บทที่ 1 : แค้นนี้ต้องชำระ (1)
“นี่เป็นประวัติการรักษาทั้งหมดของยายต่าย ว่าแต่นายขอให้ฉันหาข้อมูลละเอียดขนาดนี้จะเอาไปทำอะไรวะ”
โตมรทนายความหนุ่มหล่อไฟแรงวัยสามสิบปี วางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะตรงหน้าของเพื่อนหนุ่มวัยเดียวกัน พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ขอบใจมากเพื่อน ฉันก็แค่จะเอาไปดูว่าเกิดข้อผิดพลาดในการรักษาตรงจุดไหน โรงพยายาลถึงไม่ยอมรักษายายต่าย จนทำให้น้องสาวเพียงคนเดียวของฉันต้องตายยังไงล่ะ”
เสียงทุ้มทรงพลังนั้นแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือกขณะหยิบแฟ้มเอกสารมาเปิดดูทีละหน้าอย่างใจเย็น นัยน์ตาคมกริบสีดำสนิทดุจพญาเหยี่ยวกวาดมองทุกตัวอักษรไม่ละเว้นแม้แต่อักษรเดียว ราวกับต้องการหาข้อบกพร่องให้ได้เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับน้องสาวสุดที่รักที่จากโลกนี้ไปเมื่อไม่นานมานี้
ย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน…
“ถ้าต่ายไปเรียนกรุงเทพฯ ต้องคิดถึงคุณแม่กับพี่ๆ มากแน่ๆ”
กระต่าย หรือ หริณะ น้องสาวคนเล็กของบ้านบอกกับผู้เป็นแม่และพี่ชาย ขณะที่พวกท่านเดินทางมาส่งขึ้นเครื่องที่สนามบินเชียงใหม่ เพราะเธอต้องไปเรียนต่อปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ ตามที่เธอได้ใฝ่ฝันเอาไว้
“ก็พี่บอกแล้วไงว่าให้เรียนใกล้บ้าน แต่เราก็ยืนยันว่าจะไปกรุงเทพให้ได้ ถึงเวลานี้จะมาโอดครวญทำไมห๊า! ยายต่าย”
สิงหนาทอดสายตามองน้องสาวด้วยความหมั่นไส้มิได้ เพราะลึกๆ แล้วเขาทั้งเป็นห่วงและโมโหที่น้องสาวไม่เชื่อฟังตน
“ก็ต่ายอยากลองหาประสบการณ์ดูบ้างไงละคะ อยู่บ้านก็มีแต่คนคอยตามใจ คอยทำอะไรๆ ให้ ต่ายไม่อยากเสียคนและอีกอย่างต่ายก็โตแล้ว อยากลองใช้ชีวิตดูเองบ้าง”
“นี่ต่ายกำลังจะบอกพี่ว่าตอนอยู่บ้านพวกพี่วุ่นวายกับชีวิตเราเกิน จนไม่ได้ใช้ชีวิส่วนตัวเลยงั้นสิ”
“ก็จริงไหมละคะ พวกพี่ๆ ไม่เคยให้ต่ายได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ไปไหนพวกพี่ก็คอยตามติดทำราวกับต่ายอายุสามขวบต้องมีผู้ปกครองคอยตามดูแลตลอดเวลา แต่งตัวแบบนั้นก็ไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่ดี จะทำอะไรก็ไม่ได้ห้ามไปเสียทุกเรื่อง ทำตัวยิ่งกว่าผู้ปกครองเสียอีก โดยเฉพาะพี่สิงห์”
คราวนี้ผู้เป็นน้องสาวร่ายยาว ราวกับอัดอั้นมานาน ก่อนที่ตอนท้ายนั้นจะหันมามองพี่ชายคนรองที่หวงและห่วงเธอเป็นพิเศษ จนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นพ่อของเธอเลยก็ว่าได้
“ยายต่าย!”
