กันต์ศิตางค์อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่มาถึงบ้าน วันนี้รู้สึกเหนียวเนื้อเหนียวตัวเป็นพิเศษเนื่องจากออกภาคสนามนานไปหน่อย จากปกติที่แค่เดินๆ ดูพอหอมปากหอมคอแล้วก็กลับมาทำบัญชีต่อ
หญิงสาวในชุดลำลองเดินลงบันไดเพื่อไปที่โต๊ะอาหารซึ่งทุกคนคงคอยอยู่แล้ว ในบ้านเธอมักเป็นคนที่ช้าที่สุด และคนที่บ่นอุบอิบกับการต้องรอคอยอยู่ร่ำไปเมื่อก่อนนี้ก็คือ ฉัตรชฎาน้องสาวแสนสวยของเธอนั่นเอง
แต่ต่อจากนี้ไป...คงไม่ได้มีเหตุการณ์นั้นอีกต่อไปแล้ว
“อ้าวจีนัสมาได้ซะทีนะเรานั่งสิพ่อหิวจะแย่อยู่แล้วนะ” ชนชาติเป็นคนเอ่ยทักเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา แต่สายตาของหญิงสาวกับจับจ้องอย่างขุ่นเคืองไปยังบุรุษอีกคนซึ่งมีย่าหยาน้อยนั่งหัวเราะร่าอยู่บนตัก
“เอ่อ...ธีร์เขาจะมาอยู่กับเราสักพักนะลูก เขาเพิ่งเคลียร์งานที่ค้างเสร็จตอนนี้ก็คงต้องมาดูแลย่าหยาสักระยะ เด็กขาดแม่ไปคนหนึ่งแล้วห่างพ่อเขาอีกคนสภาพจิตใจคงแย่ในช่วงใหม่ๆ แบบนี้ด้วย”
“แล้วทำไมไม่พากันไปอยู่ที่เลยเสียเลยล่ะคะ” กันต์ศิตางค์สวนทันควันเธอไม่เข้าใจว่าทำไมสองพ่อลูกถึงต้องมาอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปอีก ในเมื่อเขาก็มีบ้านของเขาแม่ของเด็กเสียไปแล้วก็ควรพาเด็กไปอยู่ด้วยถึงจะถูก
“ก่อนหน้านี้จีนเขาก็แยกกันอยู่กับตาธีร์นะ ย่าหยาก็อยู่กับแม่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ถ้าจะให้ไปแม่ก็คงเหงาแน่ๆ อีกอย่างถ้าธีร์จะพาไปอยู่ด้วยใครจะได้ดูแล เขาก็ต้องทำงานบางทีต้องออกต่างจังหวัดอีกต่างหาก ย่าหยายังเล็กอยู่มากสงสารหลานตาดำๆ มันเถอะ” จิตนารีเอ่ยเสียงเรียบอย่างเป็นผู้ใหญ่
เธอรู้ว่ากันต์ศิตางค์มีความหลังฝังใจกับครอบครัวน้องสาว แต่ทุกอย่างมันก็ผ่านไปนานเหลือเกิน อีกอย่างทุกวันนี้เธอก็กลายเป็นคนแก่ติดหลานไปเสียแล้วด้วย คงไม่ยอมให้ใครเอาไปเลี้ยงที่อื่นง่ายๆ หรอก
เหตุผลที่ให้ศิลาภินมาพักช่วยคราวก็เพื่อให้อยู่ปลอบขวัญลูกสาวขาดแม่ของเขาเท่านั้น พอล่วงเวลาไปสักระยะ หนูน้อยคงปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีมารดาคอยอยู่ข้างๆ ได้บ้าง
“ค่ะ...ตามแต่ใจทุกคนเถอะค่ะหนูไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นอะไรอยู่แล้ว ขอตัวนะคะหนูไม่ค่อยหิว”
พูดจบหญิงสาวก็ลุกจากเก้าอี้ท่ามกลางสายตาที่มองอย่างลำบากใจของทุกคน เธอเดินออกไปจากห้องนั้นอย่างไม่แคร์ว่าใครจะคิดอย่างไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามันบอกให้รู้ว่าทุกคนก็ไม่ได้สนใจความรู้สึกของเธออีกแล้ว
“เอ้อ...เอายังไงล่ะทีนี้ ผมล่ะกลัวจริงๆ นะนารีกลัวจีนัสจะกลับไปอยู่เมืองนอกอีก...”
“เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่คะ คงต้องปล่อยไว้สักพัก เรื่องบางอย่างเขาก็ยังไม่ได้รับรู้ ให้เขาค่อยๆ ซึมซับไปทีล่ะนิดเถอะค่ะ อีกหน่อยมันคงช่วยลบบาดแผลในใจเขาได้บ้างถ้ารู้ว่าไม่ได้มีแต่เขาที่เจ็บปวดกับเรื่องนี้ ส่วนจะกลับเมืองนอกคงไม่หรอกค่ะเขาเป็นห่วงเราสองคน เขารู้ว่าพอจีนไม่อยู่ก็ไม่มีใครช่วยดูแลงาน เราต้องให้เวลาเขานะคะคุณ”
จิตรนาทีรีบอธิบายให้สามีคลายกังวล แต่ตัวต้นเหตุอย่างศิลาภิน กลับรู้สึกผิดมากเหลือเกิน ทุกอย่างเป็นเพราะเขา จึงได้ทำให้ทุกคนพลอยเดือดเนื้อร้อนใจกันไปหมด เมื่อไหร่หนอจะจบสิ้นเรื่องราวในอดีตที่โหดร้าย
เมื่อไหร่...กว่าที่มันเลือนหายไปเสียที แม้จะผ่านช่วงเวลาไปตั้งสี่ปีมันก็ยังตามหลอกหลอนพวกเขาไม่หยุดหย่อนสร้างผลพวงให้หลายๆ คนต้องรับเวรรับกรรมทางความรู้สึกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ผมขอคุยกับจีนัสหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากอธิบายกับเขาเอง”
“จะลองดูก็ได้ แต่แม่ขอเตือนไว้ก่อนนะธีร์เราควรจะตระหนักถึงฐานะของตัวเองเอาไว้ให้มากๆ อย่าได้คิดเป็นพระยาเทครัวรอบสองให้พ่อกับแม่ต้องอับอายชาวบ้านซ้ำแล้วซ้ำอีก ที่พูดเนี่ยไม่ได้หมายความว่าธีร์เป็นคนไม่ดีนะ แม่รู้ว่าธีร์เป็นคนยังไงถึงได้ไว้ใจให้มาอยู่ด้วยชั่วคราวทั้งๆ ที่จีนัสก็อยู่ในบ้านหลังนี้ แค่อยากเตือนเอาไว้ว่าทำอะไรก็ควรระวังตัวบ้างอย่าให้เขาเอาไปนินทาได้ว่า พอน้องสาวตายถ่านไฟเก่าของพี่สาวก็คุมาเผาเรือนทันที”
“ครับ...” ศิลาภินจุกกับคำพูดของจิตนารีไม่ใช่น้อย นั่นสินะเขาไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตัวหญิงสาวที่เปรียบเสมือนลมหายใจอีกแล้ว ฐานะระหว่างเขากับเธอกลายเป็นกำแพงอีกชั้นที่กีดกั้นหัวใจไม่ให้ส่งไปถึง แต่จะโทษใครได้ล่ะในเมื่อเขาเป็นคนเลือกทางเดินนี้ด้วยตัวเอง
มื้อเย็นผ่านไป ชายหนุ่มไม่ได้รีบร้อนในการหาจังหวะเข้าไปคุยกับพี่เมียซึ่งเป็นอดีตคนรัก เขารอให้เธอลงมานั่งเล่นที่สวนหลังบ้านในช่วงค่ำหลังจากเธอสั่งให้คนเอาอาหารขึ้นไปให้ทานบนห้อง ไม่บอกก็รู้กันต์ศิตางค์จงใจหลบหน้าเขา เธอเกลียดเขา แต่เขาก็พอจะเข้าใจมันสมควรเป็นอย่างนั้นที่สุดแล้ว
“จีนัส...” ศิลาภินเรียกชื่อหญิงสาวเสียงแผ่ว และเธอที่นั่งกอดอกเหม่อลอยอยู่ในซุ่มดอกไม้ก็หันมามอง เขาอยู่ในชุดลำลองกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดธรรมดา และเดินเข้าไปหาหญิงสาวมากขึ้นเมื่อเห็นเธอสะบัดหน้ากลับ
