เพลงขลุ่ยหวานเศร้าเรียกสติของเสิ่นฉางซี นางมิรู้เลยว่าตนเองใจลอยเดินถือชามรังนกมาถึงเรือนของเกาเทียนฉี นางหยุดยืนมองบุรุษในชุดเสื้อสีเขียวใบไผ่ยืนเป่าขลุ่ยอยู่ในลานกว้าง ดวงตาเหม่อลอยคู่นั้นปรายตามายังร่างของเด็กสาว เขาจึงหยุดเป่าขลุ่ยแล้วพยักหน้าเป็นเชิงเรียกให้นางเข้าไปหา
“นายท่านรอง” เสิ่นฉางซีวางชามรังนกบนโต๊ะหิน “ฉางซีฟังเพลงนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยฟังท่านเป่าจนจบเพลงเสียที”
“ข้าบรรเลงให้เจ้าฟังที่ไหนกัน” เกาเทียนฉียื่นมือมาใช้ปลายนิ้วดีดหน้าผากของเด็กสาวเบาๆ แล้วหลุบตามองชามรังนก “เอามาให้ข้ารึ ไฉนจึงเย็นชืดเช่นนี้เล่า เจ้าเดินข้ามเขาหัวซานมาหรือไร”
ถ้อยคำหยอกล้อของเกาเทียนฉีทำให้เด็กสาวหัวเราะออกมา บุรุษผู้นี้อายุยี่สิบหกแล้วแต่บางครั้งยังทำตัวเหมือนเด็ก
“ฉางซีจะเอาไปอุ่นให้ใหม่เจ้าค่ะ” นางไม่กล้าบอกว่าไม่ได้ตั้งใจยกมาให้เขา แต่เกาเทียนฉีกลับโบกมือไปมาแล้วหยิบรังนกชามนั้นมากินเสียเอง
“ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีขึ้นทุกวัน” เกาเทียนฉีเอ่ยชมจากใจจริง ราวกับไม่แปลกใจที่เห็นรังนกอยู่สองชาม “อีกสองสามวันข้าจะเดินทาง เจ้ามาช่วยข้าจัดเตรียมสัมภาระหน่อยนะ”
“นายท่านรองจะไปหยุนหนานหรือเจ้าคะ”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจกับน้ำเสียงตื่นเต้นของเด็กสาว “ยังหรอก อีกสองสามเดือนข้าถึงจะไปหยุนหนาน แต่นี่ข้าจะเข้าป่าขึ้นเขาไปหาโสมซานซีเสียหน่อย เจ้าก็รู้เวลาเข้าป่าแต่ละครั้งข้าไปหลายวัน
อย่างไรก็ต้องเตรียมสัมภาระให้พร้อม”
“อ่อ” นางรับคำเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ
“เจ้าอยากไปหยุนหนานหรือ?” เห็นท่าทางตื่นเต้นของนางแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้มักเก็บอาการ ไม่แสดงความต้องการสิ่งใดออกมานัก
เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ยินนายท่านรองและท่านหมอหวังข่ายพูดถึงหยุนหนานบ่อยๆ ข้าจึงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง”
เกาเทียนฉีกินรังนกจนหมดแล้วรับน้ำชาจากเสิ่นฉางซี
“แท้จริงเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจสินะ”
“นายท่านรอง...” นางเอ่ยได้เพียงแค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก
“ฉางซี” เกาเทียนฉีฉีกยิ้มให้เด็กสาว “ที่เจ้าพยายามเรียนรู้อะไรมากมายเพียงเพื่อออกไปใช้ชีวิตข้างนอกนั่นมิใช่หรือ?”
เสิ่นฉางซีเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า “ฉางซิมิได้...”
ยังไม่ทันพูดจบประโยค เกาเทียนฉีโบกมือห้ามไม่ให้นางพูดต่อ
“สกุลเกาสร้างสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามมาสองชั่วอายุคนแล้ว แต่พวกเราก็มิใช่คนลืมกำพืดตนเอง พวกเราไม่ใช่สกุลใหญ่โตเหมือนพวกคหบดีหรือวาณิช เจ้าเองอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วย่อมรู้ว่าคนในสำนักคุ้มภัยมีที่มาที่ไปหลากหลาย บางคนโลดแล่นในยุทธภพมาก่อน บางคนเป็นช่างตีเหล็กหรือเป็นชาวนาที่แข็งขัน เจ้าเองเป็นบุตรสาวสหายรักของพี่ใหญ่ข้า พวกเราเลี้ยงดูเจ้าธรรมดายิ่ง ตัวเจ้าเองพยายามตอบแทนบุญคุณเสมอมา เรื่องนี้ต่อให้คนตาบอดก็ยังรู้ หากเจ้ามีสิ่งที่ปรารถนาจะทำ มีสถานที่ที่อยากไป เจ้าจงทำมันเสีย อย่าได้คิดว่าการไปจากที่นี่เป็นการอกตัญญูเลย”
ดวงตาของเด็กสาวจ้องมองบุรุษที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้าราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ซ้ำยังแสดงท่าทีเกียจคร้านออกมา
“เจ้าอยากไปหยุนหนานก็เตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะบอกพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เอง”
“ขอบคุณนายท่านรองมากเจ้าค่ะ”
เกาเทียนฉีพยักหน้าขึ้นลง “การรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าใช้เงินทองไปมากก็จริง แต่ที่ผ่านมาเจ้าเองมิได้อยู่เฉย หากเจ้าต้องการไปหรือมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการทำ ข้ายินดีสนับสนุน แต่ที่เป็นกังวลเพราะร่างกายของเจ้ายังไม่แข็งแรงดีนัก”
“ใครว่าข้าไม่แข็งแรง ข้าแข็งแรงราวกับวัวเชียวนะ” นางหัวเราะพลางแอบเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า
“ข้ารู้” ชายหนุ่มโคลงศีรษะไปมา “เอาอย่างนี้ ระหว่างที่ข้าขึ้นเขาไปหาสมุนไพรหายาก เจ้าไปเฝ้าสวนสมุนไพรที่กระท่อมเชิงเขา ที่นั่นใกล้บ่อน้ำพุร้อน เจ้าไปแช่ตัวอบสมุนไพรเพื่อเตรียมตัวเดินทางดีหรือไม่ เจ้าเองไม่ได้ไปที่บ่อน้ำพุร้อนนานแล้วกระมัง”
“ก็ไม่นานนะเจ้าคะ แค่เดือนเศษๆ เอง”
“แต่ก่อนข้าย้ำให้เจ้าไปแช่น้ำพุร้อนทุกสิบวัน เจ้าลืมไปแล้วหรือไร” เขาส่ายหน้าไปมา “ทีเรื่องของผู้อื่น เจ้าใส่ใจทุกเรื่อง แต่ไยเรื่องของตนเองกลับหลงลืมไปได้”
เด็กสาวยิ้มทำหน้าทะเล้น
“ฉางซี เจ้าอย่าเพิ่งถอดใจ หลายปีมานี้ สภาพร่างกายเจ้าฟื้นฟูขึ้นมาก ไม่แน่ว่าบางที...”
“ขอบคุณนายท่านรองที่เมตตาฉางซีเจ้าค่ะ” นางลุกขึ้นยืนกล่าว
ออกมาจากใจจริง “ทุกอย่างล้วนเป็นชะตากำหนด”
“วัวดื้ออย่างเจ้าเชื่อเรื่องชะตากำหนดเรอะ” เขายื่นมือไปดีดหน้าผากเด็กสาวอีกครั้ง “ชีวิตเป็นของเจ้า เจ้าต้องลิขิตเองสิ”
“ลิขิตชีวิตตัวเอง?”
“เจ้าอายุยังน้อย อย่าเพิ่งสิ้นหวังกับชะตากรรมของตนเอง”
เขายื่นมือทำท่าจะดีดหน้าผากนางอีกครั้ง แต่เห็นนางหลับตาปี๋เขาก็อดยิ้มไม่ได้ จึงแค่ยื่นมือไปลูบศีรษะของนางเบาๆ เด็กสาวอายุสิบห้าแล้ว แต่ไม่อาจเกล้าผมหรือปักปิ่นเช่นเด็กสาวในวัยเดียวกันได้ หากนางไม่ถักเปียไว้หลวมๆ ก็จะเห็นนางใช้ผ้าเส้นเล็กๆ รวบมัดเส้นผมไว้ ปลายนิ้วกร้านเกลี่ยเส้นผมที่ใบหน้าเปิดโคนเส้นผมที่หน้าผากของนางขึ้น รอยแผลเป็นคล้ายรอยไหม้ที่ตีนผมยังเห็นเป็นรอยสีชมพู เขายังจำสภาพของนางที่พี่ใหญ่พานางกลับมาที่สำนักคุ้มภัยได้เป็นอย่างดี ต่อให้เป็นผู้ชายตัวโตเห็นสภาพของเด็กหญิงวัยสิบขวบเปื้อนเปรอะโลหิตเช่นนั้นยังอดสะเทือนใจมิได้
‘ฝ่ามืออัคคี’