สิงหนาทถึงกับคำรามเสียงต่ำ เมื่อน้องสาวมองเห็นความหวังดีของเขาเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจ แต่ก่อนที่สองพี่น้องจะเถียงกันไปมากกว่านั้น เสียงของเพลินตาผู้เป็นแม่ก็ต้องรีบปรามศึกย่อมๆ ระหว่างพี่น้องที่กำลังจะเกิดขึ้นเสียก่อน
“หยุดทั้งสองคนเลย อีกเดี๋ยวเครื่องจะออกแล้ว ไม่ต้องมาเถียงกัน”
“คุณแม่ก็ดูเหตุผลของน้องสิครับ”
สิงหนาทเชื่อว่าตนไม่ผิดที่รักและหวังดีกับน้องสาว ทว่าผู้เป็นแม่กลับเอนเอียงไปทางน้องสาวเสียอย่างนั้น
“แม่ว่าที่น้องพูดก็ถูกนะสิงห์ ปล่อยให้น้องได้ใช้ชีวิตอิสระบ้างเถอะ”
“นี่คุณแม่เข้าข้างยายต่ายเหรอครับ คุณแม่ก็รู้ว่าที่ผมทำไปทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงน้อง ไม่ได้มีเจตนาอื่นเลย นี่ผมหวังดีทั้งนั้นเลยนะครับ”
“แม่ไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้น แต่ก็ว่าไปตามเหตุและผล ตอนนี้น้องก็โตมากแล้ว สิงห์ควรจะปล่อยวางให้น้องได้ลองใช้ชีวิตดูเองบ้าง”
เพลินตาพยายามอธิบายให้กับลูกชายคนรองฟัง โดยที่ลูกชายคนโตยืนฟังอยู่เงียบๆ มองสองแม่ลูกเถียงกันด้วยความรู้สึกเอ็นดูปน ไม่ยอมออกความเห็นอะไรจนสิงหนาทต้องหันมาทางพี่ชายบ้าง
“นั่นแหละที่เขาเรียกว่าเข้าข้าง ว่าแต่พี่เสือไม่คิดจะช่วยผมหน่อยเหรอ”
“พี่เห็นด้วยอย่างที่คุณแม่ว่านะ สิงห์ควรปล่อยให้ยายต่ายได้ลองใช้ชีวิตดูเองบ้าง”
หลังจากที่เงียบอยู่นาน พยัคฆ์ก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง ซึ่งประโยคของเขาก็มิวายทำให้ผู้เป็นน้องชายโวยวายอีกจนได้
“อะไรกัน! นี่ตั้งแต่พี่แต่งงานมีเมียก็ดูเหมือนจะเห็นผิดเป็นถูก เข้าข้างคุณแม่กับยายต่ายตลอดเลย หรือว่าเพราะพี่มีเมียแล้วเลยเอาแต่หวงเมียจนไม่สนใจน้องสาวแล้ว”สิงหนาทโวยใส่พี่ชายที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนข้างไปอีกคน
“มันคนละเรื่องกันเลยนะสิงห์ พี่ก็ยังเป็นห่วงยายต่ายเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่เพราะพี่เห็นว่ายายต่ายมันโตเป็นสาวแล้ว พี่ถึงได้อยากปล่อยให้ลองใช้ชีวิตดูเองบ้างยังไงล่ะ”
พยัคฆ์บอกกับน้องชาย ทว่าอีกฝ่ายกลับยกมือขึ้นมากอดอก พลางทำหน้าบูดสนิทราวกับเด็กน้อยโดนขัดใจ
“แล้วคอยดู ถ้าเกิดอะไรขึ้นอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนก็แล้วกัน”
“พี่สิงห์อย่างอนสิคะ ยังไงน้องสาวคนนี้ก็ยังรักและเชื่อฟังพี่เสมอนะ”
เมื่อเห็นว่าพี่ชายคนรองเริ่มจะกลายร่างเป็นเด็กขี้งอน หริณะก็ต้องมากอดอ้อนให้หายน้อยใจ ซึ่งก็ได้ผลเช่นทุกครั้งไป
“ไม่ต้องมากอดเลย โน้นเขาเรียกแล้ว ไปได้แล้วเดี่ยวจะตกเครื่อง”
“งั้นต่ายลาตรงนี้เลยนะคะ คุณแม่”
สาวน้อยวัยสิบแปดปีผละออกจากร่างใหญ่ของพี่ชาย แล้วก็เอ่ยลาผู้เป็นมารดา
“จ้ะ ไปถึงกรุงเทพฯแล้วอย่าลืมโทร.มาหาแม่นะ”
