“ที่ทำงานเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีค่ะ ลุ้นให้ผ่านโปรฯสามเดือนอยู่”
“ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไรนี่ มุกก็มาทำงานที่บริษัทเราก็ได้”
“ถ้ามุกอยากทำงานกับแฟรงค์ มุกจะร่อนใบสมัครงานทำไมกัน” เธอหัวเราะเสียงใส ทั้งที่เธอเคยปฏิเสธไม่คบหาในฐานะแฟนหรือคนรักไปหลายครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนแฟรงค์ก็ไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจเลย
“แต่คนเก่งอย่างมุกใครก็อยากร่วมงานด้วย” เขาชื่นชมด้วยความจริงใจขณะขับรถมุ่งหน้าไปร้านอาหารกึ่งผับริมแม่น้ำเจ้าพระยา
อาจเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด วันนี้ที่ร้านจึงมีผู้คนแน่นร้าน แฟรงค์พยักหน้าเป็นเชิงให้เดินตามเขาเข้าไปด้านใน เพื่อนๆ ก๊วนเดียวราว 5-6 คนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มิลลี่เห็นพราวมุกก็โบกมือทักทายทันที และเป็นฝ่ายลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้พราวมุก
“ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้” พราวมุกหัวเราะเสียงใส “ฉันนึกว่าเธอจะเหมาร้านเสียอีก”
“ก็อยากอยู่นะ แต่คนเยอะๆ แบบนี้ก็สนุกดี” มิลลี่หัวเราะร่วน เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรสำหรับเธอเลย “ร้านนี้เด่นเรื่องคราฟต์เบียร์ (Craft Beer)”
“สนใจธุรกิจเบียร์เหรอ” พราวมุกเลิกคิ้วแล้วลอบมองขวดเบียร์บนโต๊ะ
“ไม่ใช่ฉัน แฟรงค์ต่างหาก” มิลลี่พยักหน้าไปทางชายหนุ่มลูกครึ่งที่นั่งฝั่งตรงข้าม เขายิ้มรับแล้วรินเบียร์ให้พราวมุกด้วยตัวเอง
“กำลังศึกษาอยู่” เขาพูดยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มแบบที่เพื่อนทั้งกลุ่มรู้ว่าเขาจะยิ้มแบบนี้ให้พราวมุกคนเดียว และรู้ว่าพราวมุกเคยปฏิเสธแฟรงค์มาแล้ว น่าจะ..หลายครั้งแล้วล่ะ
“น่าสนใจ” พราวมุกยิ้มและรับแก้วเบียร์มาจิบ ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาจีบเธอ เรื่องอื่นเขาก็ดีหมด พราวมุกก็อธิบายไม่ถูกว่าทำไมไม่ชอบแฟรงค์ในฐานะคนรัก ทั้งที่เขาก็สมบูรณ์แบบ ตัดเรื่องที่เขารวยกว่าเธอทิ้งได้เลย เพราะเพื่อนกลุ่มนี้ต่างก็รวยๆ กันทั้งนั้น แต่เธอไม่ได้สนใจเงินในบัญชีของพวกเขา แค่นิสัยเข้ากันได้ คุยถูกคอและสบายใจก็เป็นเพื่อนกัน
“เธอนี่ก็จริงๆ เลยนะ ไหนๆ ก็จะทำงานทั้งที ทำไมไม่มาเป็นเลขาให้แฟรงค์ ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่รู้”
“ก็แบบนั้นมันง่ายไปไง” ยอมรับว่าเพื่อนกลุ่มนี้นิสัยคบหาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าวันข้างหน้าพวกเขาอาจจะมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยามแบบ ‘คนละชั้น’
“ช่องยูทูปของเธอก็มีคนติดตามเยอะนี่ โฆษณาเข้ารัวๆเลยสิ”
“อยากได้เยอะกว่านี้ เธอให้เพื่อนๆ ช่วยกดติดตามฉันอีกสิ”
“ฉันซื้อป้ายโฆษณาให้เลยไหม” มิลลี่หัวเราะร่วน “กับแกล้มอร่อยนะ ไม่เผ็ดไป ชิมสิ”
พราวมุกชิมยำคอหมูย่างแล้วพยักหน้ารับ เธอเงยหน้าขึ้นมองหนุ่มลูกครึ่งฝั่งตรงข้ามแล้วถาม “แฟรงค์กินอะไรหรือยัง”
“อื้ม” เขายิ้มกว้าง ทำหน้าดีใจที่เห็นเธอห่วงใยขนาดนี้ “มุกว่าเบียร์เป็นยังไง”
“มุกไม่ใช่คอเบียร์ แต่ที่ดื่มก็ลื่นคอดี”
“เราว่าก็ว่างั้น มีอีกสองสามร้านที่เราสนใจ ถ้ามุกว่างไปกับเรานะ”
“หูย! นั่งหัวโด่ตั้งหลายคน คุยกันเหมือนมีแค่สองคน” มิลลี่อดแซวไม่ได้ ทำให้เพื่อนคนอื่นหัวเราะขึ้น “ย้ายมานั่งข้างกันเลยไหม ฉันไปนั่งตรงนั้นแทนที่นายเอง”
พราวมุกหัวเราะแล้วส่ายหน้าไปมา เบียร์นุ่มดื่มลื่นคอจริงๆ เพื่อนในกลุ่มก็รินให้ต่อเนื่อง และพูดคุยกันสนุกสนาน ตั้งแต่กลับมาเมืองไทย เธอก็ยุ่งๆ ไม่ค่อยได้เจอเพื่อนกลุ่มนี้นัก วันนี้ได้เจอกันพร้อมหน้าก็ต่างอัพเดตชีวิตของตัวเอง
“มุก...ฉันคิดไปเองหรือเปล่าวะ นักดนตรีส่งสายตามาทางฉันบ่อยๆ” มิลลี่กระแซะไหล่พราวมุกแล้วหัวเราะคิกคัก ดื่มเบียร์ไปหลายแก้ว เสียงพูดก็เริ่มร่วนแล้ว
พราวมุกเงยหน้ามองไปทางเวที โต๊ะที่มิลลี่จองไว้ใกล้เวทีมาก แต่เธอไม่ได้สังเกตเพราะสนใจแต่เพื่อนๆ ในกลุ่ม ทว่าสายตาที่จ้องมองกลับนั้นทำเอาเธอสำลักเบียร์ที่กำลังดื่ม
“แค่กๆ”
“เป็นอะไรหรือเปล่ามุก”
“ไม่เป็นอะไร ฉัน...ฉันไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะ”
“ให้ไปเป็นเพื่อนไหม” เพื่อนสาวคนหนึ่งเอ่ยถาม แต่พราวมุกโบกมือไปมา
“ไม่เป็นไร ฉันยังไม่เมา มองเห็นป้ายบอกทางไปห้องน้ำหญิงอยู่นะ”
พราวมุกลุกขึ้นเดินไปออกไปอย่างรีบเร่ง แต่ดันไปชนเก้าอี้ของโต๊ะอื่น เธอขอโทษสองสามครั้งแล้วเดินไปทางด้านหลังร้านเป็นห้องน้ำหญิง เป็นร้านอาหารที่ห้องน้ำสะอาดและมีหลายห้อง พราวมุกคิดในใจและคิดไปว่าน่าจะรีวิวร้านนี้ให้เสียหน่อย เธอพยายามคิดเรื่องอื่นขณะทำธุระส่วนตัว อันที่จริง เธอมาสงบสติอารมณ์และคิดว่าตัวเองอาจจะแค่เมาเบียร์นิดหน่อย บ้าจริง! เธอไม่ได้เมาเบียร์ขนาดนั้น เธอคอแข็งจะตาย แต่ถ้าเธอไม่ได้เมา แสดงว่านักดนตรีคนนั้นเป็น...
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ทำไมขยับตัวไปทางไหนก็เจออีตานั้นตลอดเลยนะ พราวมุกล้างมือแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอชะงักไปทันทีที่เห็นเจ้าของเสื้อเชิ้ตที่นอนสงบนิ่งบนเตียง
“เมาหรือเปล่า”
“เจอหน้าก็ทักกันแบบนี้เลยเหรอ” เธอเบ้ปากใส่เขา “ถ้าฉันเมาจะไปฟ้องพ่อหรือไง”
คิมหันต์ส่ายหน้าไปมา ก็เห็นๆ อยู่ว่าเดินชนโต๊ะคนอื่น เขาเป็นห่วง พอจบเพลงก็รีบขอตัวลงมาดูเธอทันที
“ทำไมฉันต้องมาเจอนายที่นี่”
“มาทำงานพิเศษ”
“นักดนตรีนี่นะ”
“อืม พอดีคนไม่พอ พี่มาเล่นกีตาร์ให้”
“เงินเดือนไม่พอใช้จริงๆสินะ” ถ้าเขาทำงานพิเศษเป็นครูสอนพิเศษ หรือรับงานวิจัยอะไรพวกนี้ เธอคงไม่แปลกใจ แต่พอเห็นเขามาเป็นนักดนตรีก็อดประหลาดใจไม่ได้ “เป็นอาจารย์ด้านภาษาศาสตร์ เป็นครูอาสาสอนศิลปะเด็ก แล้วก็เป็นนักดนตรีอีก มีอะไรอีกไหมเนี้ย”
คราวนี้คิมหันต์ยิ้มขำแล้วดันแว่นสายตาชิดใบหน้าด้วยความเคยชิน แล้วขยับเท้าเข้าไปใกล้
“อยากรู้จักพี่เหรอครับ”