หลัวหลิวหยางเป็นคนถือกฎระเบียงเคร่งครัด แต่กับหมอแล้วเขาก็ให้ความเคารพไม่น้อย คนเป็นหมออดภูมิใจไม่ได้ ประสานมือคารวะแล้วก้าวออกไป แม่นมเหมยกุ้ยรอจนท่านหมอออกแล้วจึงได้เดินมาพบแม่ทัพหลิว
“ผู้หญิงคนนี้เป็นหนี้ชีวิตท่านแม่ทัพ”
เขาโบกมือปฏิเสธความคิดนี้ “ข้าทำหน้าที่ของข้า ข้าแค่บังเอิญช่วยชีวิตนางเท่านั้น ต่อจากนี้รบกวนแม่นมแล้ว”
“เจ้าค่ะ ข้าจะดูแลนางเอง” แม่นมรับคำแล้วเลิกคิ้วเป็นคำถาม “เราควรเรียกเปิดเผยฐานะของนางหรือไม่ เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้นางตั้งใจให้ผู้อื่นมองนางเป็นบุรุษ”
“เรื่องนั้น รอให้นางฟื้นค่อยว่ากัน”
หลัวหลิวหยางเพียงปรายตามองคนที่นอนหมดสติบนเตียง สภาพใบหน้ามีรอยช้ำหลายแห่ง แต่ก็ดูดีกว่าตอนที่เขาอุ้มมา เขาได้แต่หวังว่านางจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เขาก็พอ
“ข้าวของที่เหลืออยู่ในรถม้ามีเพียงเท่านี้ขอรับ”
หูซานรายงานแล้ว มีเพียงสมุดเขียนบันทึกที่ถูกฉีกทิ้งหายไปหลายหนา เสื้อผ้ารวมทั้งข้าวของมีค่าคาดว่าถูกรื้อค้นขโมยไปหมดแล้ว
“รถม้าเป็นเพียงรถที่เช่ามาพร้อมสารถี ไม่มีตราสัญลักษณ์จากตระกูลใด ส่งศพสารถีไปที่ว่าการแล้ว เห็นว่ามีคนจำหน้าได้ เขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดารับจ้างทั่วไปขอรับ”
หลัวหลิวหยางเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างครุ่นคิด เหตุใดสตรีผู้หนึ่งจึงแต่งกายเป็นชายเดินทางตามลำพังเช่นนี้
“ข้าจะจัดเวรยามคอยเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของคนผู้นั้น” หูซานรีบเสนอความคิด แต่แม่ทัพใหญ่โบกมือห้ามไว้
“ไม่จำเป็น” หลัวหลิวหยางตอบ “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง เจ้าตรวจดูโดยรอบดีแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“อย่าประมาท กำลังเวรยามต้องแน่นหนา”
“รับทราบ!”
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
“ข้าน้อยขอตัวขอรับ”
แม่ทัพหลัวมองดูคนสนิทถอยออกไป สวนกับแม่นมเหมยกุ้ยเดินเข้ามาพอดี
“ข้ามารบกวนท่านแม่ทัพหรือไม่” นางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่” เขาตอบสั้นๆ ห้วนๆ เป็นเช่นนี้เสมอ “แม่นมมีอะไรหรือ?”
