“แต่คุณไม่เคยรู้จักพวกเรา”
“ผมไม่รู้หรอกว่าคุณใช้ชีวิตอยู่กับเฟอร์นันโดยังไง แต่รู้ไว้ด้วยว่าพ่อของคุณมันมีสันดานของสัตว์ร้าย มันไม่เคยไว้ชีวิตใครที่ขวางทางมัน”
“ปล่อยฉันไป!”
ดาราวดีโพล่งออกมาด้วยความอัดอั้น หญิงสาวสะอื้นหากก็ไร้เสียงโหยให้มีแต่ร่างกายที่ไหวสะเทือนด้วยความเจ็บปวดเกินจะกดกลั้น หากแต่ยิ่งเธอแสดงความทุกข์ออกมามากเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งทำให้เขาสะใจได้มากเท่านั้น โธมัสแสยะยิ้มร้าย
“ผมจะปล่อยคุณ...ก็ต่อเมื่อ...ผมอยาก”
“โธมัส...อื๊อ!”
ท้ายทอยของหญิงสาวถูกมือแกร่งดันไว้เพื่อให้ดวงหน้าแสนสวยเข้าไปชิดติดใบหน้าของเขา จอมซาตานฝังรอยจูบลงบนกลีบปากที่ยังบวมช้ำอีกครั้ง เขาบังคับให้ริมฝีปากอิ่มงามอ้าออกเพื่อรับลิ้นหนาที่ฉกเข้าไปและรุกรานในปากเล็กอย่างเอาแต่ใจและบีบคั้น ดาราวดีพยายามยกมือขึ้นดันหน้าอกของเขาไว้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าต้องยอมให้เขาจาบจ้วงเธอด้วยความกักขฬะและดิบร้าย
“โธมัส...ปล่อย...ปล่อย!”
พอปากเป็นอิสระหญิงสาวก็ร้องออกมาเสียงดัง หากแต่ใครจะช่วยเธอได้ในเมื่อบนหอคอยแห่งนี้ยามดึกสงัดมีเพียงเธอและเขาสองคน หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความพลุ่งพล่านทางอารมณ์ที่ไหลเวียนในเลือดเนื้อของเขา โธมัสฉกริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเธออีกนับครั้งไม่ถ้วนจนหญิงสาวเริ่มอ่อนแรง ลิ้นหนาที่รุกรานราวกับอัดแน่นด้วยความเคียดแค้น ริมฝีปากของเขาบดขยี้ลงบนกลีบปากอิ่มครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้ปราณี
“โธมัส...โธมัส...”
เสียงแหบโหยลอดออกมาจากกลีบปากที่ถูกปลดปล่อยจากการครอบครองด้วยความหยาบเถื่อนก่อนร่างบางจะค่อย ๆ อ่อนยวบและใบหน้างามเอียงซบกับอกกว้างอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ยูบีอา...ยูบีอา!”
โธมัสกอดร่างแน่งน้อยที่ตอนนี้หมดสติไปแล้วไว้กับอก เขาพยายามเขย่าตัวเธออีกหลายครั้งหากดาราวดีก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ
“ยูบีอา...ให้ตายเถอะ...โดนจูบแค่นี้ถึงกับเป็นลมไปเลยรึ”
ชายหนุ่มสบถออกมาเสียงดังแต่แขนแกร่งกลับโอบกอดร่างที่อยู่ในอ้อมแขนไว้แน่นก่อนที่เขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาดึงสมาร์ทโฟนออกจากกางเกงและโทรออก
“อเล็กซา...ขึ้นมาบนหอคอย...ตอนนี้เลย!”
ดาราวดีรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างอ่อนระโหยโรยแรง หญิงสาวเปิดเปลือกตาเห็นแสงสว่างพรายพร่าและรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่อาบไล้บนผิวกาย ร่างบอบบางขยับพลิกตัวไปมาขณะรู้สึกถึงที่รองเรือนร่างนั้นอ่อนนุ่มแตกต่างจากความรู้สึกแข็งและเย็นเยียบของพื้นห้องก่อนหน้านี้ และเมื่อลืมตาตื่นเต็มที่ก็พบว่าเธอกำลังทอดกายเหยียดยาวอยู่บนเตียงกว้างภายในห้องโอ่โถงที่มองทะลุออกไปทางระเบียงด้านนอกเห็นของฟ้าตัดกับท้องทะเลสีเทอควอยซ์
หากแต่เมื่อขยับตัวลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังมึนงงกลับพบว่าเท้าของเธอนั้นเป็นอิสระจากตรวนเหล็กแต่มือทั้งสองยังถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่แน่นหนา หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งเป็นผงและมองไปรอบ ๆ ห้องนอนกว้างขวาง บนเพดานเหนือตัวเธอนั้นประดับด้วยแชนเดอเลียขนาดอลังการ สวยงามอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมันที่ใดมาก่อน
“ตื่นแล้วเหรอ...ยูบีอา?”
เสียงลึกห้าวดังมาจากมุมหนึ่งของห้องนั้น ดาราวดีหันมอง ดวงตาของเธอรื้นน้ำขึ้นมาอีกหน ร่างสูงสง่าในชุดลำลองสีมืดหม่นก้าวเข้ามา โธมัสหยุดตรงหน้าร่างเล็กที่นั่งขอบเตียงขณะสอดมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าคร้ามคมถมึงทึงไม่เปลี่ยนแปลง
“ตื่นก็ดีแล้ว ผมจะให้อเล็กซาเอาอาหารเช้ามาให้”
“ฉันไม่หิว”
“ผมไม่มีเวลาเล่นสงครามประสาทกับคุณนะ!” เสียงนั้นดุดัน “รู้มั้ยว่าคุณไม่มีข้าวตกถึงท้องมากี่วันแล้ว”
“ก็ไม่สำคัญอะไรนี่ไม่ใช่หรือคะ...เพราะถ้าฉันตายไปมันจะทำให้คุณพอใจด้วยซ้ำ”
“ถ้ารีบตายคุณก็หมดโอกาสที่เก็บเอาความทุกข์ทรมานนี้ไปเล่าให้พ่อคุณฟัง...คนตายไม่มีใครทรมาน แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องพบกับความทุกข์สาหัสน่ะมันยิ่งกว่าทรมานหลายเท่า”
“แล้วคุณจะเอายังไงกับฉัน!”
ดาราวดีขึ้นเสียงสูงแต่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อบานประตูห้องขนาดใหญ่ก็ถูกผลักเข้ามา อเล็กซายกถาดขนาดใหญ่เข้ามาวางไว้ที่โต๊ะหัวเตียงก่อนจะถอยออกไปจากห้องนั้นอย่างเงียบ ๆ หญิงสาวมองอาหารในถาดเงิน มันเป็นซุปร้อน ๆ ในถ้วยและมียาเม็ดอีกจำนวนหนึ่ง
“ผมจะไม่ปล่อยให้คุณตาย”
โธมัสกล่าวขณะยกถ้วยซุปขึ้นมาแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างหญิงสาว ใบหน้าของดาราวดีตอนนี้ซีดเผือดแทบไม่มีเลือดหล่อเลี้ยง ริมฝีปากของเธอแห้งผากแตกต่างจากที่เขาเห็นเธอครั้งแรก เธอเป็นสาวสวยในวัยที่กำลังเบ่งบานสะพรั่ง แม้ตอนนี้ความอ่อนล้าจะฉาบเต็มทั้งนัยน์ตาและร่างกายที่อ่อนโหยหากแต่ความเปล่งประกายและงดงามอันแท้จริงของหญิงสาวกลับฝังแน่นในส่วนลึกของชายหนุ่มโดยที่เขาเองแทบไม่รู้ตัว
บทที่ 4 เชลยแค้น
“คุณต้องกินอะไรสักหน่อย”
โธมัสตักซุปร้อนขึ้นมาแล้วเป่าเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนไปใกล้ริมฝีปากของหญิงสาวหากแต่ดาราวดีกลับนิ่งไม่ยอมเผยอริมฝีปากออก คิ้วหนาเป็นปื้นสีน้ำตาลเข้มเหนือดวงตาสีน้ำตาลอมเทาเลิกขึ้น
“คุณควรรักษาชีวิตของตัวเองไว้ ยูบีอา ถ้าอยากกลับไปเห็นหน้าพ่อบุญธรรมของคุณอีกครั้ง”
“ทำไมคุณไม่ปลดกุญแจมือฉันออก”
“อ้าปาก”
“ฉันจะกินเอง”
“ผมบอกให้คุณอ้าปาก”