือนว่าคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้ม ลู่จื่อเห็นดังนั้นก็เกรงว่าองค์หญิงจะถูกทรมานมากไปกว่านี้
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าตอนนี้สายแล้ว องค์หญิงยังไม่เสด็จออกมา เลยจะเข้ามาปรนนิบัติรับใช้ตามหน้าที่” ลู่จื่อรีบแจ้งจุดประสงค์แต่ดูเหมือนว่านางจะพูดผิดสถานการณ์ไปหน่อย ร่างสูงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง
“รีบพาเจ้านายของเจ้าออกไป แล้วให้หมอหลวงมาตรวจอาการนางด้วยเพราะคืนนี้ยังต้องปรนนิบัติข้าต่อ” หวังอ๋องพูดโดยไม่ละสายตาร้อนแรงไปจากเรือนร่างงดงามของสตรีโฉมสะคราญ เซี่ยอีอิ่งได้แต่กัดริมฝีปากล่างแน่นด้วยความโกรธเคือง แล้วลู่จื่อก็รีบหาเสื้อคลุมที่ตกอยู่บนพื้นแถว ๆ นั้นนำขึ้นมาคลุมร่างให้องค์หญิงห้า แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะก้าวพ้นออกไป เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าทายาเสร็จแล้วก็อย่าลืมมาเตรียมอาหารเที่ยงให้ข้ากินด้วย” หวังหย่วนเหอยักคิ้วส่งให้เซี่ยอีอิ่งที่หันเสี้ยวหน้ามามอง สายตาสตรีแข็งกระด้างเสียจนบุรุษองอาจเปลี่ยนใจ
“มองสามีตนเองด้วยสายตาเย็นชาเช่นนี้ คงไม่อยากให้บ่าวรับใช้ของเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่” เพียงอ๋องชั่วช้าข่มขู่เช่นนั้น เซี่ยอีอิ่งก็รีบกำมือข้างตัวแน่นแล้วกัดฟันเอ่ยเพียงว่า
“ข้าขออภัยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ออกแรงฝืนเดิน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวแข้งขาของนางก็อ่อนแรงล้มลงไปกองที่พื้นทันที ลู่จื่อตกใจจนร้องเสียงหลงออกมา
“องค์หญิงเพคะ!” ด้วยความเป็นห่วงสุดหัวใจ นางจึงพยายามประคองให้โฉมสะคราญลุกขึ้นมาแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเซี่ยอีอิ่งไม่มีแรงส่งช่วยลู่จื่อ หวังอ๋องเห็นอย่างนั้นหัวใจก็กระตุกวูบ รีบออกคำสั่งให้ทหารรับใช้ไปตามหมอหลวงมาในทันที จากนั้นถึงได้เดินเข้ามาใกล้สตรีสองคนนั้นแล้วใช้เท้าเขี่ยนางกำนัลไร้ประโยชน์ออกไปให้พ้นทาง แม้จะเจ็บที่ถูกผลักออกแต่ลู่จื่อก็ไม่ร้องโวยวายออกมาเพราะเกรงว่าชีวิตน้อย ๆ ขององค์หญิงและตนเองจะไม่รอดพ้นเงามัจจุราช
“อีอี...” ฝ่ามือหนาตบที่ใบหน้าขององค์หญิงห้าเบา ๆ เพื่อเรียกสติ แต่พอได้สัมผัสเนื้อตัวนางถึงได้รู้ว่าสตรีไข้ขึ้นสูง เลยตัดสินใจอุ้มร่างบางแล้วสั่งให้ลู่จื่อไปต้มน้ำร้อนให้รีบยกเข้ามา นางกำนัลรีบวิ่งออกจากกระโจมของแม่ทัพใหญ่ไปทันที
ไม่เกินครึ่งชั่วยาม สตรีโฉมสะคราญก็พ้นขีดอันตราย เมื่อหมอหลวงมาตรวจอาการก็พูดเพียงว่า ‘องค์หญิงทรงพักผ่อนน้อยเกินไป และที่สำคัญบริเวณนั้นบวมช้ำ ต้องทายารักษาสักสองสามวันเพื่อบรรเทาอาการ’ เพียงหวังหย่วนเหอได้ยินคำนั้นก็หัวเสียโวยวายออกมาในทันที และสั่งให้หมอหลวงหาวิธีรักษาอาการนั้นภายในสามชั่วยาม มิเช่นนั้นเขาจะสังหารคนไร้ประโยชน์ให้สิ้นซาก นี่จึงเป็นสาเหตุทำให้ในตอนนี้ร่างบางที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยทำรักต้องมานั่งแช่ในอ่างที่เต็มไปด้วยสมุนไพรที่ใช้ลดอาการบวม แก้ช้ำใน และบำรุงภายในสตรีให้แข็งแรง
“องค์หญิงทรงเสวยอีกสักคำนะเพคะ” ลู่จื่อที่ได้รับอนุญาตให้ปรนนิบัติดูแลองค์หญิงก็น้ำตาไหลออกมาด้วยความเศร้าใจ ไม่คาดคิดว่าชินอ๋องที่องค์หญิงจะต้องอภิเษกด้วยจะใจร้ายทำร้ายคู่หมั้นได้มากถึงเพียงนี้
“ข้าอิ่มแล้ว เจ้าเอาไปกินต่อเถิด” เซี่ยอีอิ่งเป็นห่วงนางกำนัลรับใช้ของตน เพราะหลายวันก่อนตอนที่ตกอยู่ในช่วงที่ลำบากมากกว่านี้ ลู่จื่อก็คอยแบ่งปันอาหารให้มากกว่าเสมอ
“องค์หญิงไม่ต้องเป็นห่วง แม้ว่าท่านอ๋องจะใจร้ายไปบ้างแต่ก็ให้คนดูแลไม่ขาดตกบกพร่องเพคะ” ลู่จื่อเอ่ยเสียงเบาเพราะเกรงว่าจะมีคนมาได้ยินประโยคนี้เข้า เซี่ยอีอิ่งได้ยินดังนั้นจึงรีบฝืนกินต่อจนหมดชามแล้วเอนหลังพิงขอบอ่างนอนหลับตาเพื่อผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า
อีกด้านหนึ่ง ร่างสูงได้รับรายงานเรื่ององค์ชายเก้าแคว้นเสวี่ย นัยน์ตาสีนิลมีประกายแห่งความสุข “เจ้าทำได้ดีมาก” จากนั้นก็หันไปสั่งรองแม่ทัพที่ติดตามมาด้วยว่า
“ปล่อยข่าวลือเรื่องที่ข้าจับองค์หญิงห้ามาเป็นเชลยออกไป ต้องให้เรื่องนี้เข้าหูตงหรุ่ยให้ได้” คนเจ้าเล่ห์กัดไม่ยอมปล่อย ในเมื่อองค์หญิงสามคิดกลั่นแกล้งคู่หมั้นของเขาให้เกือบตกเป็นขององค์ชายเก้าที่นับว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาช้านาน มีหรือว่าหวังอ๋องจะยอมรามือโดยง่าย ถึงอย่างไรตัวนางก็ต้องได้รับการตอบแทนที่สาสม ด้วยการใช้แผนล่อจับเสือ นอกจากจะทำให้แคว้นเสวี่ยเกิดความโกลาหลแล้ว เขายังคิดแทรกซึมใช้วิธีทำให้เรื่องเล็กน้อยให้บานปลายใหญ่โตด้วยการล่อปลามาติดเบ็ด
“ขอรับท่านแม่ทัพใหญ่” รองแม่ทัพรับคำสั่ง
ส่วนกุนซือกองทัพรีบแย้งขึ้นทันที มีเพียงเขาที่กล้าขัดพระทัยชินอ๋องจอมโหดผู้นี้ “แต่ว่า...ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” อี้จือเอ่ยขึ้น
แต่ถูกฝ่ามือหนายกขึ้นห้ามเสียก่อน “เจ้าจะบอกว่าข้ารุกศัตรูเร็วเกินไปใช่หรือไม่ แต่อย่าลืมว่าความจริงแล้วเสด็จพี่ก็อยากครอบครองแคว้นเสวี่ยนี้มานานแล้ว ถ้าหากสามารถคว้าชัยมาได้ นอกจากจะได้แก้แค้นแล้วยังได้ขยายอาณาเขตอีกด้วย ยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัวไม่ใช่หรืออย่างไร” เพราะเหตุผลของหวังอ๋องถูกต้อง อี้จือจึงไม่กล้าพูดต่อ ได้แต่พยักหน้าตอบรับแล้วค้อมศีรษะลงอย่างนบนอบ
“กระหม่อมเกรงว่าท่านอ๋องจะทรงเหน็ดเหนื่อยเกินกำลัง ไม่ได้มีเจตนาขัดขวางแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ” อี้จือเป็นบุรุษนิสัยสุภาพ มีอายุไล่เลี่ยกับหวังหย่วนเหอและเติบโตมาด้วยกันจึงรู้ใจเป็นเหมือนดั่งสหายคนสนิท และเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ห้ามปรามท่านอ๋องได้
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” หวังหย่วนเหอโบกมือไม่ติดใจ แล้วก็เดินออกไปหาเซี่ยอีอิ่งที่กระโจมส่วนตัวซึ่งอยู่ถัดออกไปไม่ไกลนัก อี้จือได้แต่มองตามหลังชินอ๋องไปด้วยแววตาวูบไหวมีประกายบางอย่างที่แม้แต่รองแม่ทัพก็สังเกตไม่เห็น
ฝั่งทางด้านองค์หญิงห้าที่แช่ตัวรักษาอาการฟกช้ำและบรรเทาอาการระบมที่กึ่งกลางกายสตรีจนมีอาการดีขึ้นมากแล้วก็กำลังจะลุกออกจากอ่างเพื่อมาล้างตัวแล้วก็สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่องครักษ์ได้จัดเตรียมหาเอาไว้ให้ แต่เรียวขางามยังก้าวออกไม่พ้นขอบอ่างทั้งร่างก็ถูกดึงรั้งไปด้านหลังเสียก่อน “ว้าย!” เซี่ยอีอิ่งตื่นตระหนกตกใจจนร้องเสียงหลงออกมา ประจวบกับที่ลู่จื่อเดินกลับมาถึงด้านหน้ากระโจมพอดี
“เกิดอันใดขึ้นเพคะ!” แต่นางกำนัลก็ต้องยืนอ้าปากค้างเพราะในตอนนี้หวังอ๋องพลิกตัวขององค์หญิงให้ไปสบตามองกัน จากนั้นเขาก็ประกบริมฝีปากหยักสวยลงมาลิ้มชิมความหวานกับโพรงปากร้อนของโฉมสะคราญ