สายน้ำไม่เคยไหลย้อนกลับ ตอนที่ 1

2676 Words
สองหนุ่มสาวเดินตีคู่เข้ามาในศาลาวัดท่ามกลางสาวตาที่จับจ้องราวเป็นเรื่องแปลกประหลาด แน่นอนทุกๆ คน ณ ที่นี้รู้ดีว่าทั้งคู่เป็นใครเคยเป็นอะไรกัน และความสัมพันธ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร เนื่องจากต่างก็เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทชิดเชื้ออยู่ในละแวกเดียวกันทั้งนั้น เรื่องราวแบบปากต่อปากต่างก็เล่าขานเป็นทอดๆ กันไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน พอเวลาผ่านไปต่างก็ลืมเลือนเรื่องเก่าๆ เพราะมีเรื่องใหม่เข้ามาไม่ได้ใส่ใจอะไรกันอีก  แต่เมื่อเห็นอดีตคู่รักมาพร้อมกันอย่างนี้ย่อมเป็นที่สนใจธรรมดา อีกทั้งคนเป็นน้องสาวซึ่งก็คือภรรยาของชายหนุ่ม ได้เสียชีวิตไปแล้วหมาดๆ ดูลาดเลาแล้วต่างก็คิดไปต่างๆ นานา ว่าถ่านไฟเก่าคงจะคุก็คราวนี้แหละ “จีนัส...มาได้ยังไงลูก” “หนูมาไหว้ศพตามมารยาทค่ะคุณแม่”   หญิงสาวตอบไม่ยี่หระ เหลือบมองร่างหนาที่คอยตามเป็นเงาเชิงตำหนิ ว่าเป็นการไม่สมควรแล้วที่จะมาติดแจกับเธอในที่สาธารณะแบบนี้ ศิลาภินก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองทำเกินหน้าที่ และเริ่มเป็นที่จับตามองจึงปลีกตัวไปอุ้มบุตรสาวจากตักของจิตนารี แล้วหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาสำหรับเจ้าภาพบ้าง กันต์ศิตางค์ถอนหายใจยาวๆ เม้มริมฝีปากเข้าหากัน ราวพยายามข่มอารมณ์บางอย่างไม่ได้หลุดออกมา เธอยื่นกระเป๋าถือฝากไว้กับมารดาและเดินไปยังที่ตั้งโลงศพของน้องสาวต่างแม่ มือสองข้างกำเข้าหากันแน่น เหงื่อไหลซิกร่างกายของเธอเย็นชืดราวน้ำแข็ง หัวใจเต้นสั่นรู้สึกเหมือนลมพัดวูบอยู่รอบตัว เธอยืนจ้องรูปถ่ายหน้าศพที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สดสวยงาม แต่...ความงามของดอกไม้หมองหม่นไปเลยยามมันอยู่คู่กับน้องสาวของเธอ ฉัตรชฎาช่างงดงาม น่ารัก และสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ตอนมีชีวิตอยู่เธอก็ร่าเริงสดใสราวกุหลาบแรกแย้ม ไม่นึกเลยว่าพอได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง พี่สาวคนนี้จะได้เห็นแค่รูปหน้าศพและโลงที่บรรจุร่างเท่านั้น อนิจจาชีวิตที่เปรียบเหมือนกันและกันครึ่งหนึ่งได้จากหายไปแล้ว “จีน...” กันต์ศิตางค์เรียกชื่อน้องสาวเบาๆ พร้อมรับธูปที่เด็กรับใช้ส่งให้เธอพนมมือไหว้มองไปยังโลงศพสีขาวมุขซึ่งประดับลวดลายเส้นสีทองสวยงาม ไม่มีใครรู้ว่าสายตาแดงก่ำนั้นจ้องมองสิ่งใดกันแน่ ไม่มีใครรู้ว่าใจของพี่สาวที่เคยถูกน้องสาวแท้ๆ ทรยศคิดอะไรอยู่ และไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังสื่อสารสิ่งใดกับน้องสาวผู้ล่วงลับจากใจ...ถึงใจ                                           กันต์ศิตางค์พนมมืออยู่ครู่หนึ่งก็ก้มลงกราบและปักธูปลงในกระถาง เธอคลานเข่าถอยหลังและยืนขึ้นเมื่อพ้นจากเสื่อสำหรับรองนั่ง จ้องมองรูปถ่ายด้วยสายตานิ่งงันก่อนจะหันหลังกลับและเดินตรงไปยังบิดาและมารดา “หนูกลับล่ะนะคะ เดี๋ยวให้น้าพลไปส่งหนูด้วย” เธอขอกระเป๋าถือจากมารดาและบอกลารวดเดียว แม้จะยังงงๆ กับเหตุการณ์อยู่แต่จิตนารีกับชนชาติก็ดีใจเป็นที่สุดที่เห็นลูกสาวคนโตมายืนอยู่ตรงนี้...ในวันนี้ วันสุดท้าย “จีนัสไม่ฟังพระสวดหน่อยเหรอลูก คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของน้องแล้วนะ” “แค่นี้น่าจะพอใจกันแล้วนะคะ อย่าให้หนูต้องทำอะไรที่ฝืนใจตัวเองไปมากกว่านี้เลยค่ะ หนูขอร้อง”  หญิงสาวบอกอย่างตรงไปตรงมาเธอรับกระเป๋ามาถือแล้วรีบหลบหน้าเดินไปยังที่จอดรถรถคนขับทันที และไม่หันหลังกลับมาดูบนศาลาอีกเลยว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็นจุดเด่นของงานสักแค่ไหน  ศิลาภินนั้นมองร่างบางในชุดดำเดินไปจนลับตา เขาอยากจะไปส่งกลับด้วยตัวเองติดตรงที่ใกล้เวลาพระสวดแล้ว ในฐานะสามีของผู้ตายจะออกไปข้างนอกเวลานี้มันจึงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ใครจะรู้ไหมว่าท่าทีแข็งกร้าวที่แสดงออกไปกับวาจามะนาวไม่มีน้ำนั้นเป็น เพียงกำแพงกั้นตัวเองจากความอ่อนแอเท่านั้น ลับหลังคนทั้งศาลากันต์ศิตางค์ถึงกับปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น สมองเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีตผุดพรายขึ้นมาอย่างชัดเจน ทุกภาพทุกตอน ทุกช่วงเวลาแห่งความผูกพันของสองพี่น้องแน่นแฟ้นเหนือสิ่งใด วันนี้...เธอกลับต้องอยู่ตามลำพัง โดยที่น้องสาวร่วมสายเลือดชิงหนีไปสบายเสียก่อนแล้ว ฉัตรชฎาทิ้งเธอไว้ให้เผชิญความทุกข์บนโลกใบนี้ต่อเพียงลำพัง ช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดแท้ๆ กลับไม่ยอมอยู่รับผิดชอบมันให้ถึงที่สุด “จีน...จีนน้องพี่....” ย้ำเสียงสั่นเครือออกมาจากปากอย่างอาลัย คนสองคนที่เคยอยู่ด้วยกัน ผูกพันกันทั้งทางสายเลือด ความรู้สึกและหัวใจยามนี้ต้องมาจากกันอย่างไม่มีวันหวนกลับมันเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสเหลือเกิน  แม้ครั้งหนึ่งจะมีเรื่องบาดหมางอย่างไม่เคยคิดให้อภัยแต่เมื่ออีกคนหนึ่งไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว อีกคนที่เหลือย่อมสะเทือนใจ รู้สึกถึงความสูญเสียนั้นได้ถึงใจเป็นธรรมดา คนขับรถเดินไล่หลังมาแล้วกันต์ศิตางค์จึงเปิดประตูด้านหลังเข้าไปนั่งในรถเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตัวเอง รถเคลื่อนตัวออกจากตัววัดหญิงสาวมองไปที่ศาลาตั้งศพจนลับตา ต้องจากันแล้วจริงๆ น้องพี่ จากกันอย่างไม่มีวันเจอ...ชั่วนิรันดร์ ยามเช้าของบ้านหลังใหญ่ที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติในหนึ่งสัปดาห์ต่อมา กันต์ศิตางค์ยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดโดยไม่ได้ทำงานอะไรเป็นหลักแหล่ง เธอช่วยมารดาทำบัญชีบ้างเป็นบางครั้งเพื่อเรียนรู้ที่จะก้าวขึ้นมาบริหารงานทั้งหมด                                                                            มันไม่ใช่สิ่งที่เธอชอบแต่ก็คลุกคลีมาแต่เล็กแต่น้อยย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เด็กหญิงคุ้มขวัญตัวน้อยก็อยู่ที่บ้านเดียวกับเธอเช่นกัน มักจะหลบตามซอกตามมุมเพื่อแอบมองเธออยู่บ่อยครั้ง แต่หญิงสาวก็ไม่เคยชายตาสนใจไยดี ด้านศิลาภินนั้นได้ยินชนชาติคุยกับจิตนารีว่า กลับไปบ้านในตัวเมืองเพื่อเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ ชายหนุ่มมีบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในเป็นของตัวเอง แม้จะเป็นแค่บริษัทเล็กๆ ที่มีพนักงานไม่กี่คนแต่เขาก็บริหารมันได้ดีมีลูกค้าบอกต่อกันปากต่อปากจนมีงานไม่ขาดมือ บางครั้งมัณฑนากรหนุ่มยังมีงานในต่างจังหวัดที่ต้องเดินทางไกลและไปอยู่เป็นแรมเดือนก็มี นับว่าธุรกิจของเขาค่อนข้างราบรื่นและมั่นคงขึ้นทุกวันๆ “จีนัส...ไม่กินข้าวกินปลาเสียล่ะลูก อีกเดี๋ยวตามพ่อเขาเข้าไปในสวนนะ วันนี้มีลูกค้าประจำรายใหญ่มาดูสินค้าพ่อเขาอยากแนะนำให้รู้จักกันไว้ ต่อไปลูกจะได้ทำงานกับเขาได้สะดวก” “หนูยังไม่หิวค่ะคุณแม่...งั้นเดี๋ยวหนูไปหาคุณพ่อเลยก็ได้ค่ะ” หญิงสาวบอกมารดาแต่สายตาขุ่นนั้นตวัดมองเด็กน้อยที่ถูกอุ้มไว้แนบอก คุ้มขวัญรีบกอดคอผู้เป็นยายแล้วซบหน้าบนบ่าเป็นการหลบเพราะค่อนข้างกลัวกับสายตาคู่นี้ “ดูทำเข้าย่าหยาตกใจหมด...” “ทำอะไรคะยังไม่ได้จับมาฉีกอกซะหน่อย” “จีนัส!! เรานี่ชักแรงขึ้นทุกวันแล้วนะกับเด็กก็ไม่เว้น” จิตนารีตำหนิบุตรสาว แต่ดูเจ้าหล่อนจะไม่ค่อยใส่ใจนัก กันต์ศิตางค์ยักไหล่แบะปากอย่างไม่แยแสก่อน จะเดินผ่านร่างมารดาเข้าไปเตรียมตัวในบ้านก่อนที่เธอจะต้องออกไปหาบิดาที่สวนผัก                                                                   แดดยามบ่ายไม่ถือว่าร้อนจัด แถมที่แปลงผักบางชนิดยังมีสแลน (Slan) คลุมไว้ทั่วเพื่อป้องกันแสงแดดเผาทำลาย โดยเฉพาะที่ยังเป็นต้นกล้ายิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ หญิงสาวในชุดกางเกงขายาวสีดำเสื้อยืดสีฟ้าสดคลุมทับด้วยเสื้อแขนยาวสีดำอีกที สวมถุงเท้าและรองเท้าบูตตามแบบฉบับคนทำงานในสวนเดินไปหากลุ่มคนที่มีบิดารวมอยู่ด้วย ผมยาวสยายของเธอถูกรวบและผูกเป็นหางม้าไว้ด้านหลังเผยใบหน้าสวยให้เด่นสง่าแม้ไม่มีเครื่องสำอางมาตกแต่งใดๆ “คุณพ่อ...” กันต์ศิตางค์เอ่ยเรียกบิดา ที่อยู่ในชุดชาวสวนเต็มรูปแบบ มีหมวกปีกกว้างสวมไว้บนหัวด้วย ในมือก็ถือสินค้าซึ่งคือผัก คงเป็นการสาธิตอะไรบางอย่างให้ลูกค้าเหล่านั้นดู ไม่น่าเชื่อว่าจะมากันหลายคนด้วย หญิงสาวมองกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ชายทั้งหมดซึ่งหันมาทางเธอพร้อมๆ กันตามเสียงเรียกเมื่อครู่ “จีนัสมาแล้วเหรอ...นี่คุณอากรแล้วนี่ก็คุณกิตติธัชลูกชายส่วนอีกสองสามคนนั่นก็เป็นคนงานของคุณอากรเขาน่ะ รู้จักไว้สิลูกนี่ลูกค้าคนสำคัญของเราเลยนะ” ชนชาติยิ้ม รีบแนะนำผู้มาเยือนให้บุตรสาวได้รู้จัก “สวัสดีค่ะ...เอ่อคุณลุงสวัสดีค่ะคุณกิตติธัช” เธอยกมือไหว้ผู้อาวุโสที่ดูจะมีอายุมากกว่าบิดา และบุตรชายของเขาที่ดูแล้วคงแก่กว่าเธอไม่กี่ปีและยิ้มให้เหล่าคนงามตามมารยาท และทั้งก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตร “ไหว้พระเถอะหนู...อืม...คุณชาติเนี่ยโชคดีนะครับมีลูกสาวสวยทั้งสองคนเลย เสียดายที่หนูจีนจากไปเสียแล้วน่าใจหายอยู่เหมือนกันนะครับ” “ครับ...จีนเขาไปสบายแล้ว พวกเรายังคิดถึงเขาตลอดยังไงก็ไม่มีวันลืมกันลงหรอกครับ” ชนชาติสีหน้าเศร้าทันทีเมื่อเอ่ยถึงบุตรสาวคนเล็กผู้ล่วงลับ ก่อนที่ทั้งหมดจะหันมาสนใจการสนทนาเกี่ยวกับธุรกิจอีกครั้ง โดยกันต์ศิตางค์นั้นเริ่มรู้สึกว่าถูกจับจ้องโดยสายตาจากชายหนุ่มชื่อกิตติธัชอย่างน่าอึดอัดเลยทีเดียว  หลังจากติดตามบิดาฟังไปเรื่อยเปื่อยเธอถึงได้รู้ว่าที่แท้นายอากรกับบุตรชายเป็นเจ้าของโรงงานแปลรูปสินค้าจำพวกผักและผลไม้ พวกเขาจึงสั่งสินค้าจากทางบิดาของเธอครั้งละมากๆ เพื่อนำไปแพ็คเป็นผลิตภัณฑ์ในนามบริษัทอีกที  ก็ถือได้ว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ได้จริงๆ เกือบสองชั่วโมงกว่าการมาตรวจดูคุณภาพของผักสดชนิดต่างๆ จะผ่านลุล่วงไปด้วยดี “เยี่ยมมากครับปลอดสารพิษจริงๆ แถมดูแลกันดี จนผลผลิตออกมาสวยอย่างนี้ผักในสวนของคุณชาติถึงได้ขายดีไม่เคยเหลือค้างอย่างเจ้าอื่นเขา” อากรกล่าวอย่างชื่นชมในความเอาใจใส่ของเจ้าของไม่ขาดปากขนาดทั้งหมดเดินทางกลับ “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เราไม่ได้จ้างคนนอกมาดูแลมีแต่พวกชาวบ้านคนกันเองทั้งนั้นเลยสนิทใจจะช่วยงานกันเต็มที่ ผลงานมันก็เลยออกมาดีครับ ส่วนเรื่องปลอดสารพิษผมรับประกันได้เลยผมถูกปลูกฝังเรื่องนี้มาตั้งแต่เล็กแต่น้อยว่าเมื่อเราหากินกับธรรมชาติเราก็ต้องดูแลรับผิดชอบธรรมชาติมันด้วยจะได้พึ่งพากันไปอีกนานๆ” ชนชาติกล่าวไปยิ้มไปอย่างภาคภูมิใจ                                                                                             “อ่ะ...ถึงรถคุณซะทีผมกับลูกสาวส่งแค่นี้นะครับ น่าเสียดายที่พวกคุณไม่ว่างกันไม่งั้นได้นั่งทานมื้อเย็นกันซักมื้อ”                                           “เอาไว้วันหลังก็ได้ครับคุณชาติ เรายังต้องร่วมทำธุรกิจด้วยกันอีกนานเชียวล่ะ” “ครับๆ ฮ่าๆ” สองหนุ่มใหญ่หัวเราะร่วน ด้วยคุยกันถูกคอมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คงมีแต่กิตติธัชที่แอบจ้องสาวเจ้าไม่ยอมวางตา “เอ่อ...ผมลาล่ะครับคุณน้า...ผมกลับก่อนนะครับคุณจีนัสหวังว่าเราคงมีโอกาสได้เจอกันอีกนะครับ” “ค่ะ...สวัสดีค่ะ” กันต์ศิตางค์เพียงยิ้มรับและกล่าวลาทั้งหมดในทีเดียวกัน เมื่อลูกค้าคนสำคัญพากันกลับไปแล้วสองพ่อลูกก็เดินเคียงข้างกันมุ่งหน้ากลับบ้าน นี่ก็ใกล้ถึงมื้อเย็นของครอบครัวแล้ว “คุณลุงอากรนี่ดูท่าทางอัธยาศัยดีนะคะ คุยกับคุณพ่อถูกคอเชียว” “ฮะๆ ก็ธรรมดาคนทำงานกันมาพักใหญ่ๆ แล้วน่ะลูก คุณอากรเขานิสัยดี ไม่เอาเปรียบคน ลูกชายเขาก็เจริญรอยตามพ่อเขานะ” “เหรอคะ” “หืม...