เกิดใหม่เป็นเถ้าแก่เหลาสุรา
เกิดใหม่ครั้งที่ 3
ซุยหลินนั่งมองจอกไม้ไผ่ที่กองอยู่ตรงหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี เนื่องจากตอนนี้มันกองอยู่สูงท่วมหัวเลยก็ว่าได้ ซุยหลินหันไปบอกกับช่างทั้งสามคนว่าอยากได้จำนวนมากหน่อย ช่างไม้ทั้งสามคนก็เลยจัดการตัดต้นไผ่ออกเกือบทั้งกอใหญ่ เถ้าแก่ซุยได้แต่นั่งสูดลมหายใจปอดอย่างแรงราวกับว่ากำลังเรียกสติ เมื่อต้นไผ่ที่แสนรักแสนหวงโดนโค่นลงมากองอยู่ที่พื้นกองใหญ่
“พวกข้าจัดการตัดแบ่งเป็นจอกเหล้าตามที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้ว”
“ขอบคุณมากขอรับ นี่ก็ค่าจ้างของพวกท่านนะ คนละสามเหรียญทองแดง” ซุยหลินหยิบเงินที่อยู่ในกระเป๋ามายื่นให้กับช่างไม้ทั้งสามคน
“แล้วท่านจะจัดการกับจอกเหล้าพวกนี้อย่างไร”
“อ่า ข้าคงจะต้องขัดให้มันเนียนก่อนที่จะเอาไปใช้งาน” ซุยหลินมองเหล่าจอกเหล้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กองอยู่ก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
ช่างทั้งสามคนหันไปคุยกันเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “ให้พวกข้าอยู่ช่วยก่อนหรือไม่ อย่างไรเสียมันก็ยังเหลือเวลาอยู่อีกครึ่งวัน เพราะท่านจ้างพวกข้าด้วยค่าแรงหนึ่งวันเต็มๆ”
“จริงหรือ” ซุยหลินยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อไม่ต้องจัดการเหล่าไผ่พวกนี้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว
“ใช่ แต่อย่างไรนี่ก็ยามเว่ยแล้ว พวกข้าต้องพักกินข้าวกันก่อน”
“ได้ๆ เดี๋ยวข้าไปเตรียมอาหารในครัวให้” ซุยหลินพยักหน้ารัวๆ
“ไม่เป็นไรขอรับ เดี๋ยวพวกข้ากลับไปกินที่โรงไม้ดีกว่า”
“ไม่ๆ เสียเวลาเดินทางแย่ ให้ข้าทำให้พวกท่านดีกว่า รอไม่นานแน่นอน”
“พวกข้าขอบคุณที่ท่านกรุณา” ช่างไม้ทั้งสามโค้งให้กับซุยหลินเล็กน้อย เนื่องจากปกตินายจ้างไม่เคยเตรียมอาหารให้กับพวกเขาเลย การได้รับความใส่ใจจากเกอน้อยตรงหน้าทำเอาชายร่างกำยำทั้งสามคนรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ร่างบางวิ่งเข้าครัวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเริ่มทำอาหารอย่างง่ายๆ ที่ไม่ต้องเสียเวลาเป็นแป้งจี่ที่กินกับเนื้อตากแห้งแทน เนื่องจากว่าถ้าให้หุงข้าวก็กลัวว่าจะกินเวลาหลายชั่วโมงเดี๋ยวช่างไม้จะหิวจนเป็นลมกันไปเสียก่อน
เมื่อได้มื้อกลางวันลงท้องงานที่ยังค้างอยู่ก็เริ่มลงมือต่อทันที ช่างไม้ทั้งสามคนช่วยกันใช้มีดขูดรอบนอกของจอกเหล้าให้เรียบเนียน โดยมีซุยหลินนั่งมองอย่างสนใจ
ตอนนี้ร่างบางนั่งอยู่กับช่างไม้ทั้งสามคนเนื่องจากเถ้าแก่ซุยทนอยู่ดูต่อไม่ได้ ชายชราจึงเลือกที่จะไปนั่งเล่นกระดานหมากรุกคนเดียวที่ห้องหมากรุกแทน
“หากพวกข้าขัดจอกเหล้านี่เสร็จท่านจะทำอย่างไรกับมันต่อ”
“อืม.. ข้าก็คงหาโลโก้ร้านมาติดไว้มั้ง”
“โลโก้ร้านหรือ?” ช่างทั้งสามคนหยุดมือเงยหน้าขึ้นมามองซุยหลิน
“อ่า.. เรียกว่าอย่างไรดี แบบเป็นชื่อร้านน่ะ ติดไว้ที่กระบอกไผ่”
“แล้วท่านจะทำอย่างไรหรือ ปกติข้าไม่เห็นว่าจะมีใครทำกัน”
“ข้าเคยเห็นผ่านตามาบ้าง ก็ประมาณว่าไปทำตราประทับเป็นเหล็กมา เผาเหล็กให้ร้อนแล้วก็กดลงไปที่จอกเหล้านี่ มันก็จะเป็นรอยไหม้ตามลวดลายของตราเหล็กเอง” ซุยหลินหยิบเอาจอกเหล้าอันหนึ่งมาทำท่าทางให้ดู
“ความคิดของท่านช่างแปลกประหลาดนัก บางคราวคำพูดคำจาของท่านก็ประหลาดไม่ต่างกัน”
“นั่นสิ ข้าเห็นด้วย”
“อ่า.. ข้าเคยล้มหัวฟาดพื้นจนสลบไปน่ะ ก็อาจจะมีพูดจาไม่รู้เรื่องอยู่บ้าง” ซุยหลินสายตาหลุกหลิกคิดหาคำแก้ตัว
“อย่างนี้เถ้าแก่ซุยไม่เสียใจแย่หรือ ท่านเป็นลูกชายคนเดียวด้วยนี่”
“ก็.. ท่านพ่อของข้าก็ทำอะไรไม่ได้นี่นา”
ซุยหลินยักไหล่เล็กน้อย ช่างไม้ทั้งสามคนได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะตั้งใจจัดการกับกองจอกเหล้าที่อยู่ตรงหน้าให้เสร็จ ด้วยความที่เชี่ยวชาญด้านงานของไม้กันอยู่แล้วช่างทั้งสามคนจึงทำเสร็จภายในยามเซิน
เมื่อช่างทั้งสามเดินทางกลับไปซุยหลินค่อยๆ เก็บเอากองจอกเหล้าที่กองกันอยู่ไม่เป็นระเบียบมาเรียงต่อกันเป็นแถว เมื่อเรียบร้อยดีก็เดินออกไปชวนเถ้าแก่ซุยให้ออกไปโรงเหล็กด้วยกัน
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” คนที่เหมือนจะมีตำแหน่งที่ใหญ่ที่สุดในโรงเหล็กถามขึ้นเมื่อซุยหลินบอกไปว่าอยากได้อะไร
“อย่างที่ข้าบอกไปขอรับ ข้าอยากได้ตราประทับ อยากได้ด้ามยาวๆ หน่อย เพราะข้าต้องเอาไปเผาไฟ”
“เจ้าจะเอาของแบบนั้นไปทำไมกัน”
“ข้าจะเอาไปปั๊มที่แก้วเหล้าขอรับ”
“ปั๊มที่แก้วเหล้า?” ช่างเหล็กทำหน้างง