แม่นมเหมยกุ้ยพยักหน้าให้บ่าวรับใช้วางถาดอาหารวางลงบนโต๊ะ เมื่อบ่าวรับใช้เดินออกไปแล้วนางจึงเอ่ยขึ้น
“เจ้าไม่ได้กลับจวนหลายวัน ได้กินอิ่มนอนหลับดีหรือไม่” นางเอ่ยพลางรินน้ำชาให้
“ข้าชินแล้วไม่ได้ลำบากอะไร” เขารับน้ำชามาจิบเล็กน้อย “ครึ่งปีมานี้ท่านต้องมาดูแลข้าในที่ทุรกันดารเช่นนี้ ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก”
“ข้าอยู่แต่ในจวนมิได้ออกไปรบจะเรียกว่าลำบากอันใดกัน” นางหัวเราะเบาๆ
“ท่านแม่ยังไม่ถอดใจเรื่องข้าอีกหรือ?” เขาถามพลางหยิบขนมเปี๊ยะส่งเข้าปาก
“ท่านแม่ทัพอย่าได้ใส่ข่าวลือเหล่านั้นเลย” นางยิ้มบางๆ “ท่านอุทิศตัวเองเพื่อปกป้องชายแดนตะวันออกจนได้รับสมญานามเป็นแม่ทัพพิทักษ์บูรพา นำพาชื่อเสียงสู่ตระกูลหลัว นายท่านและฮูหยินหวังใจจะเห็นท่านแม่ทัพได้มีศรีภรรยาปรนนิบัติดูแล”
“ปีนี้ข้าอายุยี่สิบหกแล้ว” เขาถอนหายใจหนักหน่วง อ้าปากจะพูดแล้วก็เปลี่ยนใจไปพูดเรื่องอื่นแทน “เจ้าเด็กนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“เด็ก?” แม่นมเหมยกุ้ยเลิกคิ้ว ครู่ต่อมาจึงเข้าใจคำถาม “แม่นางผู้นั้นยังหลับอยู่ แต่ข้าให้คนสนิทค่อยเฝ้าไว้ หากนางฟื้นจะมารายงานทันที”
“อืม” เขาแค่รับคำกัดขนมเปี้ยะอีกคำ
“ข้าตระเตรียมเสื้อผ้าสตรีให้นางแล้ว”
หลัวหลิวหยางเลิกคิ้วแล้วสบตากับแม่นม “ท่านแน่ใจว่านางอยากสวมเสื้อสตรีหรือ?”
“ได้ยินว่านางเดินทางเพียงลำพัง การแต่งกายเป็นบุรุษย่อมปลอดภัยกว่า” แม่นมเหมยกุ้ยยื่นมือไปรินน้ำชาให้ “อีกอย่าง ผู้อื่นเห็นว่าท่านแม่ทัพพิทักษ์บูรพาอุ้มคนเจ็บเข้ามารักษาด้วยตนเอง ข้าเกรงว่าผู้อื่นจะเอาไปร่ำลือว่าท่านนิยมชื่นชอบบุรุษด้วยกัน ข้าจึงคิดว่านางแต่งกายเป็นหญิงจะเหมาะสมที่สุด”
“แค่กๆๆ” หลัวหลิวหยางสำลักขนมเปี๊ยะ แม่นมเหมยกุ้ยรีบลุกขึ้นมาลูบหลังให้
“โตแล้วเหตุใดทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้”
หลัวหลิวหยางคว้าน้ำชามาดื่ม จะไม่ให้สำลักขนมเปี๊ยะได้อย่างไร เขาไม่คิดว่าแม่นมเหมยกุ้ยจะเป็นกังวลเรื่องเขาถึงเพียงนี้ นั้นสินะ เป็นทั้งแม่ทัพพิทักษ์บูรพา เป็นทั้งบุรุษผู้มีดวงกินภรรยา แล้วจะยังเป็นบุรุษที่กินบุรุษด้วยกันอีก ช่างเป็นบุรุษที่น่าริษยาเสียจริง
“ช่างเถิด แม่นมช่วยสั่งคนให้อุ่นสุราส่งไปยังเรือนของข้าก็แล้วกัน”
“ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้กลับจวนหลายวัน ข้าเดินเล่นสักครู่จะกลับเข้าไป”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้าวยาวๆ ออกจากห้องหนังสือที่ใช้เป็นห้องทำงาน ทั้งที่คิดว่าจะเดินเล่น แต่สองเท้ากลับพาเดินมาที่เรือนรับรองที่สตรีแปลกหน้าผู้นั้นพำนักอยู่ ทหารยามทำความเคารพเขา ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับแล้วตัดสินใจผลักบานประตูเข้ามาด้านใน มือหยาบกร้านเพราะจับกระบี่กรำศึกมายาวนานยื่นไปปัดม่านมุ้งออก แม้บอกตัวเองว่าอยู่สนามรบมานาน ทว่าเมื่อเห็นสตรีที่หมดสติ แขนเต็มไปด้วยแผลถลอก ร่องรอยขูดขีด ยังเหลือรอยเลือดยังแห้งกรังที่ผมของนาง ข้อเท้าข้างขวาถูกพันผ้าอย่างแน่นหนา
เสี้ยวเวลาอันแสนสั้นก่อนหมดสติ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาในตอนนี้แม้นางยังหลับอยู่ แต่ยังคงเป็นความหวาดกลัว เปลือกตาของนางกระตุก ปลายนิ้วมือขยับเกร็ง หลัวหลิวหยางเอื้อมมือไปกุมมือหญิงสาวไว้โดยไม่ทันคิด
“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”