ตอนที่ 3

2077 Words
ศศิดามาถึงที่ทำงานเจ็ดโมงกว่าๆ วันนี้มีนัดประชุมสำคัญกับบริษัทการลงทุนความเสี่ยงจากต่างประเทศ ซึ่งทางบริษัทมีโครงการร่วมลงทุน เธอเลยต้องรีบมาเตรียมสถานที่แต่เช้า หญิงสาววางของบนโต๊ะ ตาเหลือบไปทางห้องทำงานของเจ้านายอย่างไม่ตั้งใจ แล้วก็รู้สึกตัวชาเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาเหลือบตาขึ้นมามองแว่บหนึ่ง ก่อนจะไปสนใจเอกสารตรงหน้าอย่างเก่า ศศิดาเม้มปากเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงรัว พยายามหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะ เพื่อระงับความรู้สึกให้อยู่ในระดับปกติ จากนั้นคว้าถุงกระดาษแล้วเดินไปทางห้องกาแฟ มณีนุชเลขาคนเก่าเคยบอกเธอว่า ราเมศวร์เป็นคนทานยาก เขาไม่ชอบอาหารขยะทุกชนิด ยกเว้นรูเบิ้น-แซนด์วิชของโรงแรม ประมาณว่าจะทานเฉพาะอาหารฝีมือเชฟเท่านั้น ร้านอาหารทั่วไปเขาไม่เคยสนใจ เธอนำรูเบิ้นแซนด์วิชที่ซื้อมาจากโรงแรมจัดใส่จาน จากนั้นชงกาแฟ และเตรียมน้ำอุ่น น้ำส้มคั้น และนมเย็นรสจืดอย่างละหนึ่งแก้วทรงสูงขนาดกลาง ใส่ในถาดพร้อมเสริฟมื้อเช้า สำหรับรองท้องก่อนเข้าประชุมสำคัญ หญิงสาวเคาะประตูเป็นพิธี และเปิดเข้าไปโดยไม่รอให้เจ้านายอนุญาต นำถาดไปวางที่โต๊ะหน้าโซฟา จัดวางเตรียมไว้ให้เขาเรียบร้อย พร้อมกับวางแท็บเล็ตไว้สำหรับอ่านข่าวสารประจำวัน เธอตัวแข็งเมื่อมีมือมาจับเอวที่ด้านหลัง เพราะมองไม่เห็นว่าเขาลุกมาตอนไหน “นั่ง! มาทานด้วยกัน” เขาสั่งเสียงเรียบ “ฉัน! เอ่อ ศิดาจะไปเตรียมห้องประชุมก่อนค่ะ เสร็จแล้วค่อยหาอะไรทาน” “ก็ทานสักสองสามคำแล้วค่อยไป” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบอะไร ก็มีเสียงเคาะประตูสองครั้ง เพื่อแสดงออกตามมารยาทแล้วเปิดออกทันที เธอหันไปมองที่ประตูเห็น คุณรชตะ มหัทธนะกิตติ์ ประธานกรรมการบริหาร เปิดประตูเดินเข้ามา “สวัสดีค่ะ ท่านประธาน” เธอยกมือไหว้ทำความเคารพ “สวัสดี! ผมมาขอฝากท้องที่นี่ เลขาผมยังไม่มาเลย!” “รอสักครู่นะคะ” เธอยิ้มเล็กน้อยแล้วรีบเดินออกไป โชคดีที่เธอซื้อรูเบิ้นแซนด์วิชมาสองชิ้น เลยจัดใส่จาน พร้อมกาแฟหนึ่งแก้ว และน้ำอุ่น แล้วยกไปในห้องทำงาน “เลขาแกนี่ช่างเอาอกเอาใจดีจริงๆ รู้หมดว่าใครชอบกินอะไร ชอบกาแฟรสไหน” รชตะพูดหลังจากยกกาแฟขึ้นเป่าแล้วค่อยๆ จิบทีละนิด ราเมศวร์ไม่ตอบ เขายกแก้วนมจืดขึ้นดื่ม ขณะที่อ่านข่าวจากแท็บเล็ต “คุณพ่อจะเข้าประชุมไหมครับ?” “ไม่ล่ะ แกจัดการไปเถอะ วันนี้พ่อมีนัดกับคุณเศรษฐ์” ราเมศวร์ขมวดคิ้ว “คงไม่ใช่เรื่องหมั้น?” “เรื่องหมั้นนั่นแหละ แม่แกเขาเป็นคนรับปากไว้ตั้งแต่ก่อนไปเมืองนอก ทางนั้นเขาเลยทวงถามมา พ่อก็ไม่อยากยุ่ง ถ้าไม่ชอบก็ไม่อยากบังคับ แต่ถ้าแกยังไม่มีใคร จะลองพิจารณาทางนั้นดูสักหน่อยไหม ยังไงสองครอบครัวก็สนิทกัน มีผลประโยชน์ร่วมกันในทางธุรกิจด้วย อยู่กันไปเรื่อยๆ ก็คงรู้สึกดีต่อกันไปเอง” “ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว!” เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้าย “ใคร? พ่อรู้จักหรือเปล่า?” รชตะอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เพราะลูกชายของเขาคนนี้ ไม่เคยมีข่าวกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ทั้งๆ ที่หน้าตา ฐานะ อาชีพการงานก็ดีพร้อม ล้วนเป็นที่ต้องการของสาวๆ “เอาไว้ผมจะพามาแนะนำ” “อืม งั้นพ่อจะลองคุยกับทางนั้นดู ไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับฟังหรือเปล่า ดูทีท่าอยากจะดองกับสกุลเรามากทีเดียว” มุมปากราเมศวร์เชิดขึ้นเล็กน้อย ใครบ้างไม่อยากเกี่ยวข้องกับมหัทธนะกิตติ์ ในเมื่อทั้งอำนาจและผลประโยชน์ทางธุรกิจมหาศาลกองอยู่ตรงหน้า เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ดื่มน้ำส้มไปอึกหนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืน “ผมขอตัวไปประชุมก่อนนะครับ” รชตะ ยกกาแฟขึ้นดื่ม สายตามองตามหลังลูกชายที่กำลังเดินออกไปจากห้อง วงการธุรกิจจัดอันดับให้ราเมศวร์เป็นนักธุรกิจไฟแรงที่มากไปด้วยความสามารถ ทำให้เขาก้าวไกลจนกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบ เขาบ้างานเป็นที่หนึ่ง ไม่เคยสนใจใครเลยนอกจากงาน มีหลายสกุลต้องการจะเกี่ยวดองด้วย พยายามเชื้อเชิญให้ออกงานต่างๆ เพื่อที่จะพาลูกสาวของตัวเองมาแนะนำให้รู้จัก แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะออกงานเหล่านั้น ……………………… ศศิดากำลังเก็บเอกสารของเจ้านาย หลังประชุมเสร็จ แล้วก็ได้ยินเสียงเตือนข้อความเข้าจากไลน์จึงหยิบโทรศัพท์มาเปิดออกดู “ทานข้าวด้วยกันนะ” เป็นข้อความจากราเมศวร์ ศศิดาเม้มปาก รีบพิมพ์ตอบกลับไป “มีนัดแล้วค่ะ” เธอรออยู่สักครู่ ไม่มีข้อความตอบกลับมา จึงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อสูท กอบกองเอกสารไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินออกจากห้องประชุม เมื่อมาถึงที่โต๊ะ เธอเหลือบมองที่ห้องทำงานเขานิดหนึ่ง เห็นปิดไฟ ปิดประตูเงียบ เลยถอนใจโล่งอก เขาคงออกไปข้างนอกแล้ว เธอวางกองเอกสารไว้บนโต๊ะก่อน ค่อยมาคัดแยกทีหลัง เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋ามาถือไว้ แต่จู่ๆ เขาก็เปิดประตูออกมา คว้าข้อมือเธอแล้วพาออกเดิน ศศิดาตกใจ ขืนตัวไว้ เพราะถ้าออกไปแบบนี้ คนทั้งบริษัทจะเห็นและคงเป็นข่าวทอล์กออฟเดอะทาวน์แน่ๆ เขาชะงักหันมามอง “เอ่อ ฉันมีนัดทานข้าวแล้ว” เธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากนิดหนึ่ง “ถ้าไม่อยากให้ผมจับมือคุณลากออกไป ก็เดินตามมาดีๆ” เขาสั่งแกมขู่ แล้วเดินนำไป เธอกลืนน้ำลาย ถอนใจแรง แล้วจำใจเดินตามเขาไป ……………………… คุณมีปัญหาอะไร ทำไมไม่อยากทานข้าวกับผม?” เขาถามหลังจากออกรถมาได้สักพัก “ก็ฉันมีนัดแล้วนี่คะ” “นั่นเป็นข้ออ้าง ถามจริงๆ คุณมีคนคบอยู่ใช่ไหม?” “ไม่มีค่ะ” “มีแล้วคนหนึ่ง!” ศศิดาหันขวับไปสบตาเขาแล้วก็หน้าแดง นี่เล่นเขากำลังเล่นมุก?? ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยเครื่องหมายคําถาม ลอบมองเขาอย่างพิจารณา แต่กลับไม่มีร่องรอยของการล้อเล่นอยู่บนใบหน้าคมเข้มเลยสักนิด “คุณกำลังล้อฉันเล่น?” “ผมจริงจัง!” ศศิดามองหน้าเขา ซึ่งก็ดูออกจะซีเรียสประกอบกับคำพูด เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ในใจรู้สึกย้อนแย้งไปหมด “เป็นแฟนกับผมไม่ดีตรงไหน?” ไม่ดีทุกตรงเลยแหละ!! เอาเรื่องความรักมาพูดเล่นๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ!! “ถ้าพูดกันตามตรง ฉันคิดว่าเราไม่เหมาะสมกันค่ะ!” ศศิดารวบรวมความกล้าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปกติ “เราอยู่กันคนละสังคม ไม่ว่าจะด้านไหนเราก็เข้ากันไม่ได้สักอย่าง!” อะไรดลใจให้ฉันกล้าต่อปากต่อคำกับเขานะ ทำเหมือนไม่กลัวตาย!! “ส่วนใหญ่การเลือกคู่ที่เหมาะสมทางสังคม มักจะเลือกจากฐานะ ชาติตระกูล การศึกษา และอาชีพ แต่ในทางจิตวิทยาจะเลือกจากเหตุผลส่วนตัว ส่วนมากประเภทแรกจะไม่มีความสุข ตรงส่วนที่คุณพูดว่าไม่เหมาะสม เราสามารถเติมเต็มได้ด้วยคุณสมบัติที่ตรงกันข้ามกับตัวเอง” เขาเห็นตัวอย่างมามาก การแต่งงานเพื่อธุรกิจแบบนี้แทบทุกตระกูลพ่อแม่จะจัดการให้ เขารู้สึกโชคดีที่พ่อไม่ได้เร่งรัดเขาเรื่องแต่งงาน ศศิดาหัวเราะไม่ออก ได้แต่นั่งเกร็งสนทนากับเขาท่ามกลางความอึดอัด รู้สึกได้ว่ากระดูกสันหลังของเธอตั้งฉากราวกับไม้บรรทัด “ฉันก็ยังมองไม่เห็นข้อดีของคุณสมบัติตรงกันข้ามที่ว่า? ถ้าพูดถึงในแง่ของจิตวิญญาณมันคือการทำให้หัวใจพองฟู แต่ในโลกของความเป็นจริงมันคือความเพ้อฝัน!” เธอลองใช้สมองคิดอย่างรวดเร็ว ก็ยังหาข้อดีของตัวเองที่จะไปเทียบชั้นกับคนระดับอย่างเขาไม่เจอ ถึงเธอจะมองโลกในแง่ดี แต่ความรู้สึกแตกต่างทางสังคมก็เป็นสิ่งที่ควรต้องยอมรับ เธอมักจะมองโลกจากความเป็นจริง ไม่ชอบเพ้อฝันอะไรเกินตัว หรือเป็นไปไม่ได้ “นั่นเพราะคุณไม่เปิดใจ!” คำพูดของเขายิ่งทำให้บรรยากาศอึดอัดทวีความรุนแรงขึ้น “เปล่านี่คะ” “แล้วยกข้ออ้างเรื่องความไม่เหมาะสมขึ้นมาทำไม?” น้ำเสียงของเขา ดูคล้ายกับเด็กที่กำลังงอน “งั้น! คิดเสียว่าฉันไม่ได้พูดละกัน” เธอเบนหน้าหนี หันไปมองด้านนอก ไม่คิดฟุ้งซ่านอะไรอีก “ไม่คิดบ้างเหรอว่า ผมอาจจะชอบคุณ” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา “คุณชอบฉัน?” เธอหันขวับไปมองเขา ในสมองผุดคำว่าเป็นไปไม่ได้ จึงเผลอหัวเราะออกมา “ตลกมากนักหรือไง?” ศศิดาอึ้ง หยุดยิ้มทันควัน ผู้ชายคนนี้นี่..เหลือเกินจริงๆ! หญิงสาวเครียดจนกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ มือที่กำสายกระเป๋าสะพายเต็มไปด้วยเหงื่อ คำถามของเขาเหมือนต้อนเธอเข้ามุม ทำให้นึกสงสัยว่าเขาพูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนหรือเปล่า “เอ่อ คุณไม่รู้สึกว่า คำพูดของคุณมันดู...ตรง..เกินไปหรือคะ?” เธอฝืนพูดกับเขา “ไม่” เขาตอบห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงปกติ หญิงสาวนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ก็เงียบไปด้วย ตอนนี้คำพูดที่เขาพูดออกมาทุกคำมันทำให้เธอสับสนในใจ ถึงแม้เธอจะหยิบยกเรื่องความแตกต่างขึ้นมาขวางเป็นกำแพง แต่ก็อดหวั่นไหวไม่ได้ตามประสาผู้หญิง เพราะจริงๆ แล้ว เขายังมีเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่เธอค่อนข้างถูกใจ เป็นเสน่ห์แบบที่แตกต่างจากผู้ชายเผด็จการทั่วไป คือเปิดเผย จริงใจ และจริงจังมากกับทุกเรื่อง “มีใครเคยบอกไหมว่าคุณเป็นผู้หญิงที่คิดมากที่สุด” “ก็มีเหมือนกัน” เธอเผลอพูดออกมา แต่กลับกลายเป็นเข้าทางเขา “นั่นไง! เพราะแบบนี้เลยยังโสดเหรอ?” ศศิดาคิดเอาเองว่า ความนัยที่แฝงอยู่ก็คือ ผู้หญิงช่างคิดมากอย่างคุณต่อให้โปรไฟล์ดีแค่ไหนก็ไม่น่าจะมีแฟนหรอก เธอโสดมาหลายปี ไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงเรื่องการแต่งงาน แต่เพราะเธอมีภาระหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ เลยต้องรอบคอบในการวางแผนการใช้ชีวิตเป็นอย่างดี และรู้ว่าตัวเองเป็นพวกหัวโบราณ คนที่มาคบและแต่งงานกับเธอ คงต้องลำบากอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจจะหา แล้วก็ไม่เจอใครที่เข้าตาด้วย ได้ยินคำถามนี้เธอก็มองหน้าเขา แต่ยังไม่ได้ตอบโต้อะไร เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นเสียก่อน “สวัสดีค่ะ” “พี่ศีดา เลยเที่ยงแล้วนะคะ พี่ยังไม่ลงมาทานข้าวเหรอ” “เอ่อ พี่มีธุระออกไปข้างนอกกับท่านรองน่ะ ภาทานเลยจ้ะ ไม่ต้องรอ” “เคร ค่ะ” ศศิดากดวางสาย “กินอะไรดี?” ราเมศวร์ถาม ขณะที่เลี้ยวเข้าที่จอดรถของโรงแรม ซึ่งด้านข้าง เป็นทางเชื่อมไปห้างสรรพสินค้าได้ “เอ่อ! ฉันไม่คุ้นกับอาหารของโรงแรม และคุณก็คงไม่ชอบทานร้านอาหารทั่วไปเหมือนกัน ใช่ไหมคะ?” เธอเริ่มทำให้เขาเห็นความแตกต่างแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย “ก็ไม่เป็นไรนี่!” ยังไม่หยุดอีก? “เราแยกกันทานดีกว่าค่ะ” พอเขาจอดรถดับเครื่องแล้ว เธอจึงตัดสินใจให้เขาเอง รีบเปิดประตูเตรียมจะออกเดินไปทางห้างสรรพสินค้าคนเดียว แต่เขากลับเดินอ้อมหน้ารถมาแล้วจับข้อศอกเธอไว้ ให้เดินตามไปด้วยกัน เธอมองเขาอย่างแปลกใจ “คุณแน่ใจหรือคะว่าจะทานด้วย?” “อืม” เขาตอบรับในลำคอ สีหน้าเรียบเฉยดุจเดิม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD