สายน้ำไม่เคยไหลย้อนกลับ ตอนที่ 3

3075 Words
ตะวันบ่ายคล้อยเข้าไปแล้ววันนี้กันต์ศิตางค์ต้องเข้าไปในสวนผักเพื่อดูการดูแลรักษาของผักแต่ละประเภท เธอต้องคอยศึกษาไปทีละชนิดทีละอย่างอย่าสนใจโดยมีบิดาเป็นคนคอยชี้แนะ                                             อาชีพการเกษตรพื้นบ้านที่ครอบครัวเป็นเจ้าของเป็นเพียงธุรกิจเล็กๆ แต่มันก็ทำรายได้พอสมควร นั่นเพราะบรรดาลูกค้าต่างพอใจในชื่อเสียงของชนชาติรวมถึงคุณภาพของสินค้าด้วย                                      เมื่อคืนหญิงสาวยอมรับว่านอนไม่หลับเลยเธอกระสับกระส่ายใจสั่นระรัวจนปิดตาให้หลับไม่ลง เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้ใกล้ชิดกับเธอแบบถึงเนื้อถึงตัวตั้งแต่กลับมารอบนี้ ความรู้สึกร้อนผ่าวที่ว่ามันพานให้คิดถึงบทรักครั้งยังคบหาเป็นคนรักกันอยู่ ใช่...เธอไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์เธอเป็นของเขาไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนด้วยความไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก ตอนนั้นเธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ติดอยู่ในวังวนแห่งฝันหวานเชื่อมั่นว่ารักแท้มีอยู่จริง ที่สุดแล้วมันกลับทำให้เธอต้องตกนรกอเวจีไปชั่วชีวิต จมอยู่กับความเจ็บปวดช้ำใจไปชั่วกัปชั่วกัลป์ “จีนัส...จีนัสเป็นอะไรหรือเปล่าลูก” “คะ...คุณพ่อ คือไม่ได้เป็นอะไรค่ะ เมื่อกี้คุณพ่อว่าไงนะคะ” หญิงสาวหลุดออกมาจากความเหม่อลอย หันไปมองบิดาที่กำลังคุยอะไรด้วยก็ไม่รู้ เธอได้ยินเพียงเสียงแว่วๆ เมื่อสักครู่ “เมื่อกี้คุณอากรโทรมาบอกว่าจะมาทานข้าวที่บ้านกับเรา พ่อกำลังบอกลูกว่าเราต้องกลับกันแล้ว” หนุ่มใหญ่บอกกับบุตรสาวอีกครั้งหลังจากเขาพูดคนเดียวอยู่เป็นนานสองนานทั้งๆ ที่กันต์ศิตางค์ก็เดินเคียงคู่กันมาตลอด                                                                                                          “ค่ะ...ดีสิคะคุณพ่อจะได้คุยกับเพื่อนรู้ใจอีกแล้ว” “คุณอากรเขาพาลูกชายมาด้วย...พ่อว่างานนี้ชักยังไงๆ อยู่นะ ใครไปโปรยเสน่ห์อะไรไว้รึเปล่าหนุ่มๆ ถึงได้ตามกลิ่นมาขอทานมื้อค่ำด้วยเนี่ย” มิวายคนเป็นพ่อจะกระเซ้าเย้าแหย่บุตรสาว เขาผ่านโลกมามากและไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลกีดกันโอกาสของลูก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เคารพการตัดสินใจของเจ้าตัวเช่นกัน “บ้าสิคะ คุณอากรคงมีธุระอยากคุยกับคุณพ่อมากกว่าเห็นถูกคอกันดีจัง” “อืม...แต่เขาไม่เคยนัดทานข้าวที่บ้านเลยนะมีแต่ชวนออกไปข้างนอก” “คุณพ่อล่ะก็แซวหนูอีกแล้วนะคะ เรารีบไปกันดีกว่าค่ะหนูจะได้ช่วยคุณแม่ทำกับข้าว” เมื่อกลับมาถึงบ้านก็พบว่าสองพ่อลูกมารออยู่แล้ว กันต์ศิตางค์กับบิดาจึงไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะออกมาทำหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดี หนุ่มใหญ่คู่หูทางธุรกิจต่างพูดคุยกันถูกปากเฮฮาปราศรัยลั่นห้องรับแขก โดยมีกิตติธัชนั่งฟังอย่างอารมณ์ดี กันต์ศิตางค์เข้าไปช่วยมารดาปรุงอาหารร่วมกับแม่บ้านและอ้อบุตรสาวของนางรวมถึงจันทร์ แม่บ้านอีกคนคอยช่วยเป็นลูกมือ มื้อค่ำของบ้านวันนี้มีแขกพิเศษมาร่วมรับประทานอาหารด้วย เมนูเลยดูหลากหลายไม่เหมือนเช่นทุกวัน เธอรู้สึกเหมือนบรรยากาศเก่าๆ หวนกลับมาอีกครั้ง นานแล้วที่บ้านหลังนี้คงไม่ได้ครื้นเครงกันซักเท่าไหร่... “จันทร์...คุณธีร์กับย่าหยามากันรึยังนี่ก็มืดค่ำแล้วสองพ่อลูกนี่น่าตีนักยังไม่ยอมกลับกันมาอีก” จิตนารีเอ่ยถามแม่บ้านที่ช่วยทำงานให้กับเธอ “ยังค่ะพี่นารี คนพาลูกไปสมัคเรียนคงเยอะค่ะอีกอย่างคุณธีร์ก็เป็นผู้ชายคงไม่คล่องเท่าไหร่กับเรื่องแบบนี้นะคะ” “อืม...ฉันบอกแล้วว่าให้ฉันไปด้วยก็ไม่ยอม ทำผิดๆ ถูกๆ ลูกไม่ต้องเข้าเรียนกันพอดี” จิตนารีหั่นผักบนเขียงต่อขณะที่ส่ายศีรษะอย่างหน่ายๆ ไปด้วย กันต์ศิตางค์แม้ไม่ยอมพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไร แต่เธอก็ฟังอยู่ มิน่าวันนี้ตั้งแต่เช้าถึงไม่เห็นสองพ่อลูกนั่นเลยที่แท้พากันไปสมัคเรียนนี่เอง “จีนัสเดี๋ยวยกแกงนี่ออกไปก่อนนะลูกให้อ้อมันช่วยก็ได้ เหลือมัสมั่นไก่อีกอย่างเดียวก็เสร็จหมดแล้วไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยนะ เดี๋ยวแขกเขาจะคอย” “หนูอาบน้ำแล้วนะคะแม่” หญิงสาวทำหน้าหงิกเมื่อถูกใช้เหมือนเธอมอมแมมเอาหนักหน้า “เอาน่า...โดนกลิ่นแกงกลิ่นเนื้อเข้าไปน่าเกลียด ไปๆ ชักช้าไม่ต้องกินกันพอดี” กันต์ศิตางค์ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วออกไปตามคำสั่งมารดา เธอขึ้นไปบนห้องเพื่อดูความเรียบร้อยของตัวเองก่อนจะเดินลงบันไดเพื่อไปยังห้องอาหาร เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เธอต้องหยุดฝีเท้าตรงขั้นบันได “คุณจีนัส...” คุ้มขวัญยกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างนอบน้อมตามที่ถูกสอนสั่งมาเธอหงอยลงถนัดตาทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังร่าเริงดีอยู่ แต่สรรพนามที่เธอเรียกทำให้คนเป็นพ่อที่อุ้มต้องหันมองหน้าหญิงสาว “คุณเหรอ...ทำไมย่าหยาต้องเรียกป้าเขาว่าคุณด้วยครับลูก” “ฉันให้เรียกเอง...ตามฐานะเด็กคนนี้ก็ควรเรียกฉันแบบนี้แหละ”       “ไม่เกินไปหน่อยเหรอจีนัสนี่หลานเธอแท้ๆ นะ” ศิลาภินเริ่มออกอาการฉุนกับการแบ่งชั้นวรรณะของหญิงสาวตรงหน้า ที่เขาขอร้องเธอไว้คงไม่ได้ผลอะไรเลย “หลานเหรอ...แค่เด็กที่เกิดจากความมักง่าย ฉันไม่เคยนับญาติ!” พูดจบหญิงสาวก็เดินสะบัดตัวผ่านสองพ่อลูกไป ศิลาภินพยายามข่มอารมณ์ขุ่นมัวในอกสุดขีด เพราะไม่อยากให้คุ้มขวัญตกใจไปมากกว่านี้ เขามองเด็กน้อยที่ก้มหน้าละห้อยด้วยความสงสาร คุ้มขวัญโตพอที่จะรู้ว่ากันต์ศิตางค์ไม่ได้ชอบใจเธอเสียเท่าไหร่ เพราะมักมองด้วยสายตาดุๆ ตลอดและไม่เคยพูดจากันแบบจริงจังสักครั้ง “ย่าหยา...ไม่เป็นไรนะลูกพ่ออยู่นี่พ่อรักหนูนะ” “ทำไมคุณจีนัสไม่คุยดีกับน้องหยาคะ” “เอ่อ...ป้าเขาเป็นคนอย่างนั้นแหละ จริงๆ แล้วเขาเป็นคนใจดีมากเลยรู้ไหม” “น้องหยาเป็นเด็กมักง่ายเหรอคะคุณพ่อ...เมื่อกี้คุณจีนัสบอก” คุ้มขวัญยังถามจ้อน้ำเสียงเศร้าหงอย ด้วยความเป็นเด็ก เธอแปลไม่ออก     หรอกว่าความหมายของคำพูดผู้ใหญ่หมายถึงสิ่งใด คงได้แต่นึกว่าตนเองถูกด่าว่าเท่านั้น “ไม่ใช่หรอกจ้ะ...ย่าหยาจะมักง่ายได้ไง หืม...พ่อเคยบอกแล้วไงว่าบางครั้งเรื่องของผู้ใหญ่พูดไปลูกก็ยังไม่เข้าใจ รอให้โตอีกหน่อยแล้วค่อยๆ เรียนรู้นะ ตอนนี้...เราไปอาบน้ำกันดีกว่าคุณตาคุณยายรอแย่แล้ว” “ค่ะ...น้องหยาหิ๊วหิวค่ะ” คุ้มขวัญจับหน้าท้องแล้วลูบๆ ยืนยันว่าที่เธอพูดมานั้นเป็นความจริง เด็กหนอเด็กใช้เวลาไม่นานพอเรื่องอื่นเข้ามาแทรกก็ลืมเรื่องเก่าได้แล้ว ศิลาภินมองลูกสาวตัวน้อยอย่างเขาลูบศีรษะเล็กทุยอย่างเอ็นดู พานนึกถึงคนใจดำที่กล้าสาดวาจาร้ายๆ ใส่เด็กน้อยไร้เดียงสาคนนี้ ถ้าเธอไม่ทำตามคำพูดเขาก็จะไม่ทำตามที่เคยรับปากเอาไว้เหมือนกัน                                                                                               เมื่อได้เวลาทุกคนต่างมารวมกันอยู่ที่โต๊ะอาหารศิลาภินกับบุตรสาวมาทันมื้อค่ำกับเขาพอดี สองพ่อลูกนั่งป้อนข้าวดูแลกันเหมือนทุกๆ วัน ชนชาติก็สนทนาอยู่กับคู่หูเช่นเคยดูเหมือนพวกเขามีเรื่องเล่าไม่มีจบสิ้นเสียที           กิตติธัชดูจะทำความสนิทกับกันต์ศิตางค์ได้มากขึ้น ทั้งคู่เริ่มคุยกันตักอาหารให้กันหัวร่อต่อกระซิก ซึ่งทุกอย่างอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่รวมถึงใครบางคนที่เหลือบมองด้วยความไม่พอใจเป็นระยะ  ศิลาภินพยายามเก็บอาการตัวเองไม่ให้แสดงออกเกินหน้าเกินตา ทั้งๆ ที่อยากลุกไปกระชากว่าที่ศัตรูหัวใจมาซัดให้ล้มคาโต๊ะนี่สักหลายๆ รอบ “อาหารอร่อยครับ นี่ทำกินกันเองทุกวันเลยเหรอครับ” “ค่ะ เราทำกันเองทุกวัน วัตถุดิบเราก็มีเยอะแยะซื้อก็แค่พวกของคาว อย่าลืมซิคะบ้านฉันน่ะมีผักเป็นสวนๆ เลยอยากกินอะไรไม่เคยต้องซื้อหาค่ะ” “ฮะๆ นั่นสิครับ ผมแค่ทึ่งนิดหน่อยเห็นทุกคนทำงานกันเหนื่อยๆ นึกว่าจะจ้างแม่ครัวกันเสียอีก” “เรามีแม่บ้านคนหนึ่ง แล้วก็แม่ครัวกับลูกสาวมาช่วยด้วย น้าจันทร์กับพี่อ้อค่ะแกช่วยเราดูแลทุกอย่างเกี่ยวกับงานบ้านอยู่แล้ว ก็...ช่วยๆ กันน่ะค่ะ คนละไม้คนละมือ” สองหนุ่มสาวยังคงพูดคุยกันตลอดเวลาที่นั่งรับประทานอาหาร เนื่องจากมีที่นั่งติดกันพอดีบรรยากาศดูเป็นกันเองจนเกินไปสำหรับใครบางคน                                                                         เมื่อมื้อค่ำอันแสนสุขผ่านลุล่วงไปแล้ว ทั้งหมดยกเว้นศิลาภินกับคุ้มขวัญต่างมานั่งเล่นดูทีวีกันในห้องรับแขกต่อ ก่อนที่สองพ่อลูกจะลากลับในเวลาดึกพอสมควร กันต์ศิตางค์เป็นคนเดินออกมาส่งทั้งคู่ที่รถ เธอไม่รู้หรอกว่าทุกการเคลื่อนไหวถูกใครบางคนจ้องดูอย่างไม่วางตา ศิลาภินแยกตัวจากทุกคนเพื่อนำคุ้มขวัญเข้านอน หนูน้อยเริ่มโยเยเพราะความง่วงและคิดถึงแม่เหมือนเคย พ่อลูกอ่อนอย่างเขาต้องดูและอยู่เกือบตลอดเวลา โชคดีที่มีแม่ยายและแม่บ้านคอยช่วยบ้าง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเลี้ยงดูเด็กสามขวบคนหนึ่ง ที่เพิ่งขาดแม่ให้มีความรู้สึกเหมือนเธอยังไม่ขาดอะไรไป เขาลุกจากเตียงของลูกสาวตัวน้อยหลังจากเธอหลับไปแล้ว สายตามมองผ่านหน้าต่างห้องลงไปด้านล่างยังลานจอดรถ เขาเห็นกันต์ศิตางค์เดินไปส่งสองพ่อลูก เธอเดินเคียงคู่ไปกับกิตติธัชโดยที่อากรนั้นเดินนำหน้าไปก่อนทำราวกับเปิดโอกาสให้สองหนุ่มสาว  มือใหญ่ของเขากำเข้าหากันแน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน กลืนน้ำลายลงคอด้วยความเจ็บร้าวใจ ยืนเหม่อมองออกไปแล้วพานคิดถึงความเพียบพร้อมของตายหนุ่มคนนั้นช่างแตกต่างกับคนมีตำหนิอย่างเขานัก แค่ฐานะทางสังคมก็กินขาดเข้าเส้นชัยทั้งๆ ที่ไม่ได้ลงแข่งแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับโอกาสจับจองหัวใจเจ้าของร่างงามนั่นแต่บัดนี้ทุกอย่างได้หลุดลอยไปแล้ว และไม่รู้ว่าจะไขว่คว้าคืนมาได้หรือเปล่า ถ้าได้...ก็คงยากเย็นแสนเข็ญเช่นกัน ชายหนุ่มหลับตาลงคล้ายคนเหนื่อยหนัก นึกย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนที่ได้เจอกับเธอคนนี้ครั้งแรก เหมือนทุกอย่างดลใจบอกว่าเขาว่านี่แหละคือคนที่ใช่ทำหรับทั้งชีวิต เขาตกหลุมรักเธอทันที หลงใหลเธอในวินาทีแรกที่พบกันก็ว่าได้                                                                             แต่เดิมนั้นเขาเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ทั้งบิดาและมารดาบังเกิดเกล้าเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ฐานะทางบ้านไม่ได้ดีนักญาติพี่น้องก็เอาแต่ผลักไสจะให้ไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โชคดีที่อรนาถ มารดาของฉัตรชฎากับยายน้อยซึ่งเป็นแค่เพื่อนบ้านยอมรับเข้ามาดูแล ให้ความเมตตารักเขาเหมือนลูกหลานแท้ๆ ตอนนั้น  ฉัตรชฎายังเป็นเด็กน้อยวัยขวบกว่าๆ เท่านั้น เธอติดเขาแจเพราะคิดว่าเป็นพี่ชายแท้ๆ ทั้งคู่อายุห่างกันถึงเก้าปี เขามีชีวิตใหม่อีกครั้งที่นั่น แต่ทุกอย่างก็ถึงจุดวิกฤติเกิดขึ้นอีกเมื่อต่อมาอรนาถล้มป่วย และเสียชีวิตในที่สุด ทิ้งเขากับฉัตรชฎาให้อยู่ในความดูและของยายน้อย  แต่ด้วยวัยที่เหยียบเจ็ดสิบเข้าไปแล้ว หัวเรือใหญ่ก็คือลูกสาวก็มาจากไปเสียอีก ยายน้อยจึงไม่มีทางจะเลี้ยงพวกเขาให้อยู่รอดอย่างสุขสบายได้เลย ฐานะก็ไม่ได้อยู่ดีกินดีมากนัก อาศัยตอนอรนาถยังมีชีวิตอยู่ทำข้าวแกงขายในตลาดพอหาเลี้ยงครอบครัวเท่านั้น เมื่อเงินทองที่ลูกสาวทิ้งไว้ให้ร่อยหรอลงทุกที ยายน้อยจึงตัดสินใจพาฉัตรชฎาไปให้บิดาแท้ๆ ของเธอเลี้ยงดู ส่วนตัวเขาก็ยังคงอาศัยกับยายวัยชราทำงานรับจ้างหลังเลิกเรียนพอให้มีรายได้ ต่อมายายน้อยที่พึ่งเดียวของเขาก็มาจากไปอีกคน ตอนนั้นเขาอายุย่างเข้าสิบห้าปีเห็นจะได้ โชคยังดีที่ก่อนตายยายน้อยได้ขายบ้านและที่ดินตรงนั้นเพื่อนำเงินก้อนสุดท้ายให้เขาได้ใช้จ่ายในการเล่าเรียนหนังสือ ซึ่งเขาก็เพิ่งมารู้ทีหลังตอนแกจากไปแล้วนั่นเอง...                           เด็กชายศิลาภินต้องระหกระเหินอีกครั้ง เขาไปขออาศัยอยู่กับหลวงตาที่วัด เพราะเงินก้อนสุดท้ายนั้นต้องเก็บไว้เป็นค่าเล่าเรียน เขาทำหน้าที่เด็กวัดทุกอย่างไม่เคยเกียจคร้าน จนสามารถเรียนจบมัธยมปลายได้อย่างใจฝันในที่สุด หลังจากนั้นเขาก็เสี่ยงสอบเข้ามหาวิทยาลัยในตัวเมืองของอีกจังหวัดหนึ่งที่ฉัตรชฎาอยู่ เพราะความคิดถึงอยากเจอและอยากดูแลน้องสาวซึ่งเปรียบเสมือนญาติคนเดียวที่มี ตามคำสั่งเสียของทั้งอรนาถและยายน้อย เขามีที่อยู่ของฉัตรชฎาที่ยายน้อยทิ้งไว้ให้ แต่ยังไม่มีโอกาสไปหาเพราะต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยตลอด จนผ่านไปหลายปีก็ยังไม่ได้เจอเสียที กระทั่งได้รู้ข่าวว่าเธอเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในตัวเมืองเช่นกัน เขาจึงไปหาเธอที่นั่นเมื่อสบโอกาส และสองพี่น้องต่างสายเลือดก็ได้เจอกันในที่สุด วันนั้น...เขานั่งรอเธอที่ซุ้มของโรงเรียนหลังจากเข้าไปขอความช่วยเหลือจากฝ่ายวิชาการให้ช่วยตามตัวเธอมาพบ ฉัตรชฎาในชุดนักเรียนหญิงมัธยมต้นเดินคู่มากับเด็กผู้หญิงอีกคนรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ หน้าตาเธอสองคนคล้ายกัน แต่ฉัตรชฎาจะออกหวานกว่า ในขณะที่อีกคนดูเป็นสาวและสวย สวยมาก... ชายหนุ่มวัยยี่สิบสองคิดว่าเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่เห็นหน้าเด็กมัธยมต้นแล้วใจสั่นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอคนนั้นอาจจะรุ่นเดียวกับน้องสาวของเขาก็เป็นได้ และนั่นหมายความว่าเธอยังเด็กมากๆ ฉัตรชฎาเห็นเขาครั้งแรกก็จำได้ทันทีแม้จะไม่ได้เจอมาเกือบสิบปีก็ตาม เพราะเธอเองก็คิดถึงและบ่นให้คนในบ้านฟังถึงพี่ชายคนนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และเธอก็แนะนำให้เขารู้จักกับพี่สาวร่วมสายเลือดของเธอ คนที่เขามอบหัวใจให้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น กันต์ศิตางค์... หลังจากนั้นพวกเขาก็ติดต่อกันตลอดรวมถึงได้รู้จักกับทางบ้านของเธอด้วย เขาเรียนจบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มาด้วยเกรดเฉลี่ยพอตัวในเวลาต่อมา  ในขณะที่สองสาวพี่น้องก็เริ่มเข้าสู่วัยสาวเต็มตัวและยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เขาได้เข้าทำงานในบริษัทรับออกแบบแห่งหนึ่ง และยังคงติดต่อกับสาวๆ รวมถึงบิดามารดาของพวกเธอตลอด ชายหนุ่มได้รับความไว้วางใจจากทั้งชนชาติและจิตนารีเพราะเป็นคนขยันขันแข็งอ่อนน้อมถ่อมตนสุภาพและอ่อนโยน เขาเฝ้ามองกันต์ศิตางค์มาโดยตลอดตั้งแต่ครั้งนั้นที่ได้เจอ คนเมื่อถึงเวลาอันสมควรจึงเดินหน้าสารภาพความในใจให้รู้ ด้วยความช่วยเหลือจากฉัตรชฎาที่ทั้งเชียร์ทั้งลุ้นทั้งคู่จนออกนอกหน้า ในที่สุดนางในดวงใจของเขาก็ใจอ่อนยอมคบหาด้วย เปลี่ยนฐานะจากพี่ชายเป็นคนรัก ในตอนที่เธอเข้ามหาลัยปีหนึ่ง                                                                              เขารักและถนอมกันต์ศิตางค์ราวเป็นสิ่งล้ำค่า พยายามทำงานเก็บเงินเพื่อสร้างฐานะไม่ให้เธอได้อับอายใคร บากบั่นจนได้เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง เป็นบริษัทเล็กๆ ที่อาศัยเพื่อนๆ คอยให้ความช่วยเหลือเรื่องการติดต่อหางาน                                                                                      เขาทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำไม่เคยเกี่ยง จะงานหนักหรืองานเบาเอาหมดรับหมดเพื่อที่ว่าพอเธอเรียนจบจะได้มีเงินไปขอเธอแต่งงาน และสร้างทุกอย่างที่ควรจะมีไว้รอ อย่างเช่นบ้านกับรถ                                           เมื่อความรักสุกงอมเต็มที่ความปรารถนาในตัวเธอที่พยายามฝืนเก็บไว้ก็ปะทุอย่างไม่อาจรอได้อีกต่อไป ในวันรับปริญญากันต์ศิตางค์ตกเป็นของเขาครั้งแรก เพราะถือว่าเธอได้บรรลุนิติภาวะและพร้อมสำหรับมีครอบครัวแล้วเขาจึงไม่ลังเลจะแสดงความรักผ่านสัมผัสทางร่างกายให้เธอได้เรียนรู้ เมื่อเธอเรียนจบได้หนึ่งปีต่อมาทั้งคู่เตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกัน วางแผนจะแต่งงานในวันที่ศิลาภินมีทุกอย่างพอจะเชิดหน้าชูตาไม่ให้เธอต้องด้อยกว่าใครๆ ไม่น่าเชื่อ...ก่อนวันงานเพียงสองสัปดาห์ ทุกอย่าง...ที่ร่วมกันสร้างมาเกือบสิบปี ต้องพังลงในวินาทีที่เขารู้ว่าฉัตรชฎากำลังตั้งครรภ์ เขา...ต้องออกมารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาด เขาต้องชดใช้ความผิดทั้งหมดโดยไม่คิดโทษใครแม้จะต้องทนต่อความเจ็บปวดไปด้วยก็ตาม ชายหนุ่มหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกครั้งหลังจากคร่ำครวญถึงอดีตอยู่ในใจ เขาอยากย้อนเวลากลับไปเหลือเกิน ย้อนกลับไปวันเก่าๆ ที่มีแต่ความสุข รอยยิ้มเสียงหัวเราะของเธอยังติดตราตรึงใจเขาอยู่ทุกขณะจิต แม้จะไม่ได้เห็นมันมานานแสนนานแล้วก็ตาม ตอนนี้เขามีบางอย่างจะต้องทำ แม้มันจะผิดแต่หัวใจเรียกร้องเหลือเกิน ต้านทานยังไงก็ไม่อาจทนไหวอีกแล้ว                
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD