“มั่นใจสิ มั่นใจด้วยว่าถ้าจะทำให้เธออยากได้ฉันบ้าง...ฉันก็ทำได้ จำคำพูดของฉันไว้”
“...”
ฉันมองหน้าเขานิ่งเพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินอะไรที่ไม่น่าได้ยินขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
คุณพระ! คำพูดมั่นหน้ามั่นโหนกของเขาในตอนนี้น่าตกใจกว่าตอนที่เขาบอกคนอื่นว่าฉันเป็นแฟนซะอีก
เขาก็มองหน้าฉันนะคะแต่มองผ่าน ๆ จากนั้นก็เดินไปเลย
แหวะ! หล่อตายแหละอีตาบ้า!
...ถ้าจะทำให้เธออยากได้ฉันบ้าง...ฉันก็ทำได้ จำคำพูดของฉันไว้
“อี๋~ ขนลุก!” ฉันได้แต่ยืนทำท่าทางขนลุกอยู่ตรงนี้คนเดียว
อีตาแทนคุณพูดจาได้น่าขนลุกน่าคลื่นไส้จนทำให้คนที่หิวกลางดึกจนนอนไม่หลับอย่างมิ้งค์คนนี้กินอะไรไม่ลงเลย ทำไมเขาต้องใช้คำพูดทำร้ายพยาธิในกระเพาะอาหารฉันด้วยนะให้ตายเถอะ!
-วันต่อมา-
“น้องมิ้งค์”
“คะพี่เอื้อง” ฉันหันไปหาพี่เอื้องที่กระซิบคุยกับฉันเบา ๆ
“คุณพริ้งพลอยจะมาวันไหนน้องมิ้งค์รู้ไหม”
“มิ้งค์ไม่รู้เลยค่ะพี่เอื้อง”
“อ้าว คุณแทนไม่ได้บอกน้องมิ้งค์เหรอจ้ะ” พี่เอื้องดูงง ๆ มากกว่าจะจับผิดที่ฉันไม่รู้เรื่องทั้งที่เป็นแฟน (ปลอม ๆ) ของเจ้าของที่นี่แต่ดันไม่รู้ว่าผู้หญิงที่จ้องจะงาบแฟน (ปลอม ๆ) ของตัวเองจะมาวันไหน
“คุณแทนยังไม่รู้เหมือนกันค่ะมีแค่ให้คนไปทำความสะอาดบ้านพักไว้ให้ค่ะพี่เอื้อง”
“อื้อ~ ดีอ่ะ อยากเห็นหน้ายัย เอ้ย! คุณพริ้งพลอยตอนที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้พักที่บ้านใหญ่ อิอิ” ฉันได้แต่อมยิ้มให้คำพูดพี่เอื้องแต่ความจริงก็อยากเห็นเหมือนกันนั่นแหละ อิอิ
“น้องมิ้งค์ ๆ”
“คะพี่เอื้อง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะถ้าคุณพริ้งพลอยแอบแผลงฤทธิ์พี่เอื้องจะคอยช่วยน้องมิ้งค์เอง”
“ฮ่า ๆๆ จะดีเหรอคะ”
“ดีสิ พี่ไม่ได้อยู่ทีมหนูเพราะจะประจบที่หนูเป็นแฟนเจ้านายหรอกนะจ้ะ แต่พี่ถูกชะตากับหนูมากต่างหาก อย่ามองพี่เป็นอย่างอื่นล่ะ”
“ค่ะมิ้งค์รู้ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่เอื้อง” ฉันไม่ได้มองพี่เอื้องเป็นอย่างที่พี่เอื้องกลัวหรอก ดูออกนะว่าพี่เอื้องเอ็นดูตั้งแต่เข้ามาแนะนำตัวในฐานะเด็กฝึกงานแล้ว
ดีเลยค่ะคนอย่างมิ้งค์คนนี้ไม่ได้คิดจะไปสู้กับใครหรอกยิ่งสู้ทั้งที่ผู้ชายเป็นแค่แฟนปลอม ๆ ยิ่งไม่มีทางสู้แน่แต่มีคนคอยช่วยเอาไว้ก็ดีแล้ว ท่าทางจะฤทธิ์เยอะน่าดู
“น้องมิ้งค์จ้ะ”
“คะพี่” ฉันหยุดเม้าท์กับพี่เอื้องได้แป๊บเดียวพี่ในแผนกที่ฉันยังจำชื่อไม่ได้ก็เรียกขึ้น แอบรู้สึกผิดนะคะที่ไม่ได้เรียกชื่อแต่เอาน่าพี่เขาต้องให้อภัยแหละ หน้าตาสวยน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ใครจะไม่ให้อภัยแกวะยัยมิ้งค์
แต่จะว่าไปก็มีคนที่ไม่เอ็นดูแกเหมือนกันนะ ก็จะใครล่ะถ้าไม่ใช่ไอ้คนที่หล่อ ๆ เจ้าของที่นี่คนนั้นไง เหอะ! คิดแล้วอารมณ์เสีย นึกถึงแล้วคำพูดมั่นหน้ามั่นโหนกของเขาก็ก้องกังวานเข้ามาในหูเลย
...ถ้าจะทำให้เธออยากได้ฉันบ้าง...ฉันก็ทำได้ จำคำพูดของฉันไว้
สยอง~ สยองมากแม่!
“ผู้จัดการเรียกจ้ะ”
“คะ?” ผู้จัดการ หมายถึงยัยเจ้นั่นน่ะเหรอ?
“จ้ะ เห็นบอกว่าเอกสารน้องมิ้งค์ขาดบางส่วนรีบไปหาผู้จัดการเถอะจ้ะ”
“...ค่ะ” ขาดเอกสารบางส่วนแล้วทำไมไม่ให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคล?
ไม่ได้โง่นะคะ มิ้งค์ขอบอกตรงนี้เลยว่ามิ้งค์ไม่ใช่คนสวยแต่โง่ มิ้งคือคนที่ทั้งสวยมากและฉลาดมาก
“น้องมิ้งค์”
“คะ”
“แม่นางคนนี้...ระวังตัวให้ดีนะจ้ะ” พี่เอื้องกระซิบเบา ๆ หลังจากพี่คนเมื่อกี้เดินไป
“แม่นางคนนี้คือคนไหนคะพี่เอื้อง พี่คนเมื่อกี้เหรอคะ”
“เปล่า อีกคนน่ะ”
“...ผู้จัดการเหรอคะ”
“ใช้จ้ะคนสวย”
“ทำไมเหรอคะพี่เอื้อง”
“พี่เอื้องไม่อยากเม้าท์ อยู่ไปเดี๋ยวหนูก็รู้เองพี่เอื้องขอแค่เตือนนะลูกนะ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่เอื้อง มิ้งค์จะระวังตัวไว้นะคะ”
“จ้า ถ้างั้นไปเถอะ ถ้ามีอะไรนอกเหนือจากเรื่องเอกสารไม่ครบก็บอกพี่นะ”
“ค่ะ” ฉันยิ้มให้พี่เอื้องแล้วลุกขึ้นเดินไปหายัยผู้จัดการตามคำสั่งทันที
ฟู่ว! อย่าได้กลัวนะยัยมิ้งค์ ห้ามกลัวยัยเจ้นั่นเด็ดขาด
คือจะบอกว่ายังไงดีคะ ฉันไม่ใช่คนขี้ขลาดไม่ใช่คนยอมคนแต่ฐานะตอนนี้ก็แค่เด็กนักศึกษาไง มาเจอสังคมการทำงานต้องเข้าไปหาผู้จัดการก็มีหวั่น ๆ บ้างเป็นปกติธรรมดาเลยต้องบอกตัวเองว่าห้ามกลัวเอาไว้ก่อน
ก๊อก ๆๆ
“เชิญ” เสียงเชิดมากแต่ช่างเถอะฉันก็แค่ทำหน้าตาให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตูเข้าไป
“สวัสดีค่ะ ผู้จัดการเรียกมิ้งค์เหรอคะ”
“อืม”
“ค่ะ”
“...” ยัยเจ้นี่เรียกฉันมาแล้วก็ประหยัดคำพูดแต่ไม่ประหยัดความเสียมารยาททางสายตาเลยนี่นะ? เรียกมาเพื่อ
“ไม่ทราบว่าเอกสารส่วนไหนที่ขาดหายไปคะ เดี๋ยวมิ้งค์จะรีบไปจัดการแล้วส่งให้ฝ่ายบุคคลค่ะ”
“เมื่อวานเธอไปกับแทนได้ยังไง”
“คะ?” นึกแล้วว่าต้องไม่ใช่เรื่องเอกสารไม่ครบเพราะมันไม่ใช่หน้าที่ผู้จัดการสักนิด
“เสนอหน้าไปทำไม” โอ้...โห~
“ไม่ได้เสนอหน้าค่ะ”
“เหรอ?”
“มาฝึกงานพี่ในแผนกสั่งให้ทำงานอะไรก็ต้องทำค่ะ”
“ฝึกงานวันแรกก็ได้ออกไปข้างนอกกับเจ้าของไร่เลยน่ะเหรอ? ถามจริงไปอ้อนคุณเอยให้สั่งคนในแผนกให้เอาเธอไปด้วยรึเปล่า”
“...” พุทโธ สัมโม เอาไว้นะมิ้งค์ อดใจเอาไว้ต่อให้คำพูดยัยเจ้นี่จะน่าเดินไปถีบให้ปากแหกก็ตาม
“ว่าไง ทำแบบนั้นใช่ไหม...อยากจับคนของฉันเหรอ?” หน้าตายัยนี่แม่ง...ตบสักฉาดได้ไหม กวนตีน ฝึกงานจบจะตบสักที
“ไปถามคนที่ผู้จัดการอ้างว่าเป็นคนของคุณดีกว่านะคะเพราะฉันพูดอะไรไปผู้จัดการก็คงฟังแต่ไม่เชื่อ”
“นี่! กล้าต่อปากต่อคำกับฉันเหรอ” ดีนะคะที่ไม่ได้ถึงขั้นตะคอกแค่เสียงแข็งใส่ แต่ความจริงแบบไหนก็น่าตบหมดนั่นแหละ
“เรียกว่าบอกเพื่อจบเรื่องดีกว่าค่ะ”
“เป็นแค่นักศึกษาฝึกงาน อย่าเก่ง”
“...” ที่เงียบไม่ใช่หัวหดแต่กำลังนับหนึ่งถึงสิบต่างหาก มันไม่ง่ายนะที่จะยืนให้ใครว่าแล้วทำหน้ายิ้มได้
“เข้าใจใช่ไหม”
“เข้าใจค่ะว่าเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานจะเก่งไม่ได้ แต่การเป็นผู้จัดการก็ไม่ได้หมายความว่าจะข่มจะว่าใครยังไงก็ได้นะคะ เพราะสุดท้าย...ก็ลูกน้องเขาเหมือนกัน”
“กล้ามากนะรู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันเป็นอะไรกับแทน” สายตายัยเจ้นี่เต็มไปด้วยความโกรธแต่ห้องทำงานเป็นกระจกไงคะเลยทำอะไรไม่ได้ แต่ลองมาทำสิ ถ้าถึงขั้นนั้นก็ทำมาทำกลับแน่นอนไม่มีทางจบที่โดนตบฝ่ายเดียวหรอก
“รู้สิคะ...ดูออกค่ะ” ฉันตบท้ายคำพูดท้ายประโยคด้วยการยิ้ม ยิ้มให้รู้ว่ารู้นะว่ากินกันแบบไหนแล้วก็ได้ผลเพราะยัยเจ้มิลินกำมือตัวเองจนแน่นแถมยังสั่นด้วยนะ
“...จะลองดีกับฉันใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ ไม่เคยคิดอยากลองลองดีกับใคร ฉันมาที่นี่เพื่อฝึกงาน มีจุดประสงค์เดียวไม่ได้มาเพื่อจุดประสงค์อื่น...บางอย่างมันไม่ใช่ของนำทางชีวิตนะคะ ไม่ได้จำเป็นต้องขวนขวายขนาดนั้น”
“เธอ!”
“ถ้าเรื่องเอกสารที่เรียกมาพบไม่มีปัญหาอะไรตรงไหนแล้วฉันขอตัวนะคะ มีงานที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยค่ะ อยากฝึกงานให้มีประสิทธิภาพที่สุด” ฉันพูดตัดบท ยิ้มให้เป็นการจบเรื่องไร้สาระที่คุยกันซะ
“ฉันจัดการเธอแน่ จำใส่หัวเอาไว้ถ้าไม่เจียมตัว!” เสียงข่มขู่ดังไล่หลังแต่ไม่ได้ทำให้ฉันหันกลับไปตอบโต้อะไรหรอกนอกจากพาตัวเองเดินออกมาจากห้องทำงานยัยนี่ซะ
เรื่องใต้สะดือเอามาคุยเวลางาน โคตรปัญญาอ่อนเลยนี่เหรอผู้จัดการ?
-เวลาต่อมา-
รู้ไหมคะว่าการไปเจอยัยเจ้มิลินทำฉันอารมณ์เสียมากแต่ก็ต้องเรียนรู้ว่าโตแล้วต้องเก็บอารมณ์ความรู้สึกตัวเองให้ได้ซึ่งมัน...โคตรยาก!
มันยากมากจนตอนนี้หลังเวลาเลิกงานฉันเลือกมาเดินเล่นให้ธรรมชาติบำบัดแต่ไม่เห็นจะได้ผลเลยเพราะความรู้สึกในใจไม่ได้ถูกระบายออกมา หงุดหงิด!
“โอ้ย!” ฉันเปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดออกมาเผื่อว่าอะไรจะดีขึ้น ก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอกแค่ความอึดอัดในใจลดลงบ้างแต่ความโกรธยัยนั่นไม่ซาแม้แต่นิดเดียว
เฮ้อ! ภาวนาให้อดทนได้จนถึงวันที่ฝึกงานจบนะยัยมิ้งค์ นั่งตรงนี้แล้วไม่มีอะไรดีขึ้นเลยกลับบ้านไปอาบน้ำดีกว่าเผื่อน้ำเย็น ๆ จะทำให้ใจเย็นได้บ้าง
ขวับ!
“...” ฉันหันหลังจะเดินกลับบ้านแต่พอหันไปก็เจอคนที่ไม่อยากเจออีกหนึ่งคนยืนอยู่ไม่ไกล ไม่ไกลจริง ๆ แค่ประมาณห้าก้าวเองมั้ง ไม่รู้มาตอนไหนมัวแต่หงุดหงิดเลยไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกาเสียงหญ้าหรือแม้แต่เสียงส้นเท้าใคร
“เป็นอะไร”
“...”
“ถามว่าเป็นอะไร”
“...” ฉันไม่ตอบเพราะกำลังโมโหเขาที่ทำให้ฉันโดนผู้หญิงของเขาว่า แม่ง! ไอ้นี่ก็มั่นหน้ายัยนั่นก็หน้าตบ!
“ถาม” เขาชอบใช้น้ำเสียงดุใส่ฉันแต่โทษทีนะเวลาแบบนี้ไม่มีอารมณ์จะกลัวใครทั้งนั้นสุดท้ายเลยเลือกแค่เงียบแล้วเดินไปให้พ้นหน้าเขา
“โดนมิลินว่ามาใช่ไหม” ฉันเดินผ่านหน้ามาแล้วนะแต่พอเขาพูดคำนี้ฉันก็หันกลับไปมองหน้าเขาทันที
“ก็รู้นี่คะแล้วจะถามทำไม”
“ก็อยากให้เธอตอบ”
“ตอบแล้วได้อะไร สุดท้ายคุณก็ต้องปกป้องคนของคุณอยู่ดี”
“ทีหลังก็ไม่ต้องไป”
“พูดง่าย ไม่ไปก็โดนอีก เอาเหตุผลอะไรไปอ้างได้ล่ะคะถ้าเขาเรียกในเมื่อคนของคุณเรียกฉันเวลางาน”
“โอเค ถ้างั้นเดี๋ยวจัดการให้”
“จัดการยังไงคะ เดี๋ยวก็ไม่พอใจมาถลกหัวฉันอีก ไม่ต้องหรอกอยู่ห่าง ๆ คุณก็คงจบเรื่องเอง”
“ก็ถ้ายังกล้ามาถลกหัวแฟนเจ้านายตัวเองปล่อยให้เขาทำไปเลย”
“...”
“เสร็จแล้วเดี๋ยวไปไล่ออกเอง”