ดูลูกสาวพ่อเหมือนไม่ค่อยชอบคุณกิตติธัช มีอะไรหรือเปล่าหรือชังขี้หน้าที่เขาแอบมอง” “คุณพ่อรู้...” หญิงสาวมองหน้าบิดาอย่างค้นหา เธอไม่รู้เลยว่ามีคนอื่นแอบสังเกตอยู่ด้วยนอกจากตัวเธอเอง ก็เห็นตลอดเวลาบิดาของเธอก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะรับรู้อะไรนอกจากจะคุยกับเพื่อนร่วมธุรกิจ “แหม...พ่อน่ะแก่ปูนนี้แล้วนะจีนัส แถมมีลูกสาวสวยก็ต้องจับตาดูเป็นพิเศษล่ะว่า ใครมันมาเกาะมาแกะลูกสาวพ่อบ้าง” “คุณพ่อนี่ร้ายเหมือนกันนะคะ เห็นเฉยๆ แบบนี้ร้ายเงียบนะเนี่ย” “ฮะๆ แน่นอนๆ พ่อเห็นลูกทำหน้าบูดทุกทีเวลาเขามอง ไม่ชอบหน้าเขาเหรอลูก ถ้านึกกลัวล่ะก็ไม่ต้องกลัวหรอกคุณกิตติธัชเขาเป็นคนดี ไว้ใจได้” ชนชาติบอกกับบุตรสาว “เอ...ยังไงคะเนี่ยรู้สึกเหมือนถูกหลอกให้มาดูตัวเลยเนี่ย” กันต์ศิตางค์ทำตาเหล่เจ่าเล่ห์ใส่บิดา จากคำพูดนั้นมันตหงิดๆ เหมือนชายหนุ่มคนดังกล่าวถูกตาต้องใจเอาเสียเหลือเกิน “เปล่า...สำหรับพ่องานก็คืองาน เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว คู่ครองของลูกๆ ก็ต้องเป็นคนเลือกเองเพราะจะต้องอยู่กันไปชั่วชีวิต ให้คนอื่นเลือกให้น่ะมันไม่ดีหรอก พ่อแค่เห็นลูกทำเหมือนไม่ค่อยชอบคุณกิตติธัชเขา เลยบอกไว้เผื่อจะคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี” ชนชาติกล่าว เขาเป็นพ่อที่ดีของลูกๆ เสมอแม้จะเคยเป็นสามีทำผิดร้ายแรงมาก่อน บทเรียนชีวิตที่ผ่านมาบอกให้เขารู้ว่าควรใช้ความระมัดระวังตัวเองอยู่ทุกลมหายใจ หากพลาดพลั้งแล้วใครก็ไม่มีสิทธิ์ไปแก้ไขมันได้ “ขอบคุณค่ะพ่อ...หนูคิดว่าคงอยู่กับพ่อกับแม่ดีกว่าค่ะ” “ไม่เอาน่าจีนัสอย่าปิดกั้นตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเรากลับไปแก้ไขไม่ได้เรา อยู่ให้มีความสุขกับปัจจุบันดีกว่านะลูก ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามชะตาลิขิตอย่าไปฝืน จะไปผูกมัดตัวเองให้จมอยู่กับอดีตทำไม หืม...” “ค่ะ...หนูดีใจค่ะที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อ” กันต์ศิตางค์โผกอดบิดาที่เดินเคียงข้างด้วยความซาบซึ้ง ไม่ว่าจะมีปัญหามากมายซักแค่ไหน บุพการีของเธอทั้งสองก็ยินดีให้ความช่วยเหลือและเคารพการตัดสินใจของเธอเสมอ อาจมีบางครั้งที่ตักเตือนว่ากล่าวแนะนำรั้งให้ชีวิตที่หันเหกลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้องอีกครั้ง สองพ่อลูกเดินกอดกันไปคุยกันไปจนกระทั่งถึงบ้าน ภายในใจของทั้งคู่ที่ไม่ได้เอ่ยออกมาต่างคิดถึงใครคนหนึ่ งซึ่งเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ร่วมกันอย่างมีความสุขมาก่อน สามคนพ่อลูกที่ใครๆ ได้เห็นเป็นต้องอิจฉา...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD