ไม่ใช่ถ้อยคำอ่อนโยนหวานหู แต่น้ำเสียงหนักแน่นที่พร้อมปกป้องขับไล่ความหวาดกลัวของหญิงสาว นางบีบมือของเขาแน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว เขาไม่อาจผละไปจากนางได้จึงค่อยๆ นั่งลงบนเตียงข้างนาง ดวงตาของเขาจ้องมองริมฝีปากของนางพึมพำ แม้รู้ว่านางยังไม่ได้สติแต่เขากลับโน้มตัวลง แนบใบหูใกล้ริมฝีปากของนาง
“ท่านช่วยชีวิตข้า” หญิงสาวพึมพำแทบฟังไม่ออก นางลืมตาขึ้นมองเขา แล้วพยายามขยับตัว เพียงการขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้นางหลุดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา
“นอนลงไป ใจเย็นๆ”
“ข้า...” นางพยายามอย่างสุดกำลัง อย่างน้อยนางก็ได้มาพบหน้า ‘เขา’ แล้ว “ข้าต้องพูดกับท่าน”
“เจ้ารู้จักข้ารึ?”
เหมือนนางจะฝืนยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มอันแสนเศร้า หลัวหลิวหยางพยายามเค้นสมองว่าเคยพบนางที่ใดมาก่อนหรือไม่
“จง...” นางกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก “จง...ระวัง...อนุชา...แห่ง...แคว้นเหยี่ยน...ให้มาก ...เขา..คิด...ไม่ซื่อกับแคว้นจ้าวของเรา”
นางอยากพูดมากกว่านี้ แต่ทุกครั้งที่เปล่งเสียงก็เจ็บแปลบไปทั่วแผ่นอก นางสูดลมหายใจลึกสะกดความเจ็บปวดเหล่านั้นไว้
“ระวัง..จงระวังตัว..”
“ข้ารู้แล้ว” เขาตอบเพื่อให้นางสบายใจ “เจ้าพักผ่อนก่อน เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องพักผ่อนให้มาก”
เขามองนิ้วมือของนางที่เริ่มผ่อนคลายลง ท่าทางนางหลับไปอีกครั้ง เขาสัมผัสนิ้วมือของนาง แม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องสตรี แต่รับรู้ได้ว่ามือคู่นี้ผ่านอะไรมามาก มือนางอาจไม่เนียนนุ่มแต่ไม่ได้หยาบกระด้าง ข้อนิ้วแข็งแรงเหมือนคนจับพู่กันอยู่เสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกเปราะบางละเอียดอ่อน เพียงการสัมผัสเล็กน้อยนี้กลับทำให้เขาปั่นป่วน เมื่อมั่นใจว่านางหลับไปจริงๆ แล้วเขาจึงขยับตัวช้าๆ ออกมาจากเตียงพลางครุ่นคิดว่าเคยพบนางที่ใด เหตุใดนางลืมตาแค่แวบเดียวกลับรู้ว่าเป็นเขาและพูดเรื่องสำคัญเช่นนี้ มีน้อยคนนักจะรู้ว่าตอนนี้การเมืองในแคว้นเหยี่ยนปั่นปวนมากเพียงใด นอกจากจะเป็นคนขององค์ฮ่องเต้หรือรัชทายาท
แต่ทำไมถึงเป็นนาง ทำไมถึงเป็นสตรีบอบบางเดินทางมาเพียงลำพังเช่นนี้
แม่ทัพใหญ่ครุ่นคิดพลางเดินออกมาแล้วเดินกลับไปที่ห้องหนังสืออีกครั้ง เดิมทีคิดจะพักผ่อน แต่เห็นทีว่าเขาต้องอ่านรายงานที่ส่งมาจากเมืองหลวงอีกครั้ง
บานประตูปิดสนิทแล้ว จางฟางซินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทำไมนางต้องพบเขาในสภาพนี้ด้วย เหตุใดรถม้าที่แสนธรรมดาของนางเป็นที่ต้องตาต้องใจของโจรชั่วได้ ทั้งที่นางเดินทางอย่างระวังตัวมาตลอด นางควรพบเขาในฐานะ “จางฟางหรง”
เขาจำนางไม่ได้จริงๆ หรือเพราะนางไม่มีความงดงามดึงดูดจิตใจบุรุษได้เลย เขาจึงไม่เคยรู้ว่าคนที่เคยเดินหมาก ถกเนื้อหาในตำราพิชัยยุทธที่สำนักศึกษาไผ่หยกคือนางเอง
พลันเจ็บแปลบที่ทรวงอกอีกระลอก เจ็บครั้งนี้ประหลาดนัก เจ็บยิ่งกว่าบาดแผลทีได้รับ คือเจ็บที่หัวใจที่รู้ว่าในสายตาของเขาไม่เคยมีนางอยู่เลย
.............