“อ่า..ข้าจะเอาไปประทับที่จอกเหล้าไม้ไผ่น่ะขอรับ จะเอาไปใช้ในเหลาสุราของท่านพ่อ”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจก็เถอะ ข้ารับปากจะทำให้ก็แล้วกัน แล้วเจ้าอยากได้แบบไหนหรือ”
“ข้าออกแบบมาแล้วเรียบร้อยขอรับ” ซุยหลินหยิบเอาแผ่นกระดาษที่เหน็บไว้ในอกเสื้อออกมายื่นให้กับช่างเหล็ก “เป็นอักษรที่อ่านว่าซุย”
“แค่คำว่าซุยนี่ใช่หรือไม่”
“ขอรับ ข้าอยากได้แค่นั้นเลย แต่ว่าอยากได้ภายในสามวัน”
"เช่นนั้นข้าคิดทั้งหมดห้าสิบเหรียญทองแดง เนื่องจากต้องเร่งมือให้ทันตามที่เจ้าต้องการ เจ้าจ่ายไหวหรือไม่"
"อ่า.. ขอรับ ห้าสิบเหรียญทองก็ห้าสิบเหรียญทอง"
เมื่อตกลงเรื่องตราประทับกันได้แล้วสองพ่อลูกตระกูลซุยก็เดินทางกลับจวน เถ้าแก่ซุยจ่ายค่าตราประทับไปในราคาที่ค่อนข้างแพงเพราะเร่งให้ช่างเหล็กทำภายในสามวัน ชายชรามองก้อนเงินในมือที่เหลืออยู่เพียงหกเหรียญทองก่อนจะถอนหายใจออกมาน้อยๆ
“เดี๋ยวข้าจะทำให้เรากลับมามั่งมีอีกครั้งข้าสัญญาท่านพ่อ” ซุยหลินกุมมือเถ้าแก่ซุยไว้
“พ่อหวังว่าเจ้าจะทำมันได้สำเร็จ” สองพ่อลูกยิ้มให้กันและกันก่อนจะเดินเคียงไหล่กันกลับไปที่จวน
ซุยหลินนั่งเขียนรายการหมักเหล้าเท่าที่เคยมีความรู้มาจากชีวิตที่แล้วลงในกระดาษ นั่งเรียบเรียงความรู้ที่เค้นออกจากสมองจนหลับไปทั้งอย่างนั้น
และก็ตื่นมาอีกทีตอนที่เถ้าแก่ซุยยกถ้วยยาเข้ามาในห้องอย่างเช่นทุกวัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดื่มยาเหม็นเขียวนี่แล้ว แต่เพื่อความสบายใจของผู้เป็นบิดาซุยหลินจึงต้องยอมจำใจดื่มมันต่อไป จนกว่าจะหมดห่อที่หมอยาเตรียมมาให้ ซึ่งก็น่าจะใช้เวลาอีกสองถึงสามครั้งได้
เหล้าที่เถ้าแก่ซุยหมักด้วยสูตรของตัวเองนั้นมีเพียงเหล้าเฝินจิ่ว เท่านั้น แต่ด้วยประสบการณ์ที่เถ้าแก่ซุยฝึกฝนจนหมักจนเหล้าเฝินจิ่วมีรสชาติหวานไม่บาดลิ้น ทำให้ลูกค้าติดอกติดใจเป็นวงกว้าง ซุยหลินจึงไม่คิดที่จะทิ้งเหล้าเฝินจิ่วนี่ไป แต่เขาจะไม่ขายเหล้าเฝินจิ่วนี้เพียงอย่างเดียว
ร่างบางยืนอยู่ในห้องเก็บวัตถุดิบพลางมองไปทั่วว่าเขาจะสามารถใช้อะไรทำเหล้าและเครื่องดื่มอื่นๆ ได้บ้าง ก่อนจะตกลงกับตัวเองว่าเขาจะทำไวน์องุ่นและเบียร์เป็นเครื่องดื่มประจำร้านในการเปิดร้านครั้งใหม่นี้
“ใครจะไปรู้ บางทียุคนี้ไวน์องุ่นกับเบียร์อาจจะยังไม่มีใครทำก็ได้ เราก็ทำบุกเบิกไปเลยสิ เดี๋ยวเครื่องดื่มอื่นๆ ก็ตามมาเอง” ซุยหลินพยักหน้ารัวๆ “อ้าว แต่ว่าหน้านี้ไม่มีองุ่นนี่หว่า ทำไงดี”
ซุยหลินเบะปากก่อนจะใช้มือขยี้ที่ผมตัวเองไปมา พลางทำหน้าราวกับว่าจะร้องไห้ ก่อนที่ความคิดแวบหนึ่งจะพุ่งเข้ามาในหัวเล็กๆ นั่น
“อ๊า.. เรามีเหล้าเฝินจิ่วแล้วนี่ มีเหล้าขาวแล้วก็แค่เอาสมุนไพรใส่ หมักเป็นยาดองก็ได้นี่หว่า”
ซุยหลินตบที่หน้าขาตัวเองรัวๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อดูว่ามีสมุนไพรอะไรที่พอจะหมักเหล้าได้บ้าง เมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาแล้วซุยหลินก็เดินอารมณ์ดีพร้อมหอบสมุนไพรออกมาเต็มมือ
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ” เถ้าแก่ซุยทัก
“ข้าจะหมักเหล้าขอรับ”
“แล้วเอาสมุนไพรนั่นไปทำไม”
“อ๋อ สูตรยาดองขอรับท่านพ่อ”
“ยาดองหรือ? อะไรกันล่ะ”
“ข้าไม่บอก อีกสิบสี่วันท่านพ่อจะได้ลิ้มลองแน่นอน”
ซุยหลินยิ้มกว้างก่อนจะเดินเข้าไปในห้องหมักเหล้าต่อ ร่างบางหย่อนเอาสมุนไพรที่ถือมาลงในไหเฝินจิ่วสี่ใบ ร่างบางยิ้มกว้างก่อนจะค่อยๆ ใช้กระบวยไม้ในมือคนให้ส่วนผสมเข้ากัน
“ม้ากระทืบโรง นารีรำพึง โด่ไม่รู้ล้ม กำลังเสือโคร่ง รับรองว่าทั้งสี่ไหนี้จะเป็นที่ประจักของลูกค้าแน่นอน ฮ่าๆๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะของซุยหลินดังออกไปถึงเถ้าแก่ซุยที่นั่งอยู่ด้านนอก ชายชราได้แต่ส่ายหน้าให้กับความกระโดกกระเดกของบุตรชายที่ทำตัวไม่สมกับเป็นเกอเลยสักนิด แต่ก็อดที่จะพึงพอใจกับความสดใสของบุตรชายไม่ได้ ตั้งแต่สลบไปและฟื้นขึ้นมาก็ราวกับว่าเป็นคนละคน ไม่เอาแต่ทำหน้าอมทุกข์อีกแล้ว
ยามอู่เถ้าแก่ซุยเดินมาตามซุยหลินที่ยังอยู่ในห้องหมักเหล้า ได้ความว่าตามพ่อบ้านคนเดิมกลับเข้ามาทำงานที่จวนแล้ว ซุยหลินที่เพิ่งเข้ามาในร่างนี้ก็พยักหน้าวางของในมือลงแล้วเดินตามเถ้าแก่ซุยออกไป เมื่อมาถึงห้องรับรองก็เจอกับชายที่น่าจะเป็นพ่อบ้านที่ว่า ร่างบางเอ่ยทักทายเล็กน้อยเพราะคิดว่าเจ้าของร่างน่าจะรู้จักกับทุกคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ดี
เจียงเถา เป็นพ่อบ้านที่เคยทำงานอยู่ในจวนซุย แต่ก็ต้องลาออกไปเพราะเถ้าแก่ซุยไม่มีเงินจ้างต่อแล้ว ถึงแม้ว่าครอบครัวเจียงจะขออยู่ต่ออย่างไม่รับเงินเดือน ขอเพียงแค่ที่ซุกหัวนอนแต่เถ้าแก่ซุยไม่อยากเอาเปรียบจึงไปฝากครอบครัวเจียงไว้กับจวนของคนรู้จักที่ต่างเมือง
เจียงหลาน ภรรยาของพ่อบ้านเจียงที่เมื่อก่อนทำงานที่จวนนี้กับพ่อบ้านเจียงเช่นกัน
เจียงสุ่ย และเจียงเฉิงเป็นลูกชายของครอบครัวเจียง อีกทั้งยังเป็นเกอทั้งคู่อีกด้วย เมื่อก่อนตอนที่ครอบครัวเจียงยังทำงานอยู่ในจวนตระกูลซุย เจียงสุ่ยและเจียงเฉิงจะเป็นเพื่อนเล่นของซุยหลินอยู่ตลอดเวลา
เจียงเฉิงนั้นเป็นเกอหน้าตาสะสวยรูปร่างบอบบาง ส่วนเจียงสุ่ยนั้นเป็นเกอร่างยักษ์ที่แม้ว่าจะมีปานดอกเหมยอยู่ที่ข้อมือแต่ก็มีรูปร่างใหญ่โตราวกับเป็นเอกบุรุษ
“ขอบคุณที่เจ้ากลับมาทำงานที่จวนนี้อีกครั้ง” เถ้าแก่ซุยพูดกับพ่อบ้านเจียง
“นายท่านอย่ากล่าวหนักเลยขอรับ ครอบครัวเจียงของเราพร้อมที่จะอยู่กับตระกูลซุย ไม่ว่าจะเจอความลำบากมากมายเพียงใด”
“ดี.. ดีมาก.. ต่อไปนี้ข้าจะให้อาหลินเป็นคนเข้ามาดูแลเหลาสุราต่อจากข้า” เถ้าแก่ซุยผายมือไปทางซุยหลิน
“หากข้าขอพูดอะไรบ้าง นายท่านอย่าโกรธข้าได้หรือไม่” พ่อบ้านเจียงพูดออกมาเบาๆ
“ว่ามาสิ”
“นายน้อยเป็นเกอนะขอรับนายท่าน งานดูแลเหลาสุราข้าเกรงว่านายน้อยจะทำไม่ไหว” พ่อบ้านเจียงพูดด้วยสายตาเป็นห่วง
“ข้าขอบใจยิ่งนักกับน้ำใจและความห่วงใยจากท่าน แต่ว่าท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าจะทำให้เหลาสุราของท่านพ่อกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งให้ได้ ต่อให้ข้าคนนี้เป็นแค่เกอตัวน้อยๆ ก็ตาม” ซุยหลินยิ้มน้อยๆ
“เจ้าอย่าหวงไปเลยพ่อบ้านเจียง ข้าให้ซุยหลินทำแค่สองเดือนเท่านั้น ถ้าหากว่ามันไปไม่รอดข้าก็จะขายร้านตรงนั้นทิ้งเสีย” เถ้าแก่ซุยยิ้มบางๆ
“เช่นนั้นข้าก็เชื่อว่านายน้อยจะทำได้อย่างที่หวังแน่นอนขอรับ”
“ขอบคุณมากนะท่านพ่อบ้าน” ซุยหลินยิ้มให้กับพ่อบ้านเจียง
“งั้นเดี๋ยวให้เจียงสุ่ยกับเจียงเฉิงคอยช่วยงานเจ้าแล้วกันนะ ถึงเป็นเกออย่างไรก็เป็นบุรุษ มันคงไม่น่าหนักหนาไปกว่าแรง แต่ถ้างานมันหนักเกินไปก็บอกพ่อ พ่อจะได้หาคนมาช่วย”
“ได้ขอรับท่านพ่อ”
ซุยหลินยิ้มให้กับบิดาก่อนจะหันมามองเจียงสุ่ยและเจียงเฉิง ร่างบางพูดกับตัวเองในใจอย่างอารมณ์ดีว่ามีคนช่วยเรื่องต้มเบียร์แล้ว เพราะดูจากกล้ามของเจียงสุ่ยก็อดที่จะเอ่ยชมในความบึกบึนไม่ได้
เมื่อนึกถึงเรื่องหมักเบียร์แล้วซุยหลินก็เริ่มลงมือทันทีโดยมีพี่น้องเจียงมาช่วยงาน เจียงสุ่ยแบกกระสอบข้าวบาร์เลย์มาเทลงในถังใบใหญ่ที่ใส่น้ำไว้ครึ่งถัง แต่เมื่อเทข้าวบาร์เลย์ลงจนหมดกระสอบแล้วสองพี่น้องเจียงก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเทลงไปแช่ในน้ำทำไม
“นายน้อยเอาข้าวบาร์เลย์นี้มาแช่น้ำทำไมหรือขอรับ” เจียงสุ่ยถาม
“ข้าจะหมักเบียร์น่ะ”
“เบียร์หรือขอรับ” สองพี่น้องเจียงถามออกมาพร้อมกัน
“อื้อ เบียร์มันก็ถือว่าเป็นสุราอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน ปกติเจ้าจะเห็นว่ามีแค่เหล้าสูตรของหัวเมืองต่างๆ ใช่ไหมล่ะ การที่ข้าจะเปิดเหลาสุราของท่านพ่อมาอีกครั้งข้าก็ต้องมีอะไรที่แปลกใหม่ให้ต่างจากคู่แข่ง” ซุยหลินค่อยๆ อธิบาย
“แต่เหล้าของนายท่านถือว่าอร่อยที่สุดในย่านนี้แล้วนะขอรับ” เจียงเฉิงพูด
“ข้าก็ไม่ได้พูดนี่นาว่าข้าจะไม่ขายเหล้าของท่านพ่อ”
“อ้าว/อ้าว”
“เจ้าสองคนใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวข้าจะอธิบายอีกครั้งนะ” ซุยหลินถอนหายใจน้อยๆ “เหล้าของท่านพ่อข้าก็จะขายเช่นเดิม แต่ว่าข้าจะเพิ่มความแปลกใหม่ลงไป ก่อนที่พวกเจ้าจะมาถึงข้าก็เพิ่งหมักยาดองไปสี่ไห ช้าก่อน อย่าเพิ่งทำหน้างง”
ซุยหลินยกมือขึ้นห้ามเมื่อสองพี่น้องเจียงอ้าปากจะถามอีกครั้ง
“ยาดองก็คือการที่ข้าเอาสมุนไพรลงไปหมักในเหล้า ประมาณสิบสี่วันเดี๋ยวข้าเอามาให้เจ้าสองคนได้ชิม แต่รับรองได้เลยว่ารสชาติล้ำเลิศแน่นอน”
ถึงแม้ว่าสองพี่น้องเจียงจะไม่เข้าใจเท่าไหร่แต่ก็พยักหน้าทั้งคู่ ซุยหลินรู้สึกเอ็นดูสองพี่น้องเจียงเป็นอย่างมากก่อนจะเล่าต่อถึงเบียร์ที่กำลังจะหมักเป็นเรื่องต่อไป
“แล้วก็เรื่องเบียร์ เอาข้าวบาร์เลย์มาแช่น้ำสองวันให้มันงอกรากออกมา ขั้นตอนต่อไปก็คือการเอามันไปตากแดดให้แห้งแล้วเอามาบด จริงๆ แล้วมันมีวิธีมากมายกว่านี้นัก แต่ว่าข้าจะบอกเจ้าแค่สามขั้นตอนนี้ก่อนแล้วกัน เมื่อได้วันและเวลาที่ต้องทำกันต่อแล้วข้าก็จะอธิบายให้เจ้าทั้งคู่ฟังเอง”
“ขอรับ/ขอรับ”
“วันนี้เราหมดหน้าที่กันที่เท่านี้แหละ พรุ่งนี้ตราประทับก็น่าจะได้ ข้าสั่งมาสองอันเดี๋ยวให้เจ้าสองคนช่วยทำ”
“ทำอะไรหรือขอรับ” เจียงเฉิงถาม
“บอกไปตอนนี้เดี๋ยวก็ต้องเล่าให้พวกเจ้าฟังอีกยาว เอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะเล่าให้ฟังอีกทีก็แล้วกัน” ซุยหลินยิ้มออกมาจนแก้มบุ๋มเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง
“เราไม่เจอกันเพียงไม่กี่ปีเหมือนว่านายน้อยจะดูร่าเริงขึ้นนะขอรับ” เจียงสุ่ยพูด
“อ่า.. อย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ ปกติท่านเป็นคนขี้อาย ไม่พูดประโยคอะไรยาวๆ ด้วย ข้าที่ได้ฟังตอนท่านพูดยาวๆ ครั้งแรกทำเอาตกใจอยู่เล็กน้อยขอรับ”
“อืม.. เวลาผ่านไปข้าก็อาจจะโตขึ้น ตอนนี้ก็ต้องมารับผิดชอบเรื่องเหลาสุราของท่านพ่อต่อด้วย แต่เจ้าสองคนไม่ต้องห่วง ข้าสบายดี”
ซุยหลินว่าไว้แค่นั้นก่อนจะเดินหนีสองพี่น้องเจียงออกมาเพราะกลัวว่าจะโดนถามอะไรมากกว่านี้อีก
เนื่องจากตอนนี้มีพ่อบ้านและแม่บ้านแล้วซุยหลินก็ไม่ต้องทำงานบ้านอีกต่อไป ร่างบางเดินเข้าเรือนก่อนจะหยิบพู่กันและหมึกออกมาเขียนสูตรเหล้าลงบนกระดาษอย่างที่ทำอยู่ทุกคืน
วันนี้ซุยหลินเขียนแผนการดำเนินร้านลงไปด้วยเล็กน้อย ว่าการเริ่มต้นเปิดร้านอีกครั้งนี้จะเชิญชวนลูกค้าขาประจำที่เคยซื้อกลับมาได้อย่างไร และจะเรียกลูกค้าใหม่ๆ ให้เข้ามาอย่างไรเช่นกัน
ซุยหลินจะไม่ขายแค่เหล้าเฝินจิ่วเขาจะขายกับแกล้มด้วยเนื่องจากว่าเดินทางมาจากอนาคตทั้งทีก็เอาเมนูจากอนาคตมาปรับปรุงให้เข้ากับโลกใบนี้แล้วทำขายมันเลยแล้วกัน แรกๆ ก็เอาครอบครัวเจียงไปช่วยงานก่อน เมื่อมันเป็นไปได้ด้วยดีก็ค่อยจ้างเสี่ยวเอ้อและคนครัวเพิ่มทีหลัง
“ได้กลิ่นเงินลอยมาเลยโว้ย เมื่อไหร่ร้านจะปรับปรุงเสร็จ อยากขายเหล้าแล้ว อยากโชว์สกิลเขย่าแก้ว จะเอาให้อ้าปากค้างกันไปเลย ฮ้าววว”
ซุยหลินบ่นออกมายาวๆ ก่อนจะบิดขี้เกียจน้อยๆ นั่งอ่านเนื้อหาที่เขียนลงบนกระดาษอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อเช็คความเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอน กางแขนกางขาเพื่อคลายกล้ามเนื้อก่อนจะเคี้ยวปากแจ่บๆ
Talk. ในที่สุดน้องก็มีคนมาช่วยงานแน้วววว ลูกแม่จะไม่เหนื่อยเพียงคนเดียวอีกต่อไป
ตอนแรกเราใส่ชื่อเรียกพวกไลน์ เบียร์ กับข้าวบาร์เลย์เป็นภาษาจีนไป แต่ก็วนกลับมาใช้ถาษาปกติที่เราเข้าใจกันโดยที่ไม่ต้องกดแปล 55555 ก็อาจจะมีคนงงบ้างนะคะ เพราะคนเขียนก็งงเหมือนกัน.... หรือว่าเราควรจะเลือกไปเลยดีว่าจะเขียนเป็นภาษาไหนดี
เชิงอรรถ
^ ยามเว่ย : 13.00-14.59
^ เฝินจิ่วเป็นเหล้าที่มักจากข้าวเกาเหลียง หรือ ข้าวฟ่างแดง หมักกับน้ำแร่