บทนำ
รถม้าคันหนึ่งถูกไล่ล่ามากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ร่างบอบบางของเด็กหญิงวัยสิบขวบที่สวมชุดเด็กชายอยู่นั้น ถูกบิดากอดไว้แนบแน่นอย่างปกป้อง เด็กน้อยจ้องมองหัวไหล่ของบิดาที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต นางกัดริมฝีปากแน่นกลั้นเสียงร้องแต่กระนั้นน้ำตาหยดใสยังไหลรินจากดวงตาคู่งาม
หนีมาได้ไกลถึงเพียงนี้ อีกแค่ไม่กี่สิบลี้ก็จะถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดสวรรค์ไม่เมตตา
“พ่อผิดต่อเจ้าแล้ว ซีเอ๋อร์” น้ำเสียงของบิดาปลอบประโลมอยู่ริมหู หัวใจเหมือนมีมือยักษ์มาบีบเค้นจนเจ็บปวดเกินพรรณนา ด้วยสถานการณ์บังคับ เขาในฐานะหัวหน้าองครักษ์ต้องปกป้ององค์รัชทายาท ทว่าเวลานี้กลับต้องใช้บุตรสาวเพียงคนเดียวสวมชุดรัชทายาทลวงเหล่านักฆ่ามาอีกทางเพื่อให้คนของเขาพาองค์รัชทายาทเสด็จกลับวังโดยด่วน
“ซีเอ๋อร์อย่าได้กลัว” วงแขนโอบกอดบุตรสาวแนบแน่น ภรรยารักของเขานั้นเป็นเพียงนางกำนัลเล็กๆ ในวังหลวง เมื่ออยู่จนอายุครบกำหนดก็ออกมาใช้ชีวิตนอกวังตามกฎ เขาผู้แอบรักนางมาเนิ่นนานจึงได้แต่งงานกันอย่างเงียบๆ มีบุตรสาวที่แสนน่ารัก ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งเขาจะต้องใช้ชีวิตบุตรสาวตัวเองทำการเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ หากภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นรู้เข้า คงตำหนิเขาไม่น้อย
“ท่านพ่อ...ซีเอ๋อร์ไม่กลัว” เด็กหญิงกอดบิดาแน่น นางเข้าใจหน้าที่ของบิดาดี มารดาพร่ำสอนเสมอ แม้มารดาตายจากไปได้เพียงครึ่งปี แต่นางก็ยังจดจำถ้อยคำคำสั่งสอนของมารดาขึ้นใจ นางยอมสวมชุดรัชทายาทโดยไม่อิดออด แต่นางเป็นห่วงบาดแผลของบิดา เลือดหลั่งไหลราวกับน้ำฝน
“ดี! ดียิ่ง! สมกับเป็นบุตรสาวของข้า เสิ่นจางเหว่ย!”
เสิ่นจางเหว่ยไม่เคยสอนบุตรสาวฝึกฝนวรยุทธ์ ด้วยหวังใจให้เติบโตเช่นเด็กสาวทั่วไป เขาเห็นการแก่งแย่งแข่งขันมามากนัก จึงหวังให้บุตรสาวเติบโตใช้ชีวิตเรียบง่าย ทว่าไม่คิดว่าชะตานำให้ต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้
‘เสิ่นฉางซี’ รู้สึกได้ถึงรถม้าที่เหวี่ยงผิดทิศทาง แม้ร่างของนางอยู่ในอ้อมกอดของบิดา จนกระทั่งรถม้าเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบ ด้วยการป้องกันของบิดา นางขดตัวกลมหลับตาแน่นไม่รับรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ร่างของทั้งสองกระแทกฝารถม้าหลายครั้ง นางรู้สึกเหมือนรถม้ากำลังร่วงสู่ตีนเขา หูของนางอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงใด จนกระทั่งทุกอย่างหยุดนิ่ง บิดาคลายอ้อมแขนแล้ว นางยกมือเรียวขึ้นแตะศีรษะที่ปวดหนึบพลันสัมผัสถึงเลือดสีสดที่ไหลออกมา ซ้ำที่ข้อมือยังเป็นรอยถลอกยาว นางมิได้สนใจความเจ็บปวดของตนเอง รีบยันกายลุกขึ้นมองบิดาที่หายใจรวยริน ร่างกายชุ่มโชกด้วยเลือด มือเล็กยื่นไปจับแขนหมายเขย่าเรียกสติ กลับพบบิดาแขนหัก กระดูกสีขาวทะลุผิวหนังออกมา
“ท่านพ่อ” นางเรียกเสียงแหบแห้ง ยืดตัวขึ้นหมายจะหาคนช่วย
ทว่านางกลับพบว่ามีกลุ่มคนกระโจนเข้ามาล้อมรถม้าที่แตกออกเป็นชิ้นๆ นี้ กลิ่นไอสังหารที่รายล้อมทำให้นางดึงปกเสื้อคลุมตัวนอกที่สวมอยู่ขึ้นมาเพื่อปิดบังใบหน้า มือเล็กควานรอบกายได้กระบี่ของบิดาที่ตกอยู่ไม่ไกลนัก นางจับกระบี่เปื้อนเลือดของบิดาด้วยมืออันสั่นเทา นางเคยจับกระบี่ของบิดาแต่ไม่เคยจับกระบี่เปื้อนเลือดเช่นนี้ กระบี่หนักอึ้งจนนางยกแทบไม่ขึ้น ทว่ามือใหญ่เอื้อมมาประคองมือเรียวเล็กที่สั่นเทาของนาง
“ท่านพ่อ!”
“พ่อ?”
หนึ่งในนั้นได้ยินก็ขมวดคิ้ว แม้แต่งกายชุดดำมีผ้าปกปิดใบหน้า ทว่าดวงตาที่จ้องมองมายังร่างเล็กเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ยื่นมือมากระชากร่างของเด็กสาวที่สวมชุดบุรุษใหญ่โตเกินตัว
“ช่างกล้านัก!”
ร่างของนางถูกแกว่งไปมา เท้าเล็กลอยเหนือพื้น เสิ่นฉางซีดิ้นรน นางจ้องมองบิดาที่ใช้กระบี่พยุงกายลุกขึ้นยืน แขนข้างหนึ่งห้อยทิ้งตัวราวกับไม่มีกระดูก
“เจ้าทำข้าเสียเวลา ข้าจะให้บุตรสาวของเจ้าชดใช้”
“ซีเอ๋อร์!”
“กรี๊ดดดดดด”
เด็กหญิงถูกฝ่ามือใหญ่บีบกะโหลก ความเจ็บปวดที่ไม่เคยได้พบทำให้นางกรีดร้องสุดเสียง ครู่ต่อมาร่างของนางถูกเหวี่ยงลงพื้น ตามด้วยเท้าใหญ่กระทืบซ้ำที่ท้องน้อย เด็กหญิงกรีดร้องและกระอักโลหิตออกมา ทว่าเสียงร้องอันน่าสงสารไม่ได้ช่วยอะไร เท้าใหญ่ข้างนั้นกระทืบซ้ำที่ต้นขาของเด็กหญิง เสียงกระดูกลั่นทำให้ผู้คนที่ยืนอยู่ถึงกับกลั้นหายใจ
โทสะของเสิ่นจางเหว่ยทำให้เขาเรียกกำลังเฮือกสุดท้าย พุ่งไปหมายปกป้องบุตรสาว ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายตวัดดาบแทงหน้าอกทะลุไปด้านหลัง เด็กหญิงเบิกตากว้างมองดาบเล่มนั้นทะลุร่างของบิดา เพียงอีกฝ่ายชักดาบออกจากร่าง เลือดสีสดก็พุ่งออกมา ร่างของเขาโงนเงนอยู่ครู่หนึ่งก่อนล้มลงใกล้ร่างของบุตรสาวที่บาดเจ็บจนขยับตัวไม่ได้
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ!”
“ซีเอ๋อร์ พ่อ...ขอโทษ”
“ไม่! ไม่! ท่านพ่อ”
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะสงเคราะห์พ่อลูกให้ได้อยู่กันพร้อมหน้าในปรโลก!”
ดาบใหญ่ถูกง้างขึ้นเหนือศีรษะหมายจะปลิดชีพคนทั้งสอง ทว่าธนูดอกหนึ่งพุ่งแหวกอากาศทะลุทรวงอกของชายผู้นั้น เจ้าของร่างใหญ่ก้มมองหน้าอกตนเห็นธนูหัวเหล็กโผล่ทะลุเกราะที่สวมอยู่ ความเจ็บปวดเริ่มแทรกเข้ามาในโสตประสาท เขาอ้าปากส่งเสียงร้องราวสัตว์บาดเจ็บ
“บาปกรรม บาปกรรม”
“ไต้ซือก็อยู่ส่วนไต้ซือ อย่าได้ยุ่งเรื่องทางโลก”
“เห็นแล้วไม่ช่วยเหลือ ย่อมเป็นบาปกรรม”
ไต้ซือรูปหนึ่งเอ่ยขึ้น ในมือยังถือลูกประคำ อีกมือถือไม้เท้าเรียบง่าย แต่เด็กหนุ่มในชุดดำด้านหลังกำลังขึ้นลูกธนูเล็งมาทางชายชุดดำ
“สวินเย่ว์”
เสียงสงบเยือกเย็นของไต้ซือทำให้เด็กหนุ่มเบ้ปาก
“ไฉนท่านย้ำนักหนามิให้ข้าลงมือสังหารคน!”
“ข้าให้เจ้าช่วยคนต่างหาก”
เด็กหนุ่มเค้นเสียงในลำคอ ลดธนูในมือลงเหวี่ยงไปด้านหลังแล้วชักกระบี่ออกมาพุ่งใส่กลุ่มคนชุดดำ
เลือดสีเข้มไหลเข้าตา เสิ่นฉางซีมองเห็นภาพเบื้องหน้าไม่ชัดเจน เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวสามารถต่อสู้กับคนนับสิบได้อย่างสบายมือ นางรู้สึกถึงแรงบีบที่ฝ่ามือทำให้เหลือบตามองบิดาที่บีบมือนาง
“ท่าน...พ่อ...”
ร่างกายของนางขยับไม่ได้ ทำได้เพียงกลอกตาไปมา จนกระทั่งนางเห็นไต้ซือผู้นั้นค่อยๆ นั่งลงตรงหน้านาง ยื่นมือไปแตะมือใหญ่ของบิดาที่กำมือของนางแน่น
“ประสก โปรดปล่อยวางเถิด แม่นางน้อยยังชะตาไม่ถึงคาด ประสกจงจากไปอย่าอาวรณ์”
นางพยายามเบิกตากว้าง เห็นเพียงร่างบิดากระตุกสองครั้งก็แน่นิ่งไป
“ท่านพ่อ” นางเรียกได้เพียงแค่นั้น กลอกตามองไต้ซือครั้งหนึ่งและมองไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง
“บาดแผลเจ้าสาหัสไม่น้อย ถึงขั้นเสียโฉม น่าเศร้าใจยิ่ง” ไต้ซือส่ายหน้าไปมา เห็นเด็กหนุ่มขับไล่ชายชุดดำไปหมดแล้วจึงพยักหน้าเรียกให้เข้ามาใกล้
เสิ่นฉางซีกลอกตามอง เพราะเลือดไหลเข้าตาทำให้นางมองไม่ชัด ก่อนสติจะหลุดลอย นางรับรู้เพียงว่ามีใครคนหนึ่งอุ้มนางไว้ แม้กายของเขาจะมีกลิ่นคาวเลือด แต่นางกลับรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงหัวใจใต้ใบหูของนางนั้นทำให้นางหลับใหลไปด้วยความวางใจ
นางเชื่อใจว่าคนผู้นี้จะไม่ทำร้ายนาง.