“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย ได้ไหม” หญิงสาวหันไปมองเขาอีกครั้งเธอทำหน้าราวกับรังเกียจสุดฤทธิ์ ไม่ตอบกลับแต่ไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ได้สนใจทำเหมือนไม่ได้ยินไม่เห็น ก็เขาไม่มีตัวตนสำหรับเธอไปตั้งนานแล้ว
“ขอพี่นั่งด้วยคนสิ...ไม่นานคุยจบแล้วพี่จะไป”
“นี่เรายังมีเรื่องเหลือให้คุยกันอีกเหรอ...เท่าที่ฉันจำได้มันควรจะหมดไปตั้งนานแล้ว”
“ไม่เอาน่า...พี่จะคุยเรื่องย่าหยาเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มยังยิ้มอบอุ่นส่งให้ขณะบอกจุดประสงค์ในการมาสนทนาครั้งนี้
“มีอะไรเหรอกลัวฉันฆ่าลูกคุณตายรึไง รักกันนักหวงกันนักก็เอาไปอยู่กันที่อื่นสิที่ นี่มันบ้านฉัน”
“แต่เป็นบ้านของย่าหยาเหมือนกัน ย่าหยาเกิดและโตที่นี่” น้ำเสียงเขาขุ่นขึ้น ไม่รอคำอนุญาตตรงไปนั่งตรงม้านั่งตรงข้ามกับเธอทันที
“งั้นฉันไปเองก็ได้...คราวนี้จะไม่กลับมาเป็นปัญหาให้ใครอีกเลย” หญิงสาวพูดอย่างเจ็บแค้นก่อนจะรีบลุกหวังจะไปจากตรงนี้แต่เรียวแขนกลับถูกฉุดเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว!!! จีนัสไม่ใช่ตัวปัญหาของใครนะแล้วพี่ก็ไม่เคยคิดแบบนั้นเลยสักครั้ง”
“อย่ามาโกหกเลย ฉันมองคนจากการกระทำไม่ใช่ฟังแค่คำพูด คุณเห็นไหม พอฉันกลับมาทุกคนก็ทำท่าลำบากใจกันไปหมด เหมือนฉันเป็นตัวประหลาดที่คอยแต่จะสร้างปัญหาให้พวกเขาหนักใจ...คิดดูนะตอนฉันไม่อยู่ทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบมีความสุขกันดีนี่ใช่ไหม”
“ไม่เลยจีนัส...พี่คนหนึ่งล่ะที่ไม่เคยเป็นอย่างที่เธอพูด ตลอดเวลาสี่ปี...ทุกวินาทีพี่ก็มีแต่ความเจ็บปวดไม่แพ้เธอจีนก็เหมือนกัน เขาต้องทุกข์ใจจนวันตาย”
ศิลาภินแย้ง จริงๆ แล้วเธอต่างหากที่ไม่เคยรับรู้ความเจ็บช้ำของคนอื่น มัวแต่คิดว่าตัวเองเจ็บตัวเองปวดเลยหนีไปยังที่แสนไกลทิ้งปัญหาไว้เบื้องหลัง หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าปัญหานั้นมันรุมเร้าคนที่อยู่ทางนี้มากแค่ไหน
“คำก็จีน...สองคำก็จีน อะไรๆ ก็จีน พี่จะตอกย้ำฉันไปถึงไหน ที่ฉันถูกน้องสาวกับคนรักร่วมมือกันหักหลังทรยศพี่คิดว่าฉันอยู่อย่างมีความสุขนักเหรอ สี่ปีมานี้ฉันไม่เคยนอนหลับแล้วฝันดีซักคืน ไม่เคยได้นอนเต็มตื่นเลยสักครั้ง มันเพราะใคร เพราะใครกันล่ะ”
“จีนัส...พี่...พี่ขอโทษ...” ชายหนุ่มคว้าร่างหอบสะอื้นน้ำตานองหน้ามากอดไว้แน่น เขาเองก็กลืนน้ำตาไม่ให้ไหลแทบไม่ทัน ร่างน้อยในอ้อมแขนเขานี้ที่แสนรักและคิดถึงหนักหนาเขากลับเป็นคนทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจจนกลายเป็นบาดแผลร้าวลึกล้ำยากจะประสาน เขาพยายามคิดหาวิธีเยียวยาหัวใจของเธอให้หายเจ็บ เขาเป็นคนทำก็อยากจะเป็นคนรักษา แต่อุปสรรคก็คือสถานะตอนนี้ไม่ได้เอื้ออำนวยเท่าไหร่ แถมทางผู้ใหญ่ก็ดูมีทีท่าไม่ใคร่ชอบพอให้เขายุ่งเกี่ยวกับเธอเสียแล้ว
“นี่ปล่อย อย่ามาฉวยโอกาสกับฉันอย่างนี้นะ”
“เอ่อ...พี่ขอโทษจีนัส” สรรพนามที่กันต์ศิตางค์เรียกขานเขาเปลี่ยนไปเหมือนเป็นชั่ววูบของความรู้สึกที่เธอระเบิดออกมาก หญิงสาวผลักร่างเขายกมือปาดน้ำตาบนใบหน้าตัวเอง
“เอาเถอะๆ เรื่องนี้เราอย่าพูดถึงมันอีกเลยดีกว่า พูดไปมันก็เหมือนจะตอกย้ำกันเปล่าๆ พี่อยากคุยเรื่องย่าหยาเท่านั้นเองจีนัสพอจะอยู่ฟังสักครู่ได้ไหม...นะ”
“รีบพูดมา...อยากให้ฟังก็จะฟัง” หญิงสาวตอบกระฟัดกระเฟียดเธอรู้ว่าถึงปฏิเสธแล้วหนีไปเขาก็จะตามตอแยอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อยู่ดี เธอยกมือกอดอกหันหน้ามองไปทางอื่นไม่อยากมองคู่สนทนา
“คือ...พี่ไม่อยากให้จีนัสแสดงอาการรังเกียจย่าหยาอย่างนั้น ถือว่าพี่ขอร้องนะอย่าให้หลานมันมีปมด้อยไปมากกว่านี้อีกเลย เขายังเด็กอยู่เรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็ไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลย ยังไง...เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นหลานเธอนะจีนัส”
“แค่นี้ใช่ไหมที่อยากพูด...จบแล้วใช่ไหม ฉันขอตัว” หญิงสาวสะบัดหน้าปล่อยแขนเดินลัดเลาะไปทางหน้าบ้านทันที โดยมีศิลาภินจ้ำอ้าวตามมาติดๆ จริงๆ แล้วเรื่องที่เขาจะพูดกับเธอยังไม่หมดหรอก แต่ไม่รู้จะเรียงลำดับมันยังไงเท่านั้นเอง
“มีอะไรอีกล่ะ...ถามมาทำไมฉันจะเข้าบ้าน”
“พี่ก็จะเข้าบ้านเหมือนกัน...” กันต์ศิตางค์ยิ่งโมโหเมื่อถูกยียวนเธอรีบเดินไม่เหลียวหลังเพื่อไปให้พ้นจากคนคนนี้เสียที
“อุ๊ย!!” โดยไม่ทันระวังร่างของเธอกลับเซไปตามแรงฉุดดึงจนปะทะกับอกแกร่ง ศิลาภินรีบพาเธอเข้าไปหลบตรงซอกตึกของบ้านซึ่งมีไม้ประดับตกแต่งอยู่หนาตารวมถึงต้นกุหลาบต้นใหญ่อำพรางบังอยู่
“อย่าดิ้นเลยจีนัส...พี่ขอร้องขอพี่กอดให้หายคิดถึงหน่อยนะ” ชายหนุ่มทำอย่างที่พูดเขากระชับร่างบางในแนบชิดกับตัว ซึมซับความอุ่นซ่านที่แสนคิดถึงมานานแสนนาน
“นี่!! ปล่อยนะปล่อย ปล่อยสิไอ้คนเห็นแก่ตัว!!”
“ใช่จีนัส...พี่มันเห็นแก่ตัว พี่รักเธอจนกลายเป็นเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าให้อภัย” ศิลาภินพูดอะไรบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ เขายังอิงซบเกยคางบนหัวไหล่เธอหน้าตาเฉยทั้งๆ ที่เธอทั้งดิ้นทั้งออกแรงผลัก มันกลับทำให้เขายิ่งรัดร่างบางๆ แน่นขึ้น
“ถ้าขืนยังไม่ปล่อยฉันจะเรียกให้คนช่วย ทีนี้คุณจะไม่มีสิทธิ์เข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้อีก ปล่อย!!” “เอาสิถ้าเธอตะโกนพี่จะจูบเธอ จูบให้ขาดใจตายต่อหน้าคนอื่นๆ เลยเป็นไง หรือยากลอง” ชายหนุ่มได้ทีขู่ เขาไม่ได้นึกกลัวใครจะรู้เห็นพฤติกรรมนี้แม้แต่น้อย ความกลัวจะไม่ได้กอดเธอมันมีมากกว่า “หน้าด้านหน้าทนที่สุด คุณไม่อายก็ควรให้เกียรติฉันบ้างเห็นฉันเป็นผู้หญิงข้างถนนหรือไงที่อยากทำอะไรก็ทำ”
“จีนัส...” “ใช่สิ...ฉันมันไม่เคยมีค่าอะไรอยู่แล้ว รักคนง่าย...ใจง่ายทำตัวสำส่อน พอกลายเป็นของเก่าก็ถูกเขี่ยทิ้งเหมือนหมาตัวหนึ่ง อยากเอาก็เอาอยากทิ้งก็ทิ้งเคยนึกถึงจิตใจฉันบ้างไหม” กันต์ศิตางค์จ้องหน้าเขาเขม็งราวโกรธแค้นกันมาสักร้อยชาติ ดวงตาเธอแดงก่ำปรือไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ศักดิ์ศรีของเธอถูกเขาย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบไม่มีเหลือความภาคภูมิใจใดๆ ไว้อีก
“จีนัส...พี่ขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ขอโทษในเรื่องที่ผ่านมา แม้มันจะแก้ไขและเอาลบความเจ็บปวดของเธอไม่ได้พี่ก็อยากให้รู้นะว่าพี่เสียใจจริงๆ”
ร่างบางยังคงถูกกอดกระชับเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เขาไม่ได้ตั้งใจจะฉวยโอกาสเพียงแต่ในเมื่อโอกาสมาถึงก็อยากใช้ช่วงเวลาน้อยนิดนี้ให้คุ้มค่าเท่านั้นเอง เขาลูบปลอบประโลมหญิงสาวที่ยังร้องไห้จนตัวสั่นด้วยแรงสะอื้น สี่ปีมานี้มันคงไม่ได้ช่วยให้จิตใจเธอดีขึ้นเลย ความรู้สึกถึงได้อ่อนไหวง่ายๆ เพียงแค่พูดคุยกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
“อย่าร้องเลยนะคนดี พี่...จะพยายามไม่ทำแบบนี้อีก...” เขาพูดทั้งที่ใจบอกในสิ่งตรงกันข้าม และไม่รู้คราวนี้จะรักษาคำพูดของตัวเองได้อีกหรือไม่ อย่างน้อยเขาก็ควรจะเกรงใจบิดามารดาของเธอบ้าง เพราะเขาเองก็อยู่ในฐานะลูกเขยที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของลูกสาวพวกเขาอีกคนหนึ่ง ซึ่งได้ลาจากโลกไปแล้ว
“ปล่อย...” น้ำเสียงใสที่ยังสั่นเครือบอกเขาและใช้มือผลักแผงอกหนาเบาๆ และเขาก็ยอมทำตามความต้องการของเธอแต่โดยดี
“เรื่องย่าหยาถือว่าพี่ขอร้องจริงๆ นะจีนัส อย่ารังเกียจแกเลย แกเป็นเด็กอาภัพที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น”
“ฉันจะพยายามถ้าคุณสัญญาว่าจะอยู่ห่างๆ ฉันระหว่างที่ยังพักอยู่ที่นี่”
“...” หญิงสาวยื่นคำขาดพร้อมข้อแลกเปลี่ยน อย่างน้อยมันก็เป็นวิธีที่ช่วยรั้งหัวใจเธอไม่ให้ถลำลึกไปมากกกว่านี้ เมื่อครั้งหนึ่งเคยเอ่ยว่าจาลั่นว่าจะไม่ยอมญาติดีด้วยกับคนสองคนที่ทำผิดศีลธรรมต่อเธอ ถ้ายังหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ มิกลายเป็นว่าเธอถ่มน้ำลายขึ้นฟ้าเป็นคนที่ทำผิดศีลธรรมเสียเองหรอกหรือ
จำไว้กันต์ศิตางค์ฐานะของเธอกับเขาตอนนี้คงเหลือแค่พี่เมียกับน้องเขยเท่านั้น
“ได้...พี่รับปาก” ศิลาภินบอกกับเธอเขารับปากแต่ยังไม่ยอมพูดว่าสัญญา แต่หญิงสาวดูไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่เธอสะบัดตัวออกจากเขาแล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไปปล่อยให้คนรักเก่าที่เปลี่ยนฐานะมาเป็นน้องเขยมองตามอย่างอาลัยอาวรณ์
“จีนัส...พี่รักเธอ รักเธอคนเดียว”