“ฟางหรง เจ้าควรดูพี่สาวเจ้าเป็นตัวอย่าง”
หยางอี้เสียงอดบ่นลูกชายบุญธรรมไม่ได้ จางฟางหรงเบ้ปากสีหน้าเบื่อหน่าย ในขณะที่จางฟางซินเผยยิ้มกว้างดีใจกับคำชมของพ่อบุญธรรม
“ใช่ๆ ข้าสมองทึบไม่เหมือนพี่สาวคนดี” จางฟางหรงหยิบพัดแล้วชี้ไปทางพี่สาวต่างมารดาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ “บางทีวิญญาณของข้ากับพี่สาวอาจสลับร่างกันก็เป็นได้ หากพี่ฟางซินเป็นบุรุษละก็ ป่านนี้นางคงสอบ จอหงวนนำชื่อเสียงมาสู่ตระกูลจางแล้วไปแล้ว”
“เหลวไหล” หยางอี้เสียงส่ายหน้าไปมา “หากเจ้าขยันหมั่นเพียรย่อมทำได้ดีไม่น้อยกว่าฟางซิน แต่เจ้าเอาแต่ชอบเล่นสนุก ไม่ขยันอ่านตำราหรือฝึกเขียนอักษร”
“นางก็ไม่ขยันเช่นกัน เรื่องที่สตรีต้องฝึกฝนเรียนรู้ไม่เห็นจะได้เรื่องได้ราว งานเย็บปักก็ทำได้แค่ถุงเงินใบเล็กๆ อาหารการกินก็ทำได้เพียงไม่กี่อย่าง เรื่องที่สตรีควรทำนางทำได้สักครึ่งเสียทีไหน พ่อบุญธรรมต้องเคี่ยวเข็ญนางให้มากๆ ไม่เช่นนั้นยามออกเรือนจะถูกแม่สามีรังเกียจเอาได้”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าไม่แต่งงานก็ได้” จางฟานซินขึงตาใส่น้องชาย “ข้าจะอยู่ดูแลพ่อบุญธรรม ไม่แต่งงานไม่ออกเรือน”
หยางอี้เสียงอดหัวเราะไม่ได้ แม้จะเสียใจที่เพื่อนรักตายจากแต่ก็ดีใจที่เพื่อนรักไว้วางใจมอบบุตรชายและบุตรสาวที่น่ารักให้เขาดูแล จางฟางซินเป็นหญิงสาวที่ชอบอ่านเขียนเรียนหนังสือ แต่เพราะนางเป็นหญิงจึงไม่ได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาของเขา แต่เขาก็สั่งสอนนางด้วยตนเองเสมอ ผิดกับจางฟางหรงผู้เป็นน้อง แท้จริงเป็นคนเฉลียวฉลาดแต่มักชอบเล่นสนุกซุกซน ขาดความสุขุมเยือกเย็น
“ก็พี่สาวมีบุรุษในดวงใจ จะเหลือสายตาไว้มองผู้อื่นรึ” จางฟางหรงไม่ยอมแพ้ เรื่องโต้เถียงเขาถนัดนัก
“เจ้า!” จางฟางซินถึงกับหน้าแดง ได้แต่ขึงตาใส่น้องชาย
“พี่สาวคนดี ท่านยังไม่หักอกหักใจจากหลัวหลิวหยางอีกหรือ?”
“เจ้า! ห้ามพูดเรื่องนี้นะ”
“โธ่! พี่สาวคิดว่าพ่อบุญธรรมไม่รู้เรื่องนี้หรือ? ทุกครั้งที่ศิษย์พี่มาเยี่ยมเยือนพ่อบุญธรรม ท่านน่ะต้องไปแอบมองเขาทุกที!”
“จาง-ฟาง-หรง!”
“เอาล่ะๆ เจ้าอย่าได้เถียงกันอีกเลย”