ตอนที่ 4

2632 Words
ศศิดาเดินไปในร้านอาหารพร้อมกับราเมศวร์ แล้วเลือกนั่งฝั่งริมหน้าต่าง เขาสังเกตว่าเหมือนหญิงสาวจะเคยมาที่นี่บ่อยๆ สายตาเธอไล่มองไปตามเมนูปราดเดียวแล้วเลือกสั่งเลย ประมาณห้านาทีบริกรก็นำอาหารมาวางตรงหน้า ราเมศวร์ชิมเข้าไปจานละคำสองคำก็รู้สึกว่าอร่อยมาก รสชาติกลมกล่อม ถึงแม้จะรสจัดเกินไปสำหรับเขา “คุณมาที่นี่บ่อยเหรอ?” “ค่ะ ที่นี่เป็นทางผ่านทางกลับบ้าน ฉันเลือกสั่งที่เผ็ดน้อยที่สุดแล้ว พอทานได้ไหมคะ?” “อืม” ศศิดาเห็นเขาชิมอาหารสองสามคำ แล้วก็ดื่มน้ำตามเข้าไปเยอะมาก เขาเป็นคนไม่กินเผ็ด แล้วจะฝืนกินไปทำไมนะ?!? “ศศิดา!” เธอได้ยินเสียงของผู้หญิงเรียกชื่อตัวเอง จึงเงยหน้าหันมามองทางต้นเสียง ราเมศวร์มองตาม ก็เห็นนิจจารีย์ เศรษฐหิรัณย์สวมชุดเดรสสีขาว ดูแล้วสง่างามทั้งยังทันสมัย เธอมากินข้าว แต่การแต่งกายดูเหมือนมาร่วมงานเลี้ยงยังไงยังงั้น นิจจารีย์ แม่เลี้ยงของเธอคนนี้ แต่งตัวแบบนี้มาโดยตลอด ศศิพิมพ์กับแม่ของเธอก็เหมือนๆ กัน “บังเอิญจังเลยนะคะคุณป้า มาทานข้าวเหรอคะ” พอศศิดาเห็นนิจจารีย์ก็สวมหน้ากากเข้าหา เหมือนกับหญิงสาวดีใจที่ได้เจอญาติตัวเอง นิจจารีย์เห็นดังนั้นพลันสีหน้าค้างแข็ง แล้วหันไปมองราเมศวร์ที่นั่งอยู่ตรงข้าม พูดอมยิ้มขึ้นมา “คุณราเมศวร์ สวัสดีค่ะ” ถ้าจะนับความอาวุโส แน่นอนว่านิจจารีย์นับเป็นว่าผู้ใหญ่กว่าราเมศวร์ แต่เพราะเขามีอาณาจักรธุรกิจที่ใหญ่โต คนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจต่างก็ต้องก้มหัวให้เขา ไว้เว้นแม้แต่นิจจารีย์ เมื่อพบชายหนุ่ม ยังต้องเรียกด้วยความเคารพว่า..คุณราเมศวร์ โดยไม่มีข้อแม้ ราเมศวร์ยกมือไหว้ แต่ไม่มีท่าทีว่าจะพูดคุยด้วย ทันใดนั้นเศรษฐ์ที่เพิ่งจะมาจากที่จอดรถเห็นนิจจารีย์ ยืนอยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่าง ก็เดินเข้าไปหา แต่พอเห็นศศิดาเศรษฐ์ก็ชะงัก สีหน้าติดออกจะซีดเล็กน้อย ศศิดาเองก็ตะลึงค้างเพราะไม่เจอกันหลายปี อีกทั้งไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่นี่ “สวัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณอาเศรษฐ์ สวัสดีครับ” ราเมศวร์ลุกขึ้นส่งมือเช็คแฮนด์แบบฝรั่งเป็นการทักทาย เศรษฐ์ปรับสีหน้าให้ปกติแล้วทักทายกลับ “สวัสดี คุณรชตะสบายดีนะ” “สบายดี ขอบคุณครับ เอ่อ..คุณอา..คุณนิจ ผมกับแฟนทานเสร็จแล้ว ต้องขอตัวก่อนนะครับ” เขาจับต้นแขนหญิงสาวดึงเบาๆ ให้ลุกขึ้น แล้วจับมือเรียวบางเดินผ่านออกมา โดยไม่สนใจในสีหน้าตะลึงค้างของคนทั้งคู่ ……………………… ตั้งแต่ออกจากร้านอาหารมา ศศิดาก็ไม่กล้าปริปากพูดกับราเมศวร์สักคำ สีหน้าเขาดูเคร่งขรึมจริงจัง ทำให้เธอไม่กล้าพูดด้วย “มีอะไรจะบอกผมหรือเปล่า?” อยู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมา “เขาเป็นพ่อของฉัน” ราเมศวร์ปรายตามามองแว่บหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองถนน “แต่ในรีซูเม่คุณไม่ได้ใช้นามสกุลเศรษฐหิรัณย์นี่!” “ฉันเป็นลูกนอกสมรส! เขารับรองเป็นพ่อก็จริง แต่ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อ พอฉันเรียนจบบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็เลยเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของแม่” “คุณไม่ใช่คนแรกหรอก ที่ครอบครัวไม่ได้อบอุ่นเหมือนที่เห็นภายนอก” “คุณกำลังพูดปลอบเด็กเหรอคะ?” เขาทำเสียงหึหึในลำคอ “ผมพูดปลอบแฟน!” ชายหนุ่มพูด แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง เหมือนแอบชอบใจที่ทำให้เธอเถียงไม่ออก ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของหญิงสาวก็ดังขึ้น ศศิดายกโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ เห็นเป็นหมายเลขที่ไม่คุ้น แต่ก็ยังกดรับสาย “สวัสดีค่ะ” “หมายความว่ายังไง? ที่ว่าแกเป็นแฟนของคุณราเมศวร์!!” เสียงแหลมตวาดมาตามสาย สงสัยเพิ่งจะได้รับข่าวจากแม่ตัวเอง แต่ที่น่าแปลกคือ ทำไมถึงมีหมายเลขโทรศัพท์ของเธอ “ก็หมายความตามนั้น!” “นังหน้าด้าน! ฉันเป็นว่าที่คู่หมั้นของเขา เป็นเมียของเขาในอนาคต ผู้ใหญ่เขาตกลงกันไว้แล้ว!” “แล้วเจ้าตัวเขารับรู้ด้วยหรือเปล่าล่ะ!” ปลายสายอึ้งไปเล็กน้อย “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ ถ้าเธอจะจับเขามัดไปเข้าพิธีด้วยน่ะ” เสียงกรี๊ดดังลั่น จนเธอต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างหูเล็กน้อย “อีบ้า! อีตัวเสนียดจัญไร! หายหัวไปตั้งนานแล้วจะกลับมาทำความเดือดร้อนให้คนอื่นทำไม!!” “ก็...มาทวงความยุติธรรมมั้ง” เธอกวนอารมณ์กลับไป “แค่นี้นะ! ฉันเบื่อจะปฏิสัมพันธ์กับเธอเต็มที! บาย” ศศิดากดวางสาย “ว่าที่คู่หมั้นคุณโทรมาวีนฉัน! ป่านนี้เต้นเป็นเจ้าเข้าแล้วมั้งนั่น” เธอหันไปมองเขา แล้วชะงัก “เป็นอะไรไปคะ?” สีหน้าของราเมศวร์มองดูแล้วไม่ค่อยสู้ดี “เมื่อกี้ตอนทานข้าวยังดีๆ อยู่เลย!” ศศิดาขมวดคิ้ว น้ำเสียงดูกังวล “ไม่เป็นไร! เดี๋ยวกินยาคงดีขึ้น” ราเมศวร์เห็นหญิงสาวเป็นห่วง แววตาที่มองมาจึงอบอุ่นขึ้น พอรถติดไฟแดง เขาก็หยิบขวดยาพลาสติกออกมา จากลิ้นชักหน้ารถด้านข้างคนขับ “นั่นยาสำหรับโรคกระเพาะหรือเปล่าคะ?” “อืม” ราเมศวร์ดูเหมือนไม่อยากพูดมาก เขากินยาเข้าไปสองสามเม็ด หยิบขวดน้ำข้างประตูรถขึ้นมาเปิดยกดื่ม เขาจะบอกความจริงได้ยังไง ว่าตั้งใจหาเรื่องป่วยเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับเธอ แผนทำร้ายร่างกายเพื่อโจมตีจิตใจในครั้งนี้ อาจดูไม่เมคเซ้นส์สำหรับเธอเท่าไหร่นัก “ไปหาหมอดีกว่าไหมคะ?” หญิงสาวเริ่มจำได้ว่าเขาเคยปวดรุนแรงจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลมาครั้งหนึ่ง “เป็นห่วงผมเหรอ?” "ค่ะ" เธอรับออกมาตรงๆ เพราะตอนนี้เธอก็เป็นห่วงเขาจริงๆ ว่าโรคกระเพาะของเขาจะกำเริบเพราะเธอหรือเปล่า ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นในใจ ยื่นมือไปกุมมือบอบบางไว้กระชับ "มาขับรถแทนที ผมอยากพัก" "ให้ฉันขับไปส่งที่คอนโดไหมคะ ปวดแบบนี้คุณคงต้องนอนพัก อย่าเพิ่งทำงานเลยนะคะ" "ก็ได้" เขาพูดแล้วเปิดประตูจะเดินมานั่งข้างคนขับ เธอรีบเปิดประตูออกไป "นั่งข้างหลังเถอะค่ะ คุณจะได้ยืดขาได้สบาย" "อืม" เขาเห็นด้วยเดินไปเปิดประตูนั่งข้างหลังแทน ชายหนุ่มขึ้นนั่งก็หลับตาตลอดทาง ศศิดาสังเกตอาการจากสีหน้าของเขาจากกระจกมองหลังเป็นระยะๆ สักพักก็เลี้ยวเข้าไปที่จอดรถส่วนตัว ชั้นใต้ดินของคอนโดมิเนียมสุดหรูที่อยู่ไม่ไกลจากตึกสำนักงานเท่าไหร่นัก ซึ่งเป็นย่านที่คนรวยเขาอยู่กัน เธอเห็นเขาหลับตาสนิทพิงอยู่บนเบาะหนัง คิ้วเหยียดตรง ไม่ดูซีเรียสเหมือนที่เห็นอยู่ทุกครั้ง “ท่านรองคะ” ศศิดาปลุกเขา แต่ราเมศวร์ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น เธอจึงขยับเข้าไปใกล้ “คุณราเมศวร์!” เธอยื่นมือไปผลักที่ไหล่ของเขา “หืม?” นัยน์ตาของราเมศวร์แฝงด้วยความง่วงงุนและความหงุดหงิดที่ถูกปลุก อาจเพราะเพิ่งจะรู้สึกตัว เสียงที่หนักแน่นของเขากลับแหบพร่าขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ยอมให้เธอประคอง ออกเดินนำไปก่อน เธอเดินตามเข้าไปถึงในห้องนอน ดูท่าเขาจะไม่สบายมาก พอเข้าในห้องก็ล้มตัวลงนอนทันที ริมฝีปากซีดเผือด “สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ปวดมากกว่าเก่าหรือคะ?” “อืม” เธอรู้สึกว่าคนเรายังไงก็มีด้านที่อ่อนแอกันทั้งนั้น ในสายตาของเธอ ราเมศวร์ในตอนนี้ก็เหมือนกับเด็กชายที่กำลังป่วย “ไปโรงพยาบาลเถอะนะคะ ฉันขับรถพาคุณไปเอง” ศศิดาพยายามขอร้อง ความรู้สึกผิดทำให้ไม่สามารถทนเห็นเขาอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ “ไม่ต้อง” ราเมศวร์ขมวดคิ้ว คงเพราะปวดท้องขึ้นมาอีก บนหน้าผากของเขามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมา เธอจึงยื่นหลังมือไปแตะที่หน้าผากเขา ซึ่งร้อนผ่าวราวกับไฟ เธอตกใจชักมือกลับ “คุณมีไข้!” “อืม” หญิงสาวรีบลุกขึ้น เข้าไปในห้องน้ำเห็นผ้าผืนเล็กอยู่ในตู้ติดเพดาน จึงหยิบออกมาผืนหนึ่ง ชุบน้ำบิดพอหมาดๆ แล้วเอามาเช็ดหน้ากับซอกคอเขา เพื่อลดไข้ "พอจะลุกเปลี่ยนเสื้อผ้าไหวไหมคะ จะได้สบายตัวกว่านี้" เธอถามอย่างไม่แน่ใจ เขาลืมตาแล้วพยักหน้า ศศิดาลุกเดินไปห้องแต่งตัว เพื่อหยิบชุดนอนมาให้เขาเปลี่ยน แต่พอกลับเข้ามาในห้อง ก็เห็นเขาถอดเสื้อเชิ้ตออกวางไว้ข้างๆ เห็นกล้ามอก กล้ามท้องกำยำ ท่อนบนเหนือขอบกางเกงเผยให้เห็นผิวสีเนื้อของซิกแพคขึ้นเป็นมัดๆ ดูสุขภาพดี ทำให้คนที่เห็นใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที เธอวางชุดนอนพาดไว้ข้างๆ ขาของเขา หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดไปตามเนื้อตัว ในขณะที่ใบหน้าก็แดงจนร้อนผ่าวไปหมด เธอพยายามปรับสีหน้าให้เรียบเฉย แสดงออกให้เป็นไปอย่างปกติที่สุด เพื่อปกปิดอาการประหม่าในใจ เขาสังเกตเห็นใบหน้าแดงระเรื่อ ริมฝีปากอิ่มเม้มเล็กน้อย นัยน์ตามีแววกังวล ผมดำยาวเป็นมันราวกับม่านไหม เขามองเลื่อนมาที่คอระหง ไหล่บอบบาง แขนเรียวเล็ก และหน้าอกเต่งตูมที่ห่อหุ้มไว้ด้วยเสื้อเชิ้ตแพรพอดีตัว ซึ่งไม่เคยเห็นในเวลาทำงาน เพราะเธอจะสวมเสื้อสูททับไว้ตลอด หญิงสาวเช็ดตัวเสร็จ ก็เอื้อมมือไปหยิบเสื้อเชิ้ตตัวเก่าของเขา จะเอาไปใส่ในตระกร้าผ้า ทันทีที่หันตัวก็ถูกอ้อมแขนแข็งแรงตวัดโอบที่เอวแล้วดึงเข้าหาตัว จนเธอเซถอยหลังนั่งลงบนตักของเขา "ทะ..ท่านรอง!" หญิงสาวตกใจ ชีพจรเต้นรัวแรงกว่าเก่า นั่งตัวแข็งเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก รู้สึกได้ถึงกล้ามอกที่อยู่ชิดติดแผ่นหลัง “ผมมีตรงไหนที่ไม่ดี หรือมีข้อไหนที่คุณเห็นว่าไม่เหมาะสมกับคุณ?” เขาถามขึ้นมา ทำเอาเธออึ้ง พูดไม่ออก "ไม่นี่คะ คุณดีไปหมดทุกอย่าง" "แล้วทำไมต้องสร้างกำแพงกันตัวเองออกจากผมทุกทาง" น้ำเสียงของเขาดูตัดพ้อ คนที่โปรไฟล์ดีๆ อย่างเขา ทำอะไรก็ราบรื่นมาตลอด มีความภูมิใจในตัวเอง ยากที่จะได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ออกมา "เพราะดีเกินไป ทำให้ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยได้ง่าย" "ข้ออ้าง!" เขาพูดชิดติดซอกคอขาวนวล ริมฝีปากร้อนรุมราวกับไฟทาบอยู่กับผิวนุ่ม "คืนนี้..ค้างที่นี่ได้ไหม?" "ค่ะ" เธอตอบรับ ไม่อยากปฏิเสธเขาอย่างไม่มีเยื่อใย และเขามีอาการปวดท้องจนไข้ขึ้นขนาดนี้ คงไม่มีอะไรที่เธอจะต้องกังวล อีกอย่างเธอไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เลย ที่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะเธอให้เขาลองอาหารที่ไม่คุ้นเคย "แต่ว่า..ฉันต้องกลับไปทำงานก่อน เลิกงานแล้วจะแวะมาดูอาการนะคะ" "อืม" "ปล่อยก่อนค่ะ จะไปหยิบยาลดไข้มาให้" เธอหันหน้าไปด้านข้าง เพื่อพูดกับเขา แต่กลายเป็นว่าเขาประคองหน้าด้านข้างของเธอไว้ แล้วประกบริมฝีปากจุมพิตมาอย่างหนักหน่วง เขาเริ่มจูบอย่างป่าเถื่อนดุดันนิดๆ ในตอนแรก แล้วก็เปลี่ยนมาจูบอย่างอ่อนโยนอ่อนหวาน และตามด้วยจูบพิสวาส ที่สร้างอารมณ์วาบหวามให้ก่อตัวขึ้นในอก เขาจูบแล้วจูบอีก ขณะที่เธอหายใจระทวยอยู่ในอ้อมกอดของเขา ไม่เคยมีใครเคยจูบเคล้าเคลียเธออย่างสนิทชิดเชื้ออย่างนี้มาก่อน เขาจับตัวเธอหันมานั่งเอียงข้าง กอดรัดกระชับชิด จนรู้สึกสนิทแนบไปทุกส่วนสรรพางค์ และเขาก็กำลังเกิดอารมณ์แรง จุมพิตเขาเริ่มทวีความหนักหน่วงขึ้น และเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ "อื้อ!" เธอตกใจ ออกเสียงประท้วงในคอ แต่ไม่กี่อึดใจเขาก็ถอนริมฝีปากออก เสียงพูดแหบพร่าเล็กน้อย "เลิกงาน