เชลยจำเป็น
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นอยู่ทิศเบื้องหน้า ฝูงม้าและทหารราวสามแสนนายวิ่งเข้าตะลุมบอนดูโกลาหลวุ่นวายยิ่งนัก ฝั่งหนึ่งเป็นกองทัพของแคว้นเสวี่ยวิ่งเข้ารบราฆ่าฟันอยู่กับฝ่ายกองทัพของแคว้นต้าฉี
“ฆ่าพวกมันให้หมด!” เสียงตะโกนอย่างฮึกเหิมดังขึ้นทั่วสารทิศ ภายใต้ศึกสงครามระหว่างสองแคว้นนั้นดุเดือดเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและความอยากเอาชนะของทั้งสองแม่ทัพใหญ่ ผ่านไปไม่นานนักซากศพของทหารทั้งสองฝ่ายกองพะเนิน กองทัพของต้าฉีแข็งแกร่งภายใต้การนำของแม่ทัพจอมโหดผู้มีนามว่า หวังหย่วนเหอ บุรุษรูปร่างสูงมีร่างกายกำยำแข็งแรง โดยปกติแม่ทัพผู้นำทัพโดยทั่วไปมักมีหน้าตาธรรมดาไม่โดดเด่นเทียบเท่าความสามารถ แต่หวังอ๋องผู้นี้กลับมีตรงกันข้ามทุกอย่าง เขามีรูปโฉมสง่างาม หน้าตาหล่อเหลา ผิวพรรณขาวผุดผ่องไม่เหมือนคนที่ออกรบ มิหนำซ้ำยังมีชาติกำเนิดสูงศักดิ์เป็นถึงชินอ๋องแห่งแคว้น แต่มีนิสัยเด็ดขาดดุดันบ้าอำนาจ ชอบตัดสินทุกอย่างด้วยกำลังและชอบการฆ่าฟัน และเพื่อหลีกเลี่ยงภัยที่เหมือนเงามัจจุราช องค์รัชทายาทที่ขลาดเขลาจึงส่งน้องชายที่มองเป็นหอกข้างแคร่ให้มาควบคุมกองทัพที่อยู่ทางทิศใต้ของแคว้น ประจวบกับทางแคว้นเสวี่ยเกิดความเหิมเกริมคิดอยากตีเอาเมืองหน้าด่านของต้าฉี สงครามนี้จึงได้เกิดขึ้น
“หม่าเทียนเวิ่น จงวางดาบแล้วยอมแพ้ข้าเสียเถิด มิเช่นนั้นเมืองด่านของเจ้าจะต้องพังพินาศ” หวังหย่วนเหอข่มขู่ นัยน์ตาคมสีนิลจ้องหน้าแม่ทัพฝั่งตรงข้ามตาเขม็ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ทำท่าทางราวกับอันธพาลชวนต่อยตี แต่หม่าเทียนเวิ่นกลับหัวเราะร่วน ใช้ปลายทวนชี้หน้าชินอ๋องแห่งต้าฉีที่พูดจาห้าวหาญไม่มีความกลัวตาย
“ข้าขอตายเพื่อปกป้องบ้านเมือง ดีกว่ายอมสยบแทบเท้าเจ้า”
“ดี! ถ้าเช่นนั้นก็จงไปลงนรกเสียเถิด” หวังหย่วนเหอทำพูดไปเช่นนั้นเอง คนอย่างอ๋องจอมโหดอย่างเขาหรือจะให้โอกาสผู้ใดรอดชีวิต ยิ่งเป็นอริศัตรูที่รุกรานแคว้นต้าฉีด้วยแล้วยิ่งให้อภัยไม่ได้ จากนั้นสองแม่ทัพใหญ่ก็เข้าห้ำหั่นกัน ใช้เวลาเพียงไม่นานนักหวังอ๋องก็ตัดศีรษะหม่าเทียนเวิ่นเสียบประจานที่หน้าประตูเมืองฉือหลิงได้
“เฮ้!” ทหารฝั่งต้าฉีโห่ร้องสนั่นหวั่นไหว ส่วนทหารที่ดูแลรักษาประตูเมืองหน้าด่านฝั่งแคว้นเสวี่ยได้แต่อกสั่นขวัญแขวนรีบวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น
สถานการณ์ในเมืองฉือหลิง พวกชาวบ้านที่มีความมั่นอกมั่นใจอยู่เสมอว่าเมืองฉือหลิงจะไม่ถูกกองทัพต้าฉีตีจนเมืองแตกพ่าย แต่ตอนนี้ความเชื่อมั่นนั้นถูกทำลายให้พังครืนลง ทุกคนต้องรีบเก็บข้าวของพากันหนีตาย หนึ่งในนั้นก็มีองค์หญิงแคว้นฮวาเป๋ยปะปนอยู่ด้วย
“องค์หญิง พวกเราจะทำอย่างไรกันดีเพคะ” ลู่จื่อ นางกำนัลที่ติดตามเซี่ยอีอิ่งมาด้วยพูดขึ้น สีหน้ามีความหวาดกลัวและร้อนรนกระวนกระวายใจ สตรีในชุดสีเขียวอ่อนกำลังครุ่นคิดแต่เวลาก็มีให้ไม่มากพอนักเพราะว่าพวกทหารต้าฉีบุกเข้ามาในเขตเมืองฉือหลิงแล้ว ราวกับสายน้ำที่ไหลอย่างเชี่ยวกรากกวาดเอาชีวิตของผู้คนไปอย่างบ้าระห่ำ
“ไม่มีเวลาแล้ว พวกเรารีบไปเปลี่ยนชุดกันก่อนเถิด” สตรีรูปร่างบอบบางทั้งสองคนรีบเดินลัดเลาะไปตามทางด้านหลังของบ้านเรือนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จากนั้นลู่จื่อก็ขโมยเสื้อผ้าที่ถูกตากทิ้งเอาไว้ รีบให้ผู้เป็นเจ้านายเปลี่ยนเอาชุดผ้าไหมเนื้อดีออกแล้วสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบอย่างรวดเร็ว ผมสีดำขลับถูกเกล้ารวบขึ้นมัดเป็นมวยเรียบง่าย ส่วนใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมก็ถูกลบออกอย่างรวดเร็ว ไม่เกินหนึ่งก้านธูป* กองทัพมัจจุราชก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังหึ่ง ๆ เข้ามาใกล้ เซี่ยอีอิ่งรีบดึงมือลู่จื่อที่ยืนตัวสั่นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ให้มาหลบที่หลังกองฟางที่สูงเลยศีรษะของพวกนางขึ้นไปหลายวา**
หวังอ๋องเข่นฆ่าทหารแคว้นเสวี่ยที่ต่อต้านจนพึงพอใจ กว่าจะรู้ตัว เขาและพวกทหารองครักษ์ไม่กี่นายก็ขี่ม้าเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พวกชาวบ้านเห็นแม่ทัพใหญ่ใส่ชุดเกราะอาบเลือดเข้ามาก็พากันวิ่งหนีตายด้วยความหวาดกลัว ส่วนใหญ่คนที่อยู่มีเพียงคนแก่ หญิงสาวและเด็กเล็ก ไม่มีพวกผู้ชายหลงเหลืออยู่เลย
“เสียงดังน่ารำคาญนัก” คนที่ไม่ชอบเสียงเด็กร้อง ตวาดลั่น เขากวาดสายตามองไปที่พวกชาวบ้านพวกนั้นจนทั่ว เมื่อเห็นว่าไม่มีบุรุษอยู่สักคนเดียวก็เตรียมจะหันหลังกลับ แต่ยังไม่ลืมหันไปบอกองครักษ์ที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้างให้กวาดต้อนเชลยศึกไปที่เมืองหน้าด่านด้วย ขณะนั้นมีควายสามตัวที่ไม่รู้กินอะไรผิดมาวิ่งเตลิดพุ่งตรงมายังสองสตรีที่กำลังนั่งลงหลบทหารจากแคว้นต้าฉี เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกเลยทำให้ลู่จื่อที่เกรงว่าสัตว์พวกนั้นจะทำให้องค์หญิงบาดเจ็บจึงรีบผลักร่างบางออกไปให้พ้นทางที่ควายตัวนั้นกำลังวิ่งตรงเข้ามา
“ว้าย!” เซี่ยอีอิ่งตกใจจนห้ามเสียงร้องไม่ทัน ฝีเท้าม้าของหวังอ๋องหยุดชะงักทันที สายตาคมตวัดไปมองร่างบางที่สวมชุดบุรุษ ประกายตาก็วาววับขึ้นมาเหมือนมัจจุราชที่กระหายเลือดเนื้อ
“พวกเจ้าไม่ต้อง ข้าจัดการเอง” หวังหย่วนเหอบอกองครักษ์ที่จะเข้าไปจัดการบุรุษผอมแห้งสองคนนั้นแต่ถูกสั่งห้ามไว้เสียก่อน ร่างสูงกระโดดลงจากม้าอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวควายตัวหนึ่งที่วิ่งตรงมาทางนี้ก็ถูกทวนแหลมคมแทงทะลุจนหยุดชะงัก ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของพวกชาวบ้าน หยดเลือดกระเด็นใส่ตัวโฉมสะคราญในคราบบุรุษจนเลอะเทอะไปหมด
หมายเหตุ *หนึ่งก้านธูป หรือประมาณ 15 นาที
**วา หน่วยวัดจีนโบราณ 1 วา = 2 เมตร
“กรี๊ด!!” เซี่ยอีอิ่งพยายามที่จะไม่ร้องออกไปแล้วแต่นางก็ห้ามไม่ทัน อาการตกใจนั้นทำให้หย่วนเหอหยุดปลายทวนที่จะหันมาจัดการนางเป็นรายต่อไป
“สตรีหรือ” หวังหย่วนเหอหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ล้มก้นจ้ำเบ้า สีหน้าแตกตื่น มวยผมที่มัดเป็นมวยไว้เมื่อถูกลู่จื่อผลักเพียงหนเดียวก็ทำให้หลุดออกเผยเส้นผมดำขลับที่ยาวเรียงตัวสวยหล่นกระทบมาคลอเคลียที่ใบหน้าและแผ่นหลัง ส่วนควายอีกสองตัวที่เห็นว่าเพื่อนมันถูกฆ่าตายก็ตื่นตกใจรีบเปลี่ยนทิศวิ่งหนีหลบไปอีกทาง ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่สงบลงในเพียงพริบตาเดียว ทางด้านลู่จื่อก็เช่นกัน รีบวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาประคององค์หญิงเอาไว้
“องค์หญิงทรงเป็นอันใดมากไหมเพคะ” ลู่จื่อพยายามกระซิบด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดแต่นั่นก็ไม่รอดพ้นคนที่หูดีอย่างหวังอ๋องไปได้ บุรุษองอาจกวาดสายตามองสตรีสองคนอย่างพิจารณาอีกครั้ง จากนั้นก็โบกมือให้องครักษ์คนหนึ่งมาจับลู่จื่อแยกออกจากสตรีโฉมสะคราญ
“ปล่อยข้านะ! อะ องค์...ไม่ใช่สิ คุณหนูช่วยข้าด้วย” ลู่จื่อเกือบหลุดปากพูดคำว่าองค์หญิงออกมา นางพยายามต่อต้านองครักษ์นายหนึ่งที่มาอุ้มนางไปกองรวมกับพวกชาวบ้านที่นั่งหวาดกลัวอยู่อีกฟากหนึ่ง
“นี่ท่านปล่อยบ่าวรับใช้ของข้าเดี๋ยวนี้นะ” ด้วยความที่เซี่ยอีอิ่งเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นแต่นางถูกกลั่นแกล้งจากพี่สาวร่วมบิดาให้มาเป็นสายสืบที่แคว้นเสวี่ยในนามพระคู่หมั้นขององค์ชายเก้าแห่งแคว้นเสวี่ย
