เพียงเห็นร่องรอยที่ทิ้งไว้ผู้คนก็ต่างขวัญผวา ฝ่ามืออัคนีเป็นวิชาของพรรคมาร แม้รู้เต็มอกว่าพรรคมารชั่วช้าเพียงใด แต่ไม่คิดว่าจะข้องเกี่ยวพัวพันกับราชสำนัก บิดาของเสิ่นฉางซีเป็นองครักษ์หลวง จากที่พี่ใหญ่เล่าให้เขาฟังนั้น เสิ่นจางเหว่ยแต่งงานกับนางกำนัลที่ถูกปลดส่งออกจากวังหลวง ทั้งสองมิได้ใช้ชีวิตอย่างสามีภรรยาทั่วไป เพื่อปกป้องภรรยาและลูกน้อย จึงแต่งงานกันอย่างเงียบๆ และให้ภรรยาอยู่กระท่อมในเขตชุมชนยากจน ใช้ชีวิตเรียบง่าย เมื่อมีวันหยุดจึงได้มาหาภรรยาและบุตรสาว คนทั่วไปไม่มีใครรู้ว่าเสิ่นจางเหว่ยเป็นองครักษ์ หากเข้าใจว่าเป็นพ่อค้าที่เดินทางอยู่เสมอ
แม้ปกป้องลูกสาวมากเพียงใด เมื่อถึงเวลา คนผู้นั้นกลับเลือกหน้าที่มาก่อนชีวิตของบุตรสาวเพียงคนเดียว ยอมให้นางสวมเสื้อคลุมขององค์รัชทายาท เบี่ยงเบนความสนใจเพื่อให้องค์รัชทายาทตัวจริงปลอดภัยจากการถูกลอบสังหาร
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกาเทียนฉีตรวจดูรอยแผลบนศีรษะให้นาง เด็กสาวจึงไม่คิดหลบเลี่ยงหรือปัดมือออก เพียงแต่เห็นท่าทีเหม่อลอยของเขาแล้วนางจึงเรียกอีกฝ่ายเบาๆ
“นายท่านรอง...บาดแผลของฉางซีเป็นอะไรรึเจ้าคะ”
“อ่อ...” เกาเทียนฉีตื่นจากภวังค์แล้วชักมือกลับช้าๆ ไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด “ดีขึ้นมากแล้ว แต่อาการปวดศีรษะของเจ้ายังเหมือนเดิมสินะ”
เสิ่นฉางซีพยักหน้าแทนคำตอบ
“ไปพักผ่อนได้แล้ว ระวังต้องลมเย็นเข้า”
“ฉางซีทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เกาเทียนฉีโบกมือไล่เด็กสาวให้กลับไปพักผ่อน เขามองร่างของเสิ่นฉางซีเดินจากไปสุดสายตาแล้วจึงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงแล้วคิดถึงโชคชะตาของตนเอง
‘ชีวิตเป็นของเจ้า เจ้าต้องลิขิตเองสิ’
อ่า...เขาเอ่ยกับเจ้าวัวดื้อตัวน้อย เหตุใดกลับรู้สึกเหมือนบอกตัวเองอย่างไรไม่รู้ได้.
...
บุรุษหนุ่มสวมชุดสีดำสนิทไร้ลวดลายใด แต่กระนั้นก็ยังเป็นผ้าไหมเนื้อดี เขาเอนกาย หลังพิงลำต้นของต้นไม้ ปล่อยขาข้างหนึ่งห้อยลงมา ส่วนอีกข้างเหยียดยาวไปตามแนวของกิ่งไม้ขนาดใหญ่ ริมฝีปากบางคาบใบไม้ สายตายังคงมองเหม่อไปที่ขอบฟ้าสีคราม
กลับเข้ามาบ้านตัวเองได้ครึ่งเดือนแล้ว เหตุใดรู้สึกไม่คุ้นเคยและว่างเปล่าเช่นนี้นะ
แม้สายตาจะอยู่ที่ท้องฟ้า แต่ด้วยประสาทการรับรู้ไวกว่าปกตินั้นทำให้รู้ว่ามีคนไต่กิ่งไม้ขึ้นมาจนถึงกิ่งที่ใกล้เขาที่สุด
“ไฉนไม่ยื่นมือช่วยเหลือกันบ้าง” เสียงบ่นพลางเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้
สวินเย่ว์ขยับกายนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแต่แววตามีรอยขบขันที่เห็นผู้ที่มาเยือนสวมชุดขันที
“เป็นถึงรัชทายาทต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้เชียวหรือ”
“หากเลือกได้ ข้าขอเกิดเป็นสามัญชนเช่นเจ้าดีกว่า” บุรุษหนุ่มเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อากาศนอกรั้ววังหลวงนี้ช่างสดชื่นดีแท้
“ท่านคงมิได้ลอบออกจากตำหนักบูรพาเพื่อสูดอากาศเท่านั้น
หรอก”
สวินเย่ว์คุ้นชินกับนิสัยของรัชทายาทฝูหรงเป็นอย่างดี ยามนี้เขาสวมชุดขันทีเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสนทนาด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ
“เจ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนข้าเลยนี่ ข้าจึงยอมลดตัวมาหาเจ้า”
“ตำหนักบูรพาน่าเข้าไปนักหรือ?” เขาเบ้ปากเล็กน้อย “ได้พบท่านครั้งแรก ท่านก็สวมชุดขันทีเช่นนี้”
รัชทายาทฝูหรงหัวเราะออกมา มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและปลอดโปร่ง หากสบโอกาสเขามักลอบออกจากตำหนักเพื่อติดตามหาข่าวใครคนหนึ่งเสมอ และนั่นทำให้เมื่อสามปีก่อนบังเอิญได้พบสวินเย่ว์ ครานั้นเขายังไม่รู้ว่า ‘สวินเย่ว์’ เป็นใคร เพียงแต่เห็นว่าเขาเป็นทหารระดับล่างที่มีฝีมือดี สวินเย่ว์เคยช่วยเขาเมื่อครั้งที่ลอบออกจากตำหนักสองหรือสามครั้ง ใบหน้าเรียบนิ่งและท่าทีหยิ่งยโสนั้นรบกวนจิตใจเขา คนผู้นี้ไม่เปิดโปงเขาและไม่ปากมาก เดิมทีคิดจะลากสวินเย่ว์มาเป็นองครักษ์ข้างกาย แต่อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เขาจึงรู้สึกว่าทหารผู้นี้ไม่ธรรมดา จึงคบหาอย่างสหาย แม้ไม่ได้พบเจอกันบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่ได้พบกลับรู้สึกราวกับคนคุ้นเคย เมื่อรู้ความจริงว่าสวินเย่ว์เป็นบุตรชายคนโตสกุลสวิน ตระกูลนักรบหลายชั่วอายุคน เขาจึงไม่รู้สึกประหลาดใจนัก
สวินเย่ว์เองรู้ดีมาตั้งแต่พบหน้าฝูหรงครั้งแรกว่าเขาเป็นองค์รัชทายาท แม้ตัวเขาใช้ชีวิตนอกจวน แต่ข่าวคราวความเคลื่อนไหวในวังหลวงและการทหารย่อมอยู่ในสายตาของเขาตลอด มิเช่นนั้นเขาจะยังสามารถใช้ชีวิตรอดพ้นคมกระบี่มาถึงเวลานี้ได้หรือ? แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการให้เขารู้ เขาจึงแสร้งไม่รู้ กระทั่งยามที่ได้พบกันในท้องพระโรง เขาไม่เห็นแววตาแตกตื่นหรือประหลาดใจของฝูหรงแม้แต่น้อย ตามจริงแล้ว เมื่อฐานะที่แท้จริงของเขาเปิดเผย ฝูหรงไม่จำเป็นต้องแต่งกายชุดขันทีลอบมาพบเขาเช่นนี้
หรือว่าชายผู้นี้ชอบชุดขันทีจริงๆ
ฝูหรงเห็นแววตาวูบหนึ่งของสวินเย่ว์มีคำถามแล้วก็กลบเกลื่อนด้วยการมองไปทางอื่น
“ดูเหมือนเจ้าไม่ชอบอยู่จวนเท่าไหร่นี่” ฝูหรงไม่ใส่ใจสายตาแปลกๆ วูบนั้น
“แค่ไม่คุ้น มิใช่ไม่ชอบ” สวินเย่ว์ไหวไหล่เล็กน้อย “อีกอย่างการที่ข้าเลื่อนมารับตำแหน่งแม่ทัพในครั้งนี้ทั้งที่เหตุการณ์ไม่คลี่คลายดีนัก ข้าอยากกลับไปสะสางให้แล้วเสร็จ”
“อ้อ...เจ้าได้เลื่อนขึ้นเป็นแม่ทัพมีความดีความชอบเพราะสังหารแม่ทัพที่คิดก่อกบฏ” ฝูหรงแสร้งพูดเหมือนเพิ่งนึกได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แสดงว่าคนในสกุลสวินนั้นระแคะระคายเรื่องเหล่านี้มาตลอดจึงยอมส่งบุตรชายคนโตเข้ากองทัพโดยไม่เปิดเผยตัวจริงออกไป “ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้จะทรงพระราชทานงานสมรสให้เจ้าด้วยนี่ เจ้าจะได้เป็นถึงราชบุตรเขยเลยทีเดียว”