ก็มาเลยนะ!" "ก็ต้องกลับบ้านไปเอาเสื้อมาเปลี่ยนใส่ทำงานพรุ่งนี้" "ไม่ต้อง! ไปซื้อเอาใหม่" "ฮื้อ! ไม่ค่ะ! เปลืองสตางค์ ท่านรองอยากทานอะไรคะ ฉันจะแวะที่โรงแรมก่อนเข้ามา" "ราม" "คะ?" "ชื่อเล่นผม" ศศิดาหน้าแดงเรื่อ หลุบตาลง รู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่จะแสดงความสนิทสนมระดับที่จะเรียกชื่อเล่นของเขาได้ "ผมจะจูบคุณทุกครั้งที่คุณไม่แทนชื่อตัวเองและไม่เรียกชื่อผม" เขาขู่ นี่มันหลักการอะไรกัน?? "ตรรกะนี้ดูป่วยนะคะ" เขาทำเสียงหึหึเบาๆ คล้ายหัวเราะเล็กน้อย เธอเหลือบตาขึ้นมองเขา อดแปลกใจไม่ได้ เพราะตั้งแต่ทำงานกับเขามา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเขาหัวเราะ "ผมกำลังป่วย" เขาตอบง่ายๆ "ขอเรียกชื่อเต็มเถอะนะคะ ฉัน เอ้อ..ศิดาคิดว่าเรายังไม่สนิทกันถึงขั้นที่จะเรียกชื่อเล่น" เธอรีบเปลี่ยนชื่อแทนตัวเอง เมื่อเห็นเขาขยับมือมาประคองด้านหลังศีรษะคล้ายจะรั้งเข้าหา "ให้โอกาสผมได้สนิทกับคุณมากกว่านี้สิ!" ศศิดาชะงัก เผลอตวัดสายตาค้อนเขาเมื่อได้คิดว่าเขาหมายถึงอะไร ทำให้ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ คล้ายเอ็นดู การกระทำของเขาในตอนนี้ ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของเธออีก การเปลี่ยนแปลงของเขาที่เห็น ทำให้รู้ว่าเขาเป็นพวกซ่อนอารมณ์เก่ง ดูเหมือนเป็นคนหยิ่งยโส แต่จริงๆ เป็นพวกเก็บกด และยังเป็นผู้ชายที่ตรงมากๆ อีกด้วย "คุณนอนพักก่อนนะคะ เลิกงานแล้วศิดาจะเข้ามา" เธอบอกเขา แล้วขยับตัวจะลุกออกจากตัก แต่เขากลับกอดรัดแน่นขึ้นทั้งสองแขน กดจมูกมาที่แก้มแล้วสูดลมหายใจเข้าแรงๆ จากนั้นมาหยุดนิ่งที่ซอกคอ "อืม" เขาคลายแขนออก เธอจึงลุกขึ้น แล้วหยิบเสื้อนอนส่งให้เขา "ศิดาไปแล้วนะคะ" เขาไม่ตอบ แต่พยักหน้า ราเมศวร์มองตามหลังหญิงสาว เขาชอบรูปร่างของเธอ ดึงดูดสายตาได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความสัมพันธ์ในสถานะอื่นกับผู้ใต้บังคับบัญชามาก่อน ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่ช่วงปีใหม่ของปีที่แล้ว ที่เธอตกลงมาในอ้อมแขนของเขา เนื้อตัวแนบชิดกันแทบไม่เหลือช่องว่าง สะโพกด้านข้างของเธอเสียดสีกับแก่นกายของเขา จนเกิดความต้องการขึ้นมารุนแรง อย่างที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน กลิ่นกายของเธอยังหอมจนน่าหลงไหล เสียจนทำให้เขาแทบคลั่ง เขาตอบรับการขอเข้าพบของสิปางดาราสาว ก็เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของเธอ แต่กลับกลายเป็นว่าไร้ประโยชน์ เหมือนกับว่าเธอไม่เคยคิดอะไรกับเขา นอกเหนือไปจากสถานะเจ้านายกับลูกน้อง ราเมศวร์ถอนใจเล็กน้อย เวลาทำงานเขาไม่เคยเจอปัญหาที่อยู่เหนือการควบคุมแบบนี้มาก่อนเลย ที่แท้เขาก็มีช่วงเวลาที่รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเหมือนกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD