หลังจากที่เธอได้อาบน้ำให้ร่างกายได้สดชื่น ความรู้สึกตึงเครียดที่สะสมมาตลอดสองวันก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ถึงแม้เธอจะถูกตามติด และถูกจับตามองตลอดเวลาก็ตามที
“นี่ชุดใหม่ ใส่ดูว่าพอดีหรือเปล่า”
สิงหนาทโยนถุงผ้าลงตรงหน้าของเธอ พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย
รินนารารีบคว้าถุงผ้า มาดึงของที่อยู่ข้างในออกมา ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองคนตัวใหญ่นิ่งด้วยความคิดที่หลากหลาย เพราะกลิ่นเสื้อผ้านั้นยังคงติดกลิ่นผงซักฟอกราวกับผ่านการทำความสะอาดมาแล้ว ซึ่งบ่งบอกชัดว่าของพวกนี้ไม่ใช่ของใหม่ หากแต่เป็นของใครก็ไม่รู้ที่เธอไม่รู้จัก
“มองทำไม หน้าผมมีอะไรน่ามองงั้นเหรอ?”
“เปล่า! แต่ฉันไม่อยากใช้ของซ้ำกับคนอื่น โดยเฉพาะชุดชั้นใน”
เธอพูดออกไปตรงๆ ตามความรู้สึก เพราะเห็นว่าของใช้บางอย่างไม่อาจใช้ร่วมกันได้ และดูเหมือนเขาจะรู้ทันความคิดของเธอ เลยต้องพูดแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น
“ใครว่าของพวกนี้เป็นของคนอื่น นี่มันของที่ผมซื้อมาให้ใหม่ทั้งนั้น และที่มันมีกลิ่นผงซักฟอกอยู่ก็เพราะผมเพิ่งจะซักมันกับมือเมื่อตอนบ่ายไปนี่เอง”
‘ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยซักผ้าให้ใคร แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันต้องล้างกี่รอบให้กลิ่นผงซักฟอกออกหมด ทำให้แค่นี้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว ยังจะเรื่องมากอีก’
สิงหนาทคิดด้วยความรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางดื้อดึงของเชลยสาว จอมเรื่องมาก
“คุณเนี่ยนะ เป็นคนซัก!”
รินนารามองหน้าเขาสลับกับเสื้อผ้าที่อยู่ในมือ อย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ก่อนที่เสียงห้วนเข้มจะยืนยันเสียงหนักอีกครั้ง
“ก็เอ่อนะสิ!”
“แล้วอย่าบอกนะว่าคุณเป็นคนเลือกไซส์ชุดชั้นในพวกนี้มาให้ฉันด้วย”
“ถ้าไม่ใช่ผมแล้วจะมีหมาตัวไหนไปเลือกให้ล่ะ?”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันใส่ไซส์อะไร นี่คงไม่แอบลูบคลำหรือทำอะไรเราตอนสลบไปหรอกใช่ไหม”
ประโยคท้ายนั้นรินนาราพูดกับตัวเองในใจ ด้วยความรู้สึกหวั่นใจ
“จอแบนขนาดนั้น มองด้วยตาเปล่าก็รู้แล้วไหมว่าต้องใส่ชุดชั้นในของเด็กอนุบาล”
“นี่คุณ!”
“ทำไม? หรือจะเถียงว่าหน้าอกตัวเองใหญ่สะบึ้มทิ่มตาผู้ชายได้น่ะ”
“อ้ายยยย! ไอ้ผู้ชายปากจัด!”
หญิงสาวอยากจะเอาเล็บคมๆ ข่วนใบหน้าหล่อเหลาสักทีสองทีให้หายแค้นที่ถูกกล่าวหาว่าจอแบน ทั้งที่เธอเชื่อมาตลอดว่ารูปร่างของตัวเองสมส่วน ไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหาเลยสักนิด แต่กระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเก็บความเจ็บใจไว้ในอกเพียงเท่านั้น
สิงหนาทกระตุกยิ้มที่มุมปากกวนๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกพอใจ ที่สามารถทำให้อีกฝ่ายโมโหจนหน้าดำหน้าแดงได้ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เห็นผู้หญิงคนไหนโกรธแล้วน่ามองเท่านี้มาก่อน เห็นทีเขาต้องยั่วโมโหเธอบ่อยๆ เสียแล้วสิ
รินนาราถอนหายใจโล่งอก เมื่อร่างสูงใหญ่เดินพ้นประตูห้อง เธอตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นไม่มีเวลามานั่งคิดอะไรมาก เลยรีบลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ตามที่อีกฝ่ายได้จัดเตรียมมาให้ ซึ่งเป็นชุดตัวยาวหลวมๆ ลายดอกไม้สีสดใส กับชุดชั้นในที่สวมพอดี
แต่งตัวเสร็จเพียงไม่นาน ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกลิ่นไข่เจียวร้อนๆ ที่ลอยมาแตะจมูก ยั่วน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้ส่งเสียงร้องประท้วงเพราะความหิว หลังจากที่อาหารไม่ตกถึงท้องมาหลายมื้อ
“คราวนี้ถ้ายังไม่ยอมกินอีก ผมจะเตรียมขุมหลุมไว้รอเลย”
ชายหนุ่มวางข้าวส่วยร้อนๆ ที่มีไข่เจียววางทับอยู่ด้านบนลงตรงหน้าหญิงสาว แต่กระนั้นก็มิวายแกล้งคนหิวโดยการเทพริกป่นโรยใส่เต็มหน้าไข่เจียว ทำเอาคนที่ไม่กินเผ็ดรู้สึกโมโหหิวถึงกับอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับเขาด้วยความไม่พอใจ
“ฉันเกลียดคุณ!”
พูดแล้วน้ำตาก็รื้อขึ้นมาด้วยความเจ็บใจ ปนน้อยใจ รู้สึกเหมือนตัวเองโดยกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งที่เธอไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเลย
“ก็ไม่ได้อยากให้รักนี่ กินๆ ไปเพราะเดี๋ยวคุณต้องอยู่ชดใช้กรรมอีกนาน”
“ฉันอยากรู้นัก ว่าฉันไปทำอะไรให้คุณ ทำไมคุณถึงอยากทำร้ายฉันนักหนา”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ก้มมองอาหารในจานแล้วน้ำตาก็ร่วงหล่นออกมาอย่างมิอาจห้ามปรามได้ โรยพริกเต็มขนาดนี้แล้วใครจะไปกินได้ล่ะ ทว่าคนตัวใหญ่กลับไม่คิดจะเห็นอกเห็นใจเธอเลยสักนิด
“อย่ามาบีบน้ำตาเหมือนนางเอกในละครหลังข่าวให้ผมสงสารหรอกนะ เพราะผมไม่อภัยให้คนที่ทำร้ายครอบครัวผมง่ายๆ หรอก จำเอาไว้!”
“แต่ฉันยังไม่รู้เลยนะว่าฉันไปทำอะไรให้ครอบครัวของคุณ ถ้าฉันทำผิดต่อคุณจริงก็พูดมาสิ บอกมาว่าฉันไปทำอะไรให้คุณ!”
รินนาราตัดสินใจเผชิญหน้าถามเขาออกไปตรงๆ อยากรู้เหมือนกันว่าสาเหตุที่เขาแค้นเธอนักหนาเกิดจากอะไร ก่อนที่เขาจะดึงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงแล้วกดมันรัวๆ ส่งมาตรงหน้าเธอ
“อยากรู้งั้นเหรอ…งั้นก็ดูซะให้เต็มตา ทีนี้จำผู้หญิงในรูปได้หรือยังล่ะ?”
รินนาราขมวดคิ้วยุ่ง มองดูภาพสาวน้อยวัยใสที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าเจอโทรศัพท์เครื่องหรูด้วยความไม่เข้าใจ
“ฉันไม่รู้จักเธอ”
เธอส่ายหน้าปฏิเสธ ทว่าสิงหนาทไม่เชื่อ เขาเข้ามาประชิดตัวแล้วจับคางมนสวยให้เชิดขึ้นมาสบตา พร้อมออกแรงบีบแรงๆ ด้วยความเคียดแค้นก่อนจะเน้นคำในประโยคชัดๆ ตวาดใส่หน้าเธอ
“นางสาวหริณะ ธัญญาริน คนไข้จากอุบัติเหตุรถยนต์ที่คุณปฏิเสธให้การรักษา แล้วเซ็นส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นจนเธอต้องตายระหว่างทางไงล่ะ”
“ไม่จริง! ฉันไม่เคยปฏิเสธคนไข้ที่มารับการรักษา”
เรื่องนี้เธอไม่เคยทราบมาก่อน เพราะตั้งแต่ทำงานมารินนาราเชื่อว่าตัวเองไม่เคยขาดตกบกพร่องในหน้าที่เลยสักครั้ง และอีกอย่างเธอมั่นใจว่าตัวเองนั้นไม่เคยปฏิเสธการรักษาใคร มันต้องมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้นแน่ๆ ทว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร ในเมื่อลายเซ็นนั้นมันชัดเจนว่าเป็นของแพทย์หญิงรินนารา คุณจะยังปฏิเสธอีกงั้นเหรอว่าโรงพยาบาลนั้นมีหมอชื่อนี้ถึงสองคน”
สิงหนาทตะคอกถามอย่างหัวเสีย ออกแรงบีบคางมนเล็กให้แรงกว่าเดิม จนเธอต้องนิ่วหน้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ไม่คิดจะปริปากขอร้องให้เขาปล่อยแต่อย่างใด
“ผมตรวจเช็กมาหมดแล้ว ว่าโรงพยาบาลนั้นมีแค่คุณคนเดียวที่ชื่อและนามสกุลนี้”
“ฉันว่าต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ นะคะ”
“จะปฏิเสธให้ตายยังไงผมก็ไม่เชื่อ เพราะหลักฐานมันฟ้องชัดอยู่แล้วว่าเป็นลายเซ็นของคุณ”
“ถ้าไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ เพราะฉันเองก็ไม่อยากอธิบายให้คนใจแคบฟังเหมือนกัน”
น้ำใสๆ ที่ร่วงหล่นออกมาจากดวงตาคู่สวย ดึงสติของสิงหนาทให้กลับมาอีกครั้ง และดูเหมือนว่าเขาจะออกแรงกับเธอมากไปหน่อย เลยยอมปล่อยมือจากคางมนทั้งที่ยังไม่หายเจ็บใจ
“ผมแค่ใจแคบ แต่คุณมันใจโหด ฆ่าคนทางอ้อมโดยไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด”
น้ำเสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยนิ้วมือของตัวเองประทับอยู่ตรงใบหน้าสวยเนียนขาวที่ตอนนี้แดงก่ำอย่างน่าใจหาย
“ที่นี้รู้แล้วใช่ไหม ว่าทำไมผมถึงต้องจับคุณมาที่นี่ ก็เพราะผมต้องการให้คุณชดใช้กรรมในสิ่งที่คุณทำไว้กับน้องสาวของผมไงล่ะ”
รินนาราไม่คิดจะโต้เถียงหรือเติมเชื้อไฟที่กำลังเดือด เพราะเธอทราบดีว่าพูดอะไรออกไปตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเชื่อเธออยู่ดี ในเมื่อเขาฝังใจไปแล้วและไม่เปิดโอกาสให้ได้แก้ตัวก็ไม่มีประโยชน์ที่ต้องพูดให้เปลืองน้ำลาย
สิงหนาทที่อยากจะบีบคอเธอให้ตาย แต่เมื่อเห็นน้ำใสๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยไม่หยุด กับท่าทางสั่นราวกับหวาดกลัวของเธอ เขาก็จำต้องหมุนตัวเดินออกจากห้องพร้อมปิดประตูตามหลังเสียงดังปัง! ด้วยความเจ็บใจ ที่ไม่อาจลงมือทำอะไรกับเธอได้จริงๆ