“ค่ะคุณแม่ สวัสดีค่ะ”สาวน้อยรับคำพร้อมยกมือไหว้ และไม่ลืมที่จะหันมาทางพี่ชายทั้งสองคน
“สวัสดีค่ะพี่เสือ สวัสดีค่ะพี่สิงห์ ต่ายไปแล้วนะคะ”
“เดินทางปลอดภัยน้องรัก”
พยัคฆ์อวยพรน้องสาวพลางเดินมาลูบศีรษะเล็กเบาๆ ด้วยความเอ็นดู เช่นเดียวกับสิงหนาทที่ออกคำสั่งกับน้องตามความเคยชิน
“ถึงคอนโดแล้วรายงานพี่ด้วย”
“ค่ะพี่สิงห์”
สาวน้อยรับปาก ก่อนที่จะเดินจากไป ท่ามกลางสายตาของพี่ชายและผู้เป็นแม่ที่โบกมือลาด้วยความรู้สึกใจหาย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่หริณะจะได้อยู่ห่างครอบครัวตามลำพัง
สิงหนาทไม่คิดเลยว่าการตัดสินใจปล่อยน้องสาวไปครั้งนั้น จะเป็นต้นเหตุที่น้องสาวต้องจากไปตลอดกาล ถ้าหากเขาใจแข็งสักนิด ไม่ยอมตามใจน้องสาวและทุกคนในบ้าน กระต่ายที่แสนจะน่ารักอาจจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้
“โรงพยาบาลที่ปฏิเสธยายต่ายเป็นโรงพยาบาลที่เปิดใหม่ หมออาจจะยังมีประสบการณ์ไม่พอ หรือไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยละมั่ง ถึงเซ็นส่งคนไข้ให้ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่น”
โตมรออกความเห็นเมื่อเห็นว่าเพื่อนเงียบไปนาน แต่ก็ถูกสิงหนาทแย้งขึ้นมาจนได้
“ถึงจะเป็นโรงพยาบาลเปิดใหม่ แต่ก็ไม่ควรอ้างว่าหมอไม่มีประสบการณ์และอุปกรณ์ไม่ทันสมัย เพราะนั่นเป็นแค่การปัดความรับผิดชอบ ยังไงหน้าที่ของหมอก็คือการรักษาคนไข้”
“นี่นายคงไม่ไปเอาเรื่องหมอที่เซ็นส่งยายต่ายต่อหรอกใช่ไหม”
โตมรถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ เมื่อเห็นท่าทีสงบนิ่งของเพื่อน ทว่าแฝงพายุร้ายภายใต้ความสงบนิ่งนั้น
“ใครที่มีส่วนในการตายของยายต่าย ฉันคิดบัญชีทั้งนั้น”
สิงหนาทประกาศเสียงหนัก บ่งบอกชัดว่าเขาจะไม่ปล่อยวางเรื่องนี้ไปง่ายๆ
“แต่ไอ้สิงห์ ฉันว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าเอาความแค้นมาสุ่มใจให้ร้อนรุ่มเลย มันไม่ดีต่อทั้งตัวแกและคนอื่นนะ อีกอย่างถ้ายายต่ายรับรู้เธอก็คงไม่มีความสุขเหมือนกัน เพราะยายต่ายรักนายมาก คงไม่อยากเห็นพี่ชายต้องไปแก้แค้นใครเพราะเรื่องเธอ”
โตมรเตือนเพื่อนด้วยความหวงดี เพราะไม่อยากให้เพื่อนจมอยู่กับความโกรธแค้นเป็นเวลานานๆ ทว่าก็โดนสวนกลับมาแทบจะทันควันเช่นกัน
“นายรู้ได้ยังไงว่ายายต่ายจะนอนตายตาหลับที่เห็นคนผิดยังลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันคนหนึ่งละที่จะไม่ยอมให้มันมีความสุข”
“คุยเรื่องนี้แล้วปวดหัวชะมัด! ฉันว่าไปหาอะไรดื่มแก้เครียดกันดีกว่า ใจนายจะได้รู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง”
โตมรจำต้องเปลี่ยนเรื่องคุย และชวนเพื่อนออกจากห้องทำงานของตนเอง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ และดีที่สิงหนาทพยักหน้าเห็นด้วย สองหนุ่มเลยพากันออกไปเพลิดเพลินต่อในยามราตรี
…………………………………………