“หึ...พูดได้ดี” หวังหย่วนเหอคล้ายถูกตาต้องใจสตรีตรงหน้า ขนาดว่านางไม่ได้แต่งตัวเต็มยศหรือแต่งหน้าจัดจ้านแต่กลับยิ่งมองก็ยิ่งสบายตา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็รื่นหูชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล
ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้สตรีที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้นดิน จากนั้นก็ใช้มือหยาบกร้านที่ชอบจับแต่ดาบถือแต่ทวนช้อนปลายคางของหญิงสาวขึ้น สายตาคมจับจ้องที่ริมฝีปากสีระเรื่อด้วยแววตาที่ไม่น่าไว้วางใจ และนั่นก็ทำให้เซี่ยอีอิ่งรู้สึกหวาดกลัวเป็นครั้งแรก “ท่านจะทำอะไร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
“เจ้าชื่อว่าอะไร” หวังหย่วนเหอไม่สนใจว่าอีอิ่งจะต่อต้านสักแค่ไหน เขาไม่กล้าออกแรงบีบคางรุนแรงด้วยซ้ำ ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพราะสิ่งใด จะด้วยเพราะแววตาที่ดื้อรั้นหรือน้ำเสียงที่ไพเราะเสนาะหูที่สะกดหัวใจของแม่ทัพจอมโหดเอาไว้
“ข้าชื่อว่าอีอีเจ้าค่ะ” สุดท้ายสตรีก็ยินยอมตอบคำถาม นางไม่กล้าใช้ชื่อจริงเพราะเกรงว่าจะถูกจับได้ จากนั้นก็หลุบสายตาลงต่ำ ไม่กล้าสบตากับดวงตาสีนิลที่แฝงไปด้วยอำนาจบางอย่าง
“ต่อไปนี้อีอีจะเป็นสาวรับใช้อุ่นเตียงของข้า พวกเจ้าอย่าลืมพานางไปด้วย” หวังอ๋องกล่าวจบก็ยืดตัวขึ้นตรงกระโดดขึ้นม้าแล้วควบขี่จากไป คำสั่งนั้นทำให้องค์หญิงแห่งฮวาเป๋ยหน้าถอดสี ลู่จื่อรีบมองผู้เป็นเจ้านายด้วยแววตาสงสาร
“เจ้ารีบลุกขึ้นมาได้แล้ว สาวรับใช้อุ่นเตียงท่านอ๋องพวกข้าจะไม่แตะต้องตัวเจ้า” องครักษ์นายหนึ่งเดินมาบอกเซี่ยอีอิ่ง ด้วยความที่เจ็บข้อเท้ามากเพราะถูกผลักให้ล้ม ลู่จื่อเห็นอย่างนั้นก็ถือวิสาสะวิ่งเข้ามาช่วยประคององค์หญิงเอาไว้
“พวกท่านจะให้คุณหนูเดินไปได้อย่างไรกัน ท่านมิเห็นหรือว่านางข้อเท้าแพลง” ลู่จื่อใช้ไหวพริบรีบโพล่งออกมา ส่วนเซี่ยอีอิ่งที่เจ็บข้อเท้าก็ได้แต่ฝืนยืนเอาไว้ องค์หญิงเช่นนางนั้นมิเคยต้องตกระกำลำบากมาก่อนและนี่ก็เป็นครั้งแรก องครักษ์ทั้งหมดหันมองหน้ากัน จากนั้นก็มีคนหนึ่งยินยอมสละม้าให้สตรีทั้งสองใช้โดยสาร เพราะเห็นว่าท่านอ๋องทรงโปรดปรานโฉมสะคราญผู้นี้
“พวกเจ้ารีบออกเดินทางกันได้แล้วก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน” องครักษ์ที่เสียสละม้าให้สตรีหันไปสั่งให้พวกชาวบ้านที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยให้รีบออกเดินทาง ส่วนตัวเองก็หันไปสั่งให้ทหารชั้นผู้น้อยไปเอาม้าที่รวบรวมจากในเมืองฉือหลิงมาเพิ่มเติม