“หึ ๆๆ ฟังให้ดีนะสาวน้อย ใครจะชอบเธอก็ตามสบายแต่ฉันคนหนึ่งล่ะ...ที่ไม่”
เฮงซวย!
หัวคะ... โอ๊ย! ไม่ได้ ๆ มันจะหยาบ! ไม่อยากปลดปล่อยด้านมืดของตัวเอง พอ ๆๆ เลิกโมโหซะยัยมิ้งค์!
“...”
“...”
“...”
โมโห!
โมโหโว้ย!
โมโหมาก ๆ เลยโว้ย!
ใครจะชอบเธอก็ตามสบายแต่ฉันคนหนึ่งล่ะ...ที่ไม่
เหอะ! หล่อตายแหละไอ้หน้าหล่อ!
แม่งแต่ก็หล่อจริง ๆ จะด่าว่าหล่อตายแหละก็กระดากปาก เอาเป็นแบบนี้ก็แล้วกัน ไม่ใช่คิดว่าหล่อมากแล้วจะเลือกได้เสมอไปนะยะไอ้คนหล่อ!
ใครจะชอบเธอก็ตามสบายแต่ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่งั้นเหรอ?
เออ! อีมิ้งค์ก็คิดเหมือนกันนั่นล่ะวะไม่ต้องมั่นหน้ามั่นโหนกว่าตัวเองจะไม่ชอบคนอย่างฉันที่ต่อให้จะสวยมากแค่ไหนอยู่ฝ่ายเดียวหรอก! เพราะฉันคนนี้ก็จะไม่ชอบเขาที่หล่อมาก ๆ หล่อมากจนเกินความจำเป็นด้วยซ้ำเหมือนกัน!
โมโห!
โมโหโว้ย!
ปัง!
“ว้าย! น้องมิ้งค์เป็นอะไรจ้ะ”
“เอ่อ...ขอโทษค่ะพี่เอื้อง” มิ้งค์เอ้ยลืมตัวโมโหจนทุบโต๊ะจนได้สินะ ฉันยังไม่ได้เลิกงานค่ะยังอยู่ที่แผนกหลังจากกลับมาจากข้างนอกก็เวลาเลิกงานแล้วนั่นแหละแต่พี่เอื้องต้องมาจัดการงานที่ออกไปวันนี้ให้เรียบร้อยฉันเลยอาสามาช่วยแต่เหมือนจะไม่ได้ช่วยพี่เอื้องเลยว่ะมิ้งค์
“มะ ไม่เป็นไรจ้ะ ดูน้องมิ้งค์อารมณ์ไม่ค่อยดีนะ” พี่เอื้องดูเกร็งฉันขึ้นมานิดหน่อยก็แน่ล่ะเจ้แกเข้าใจผิดอยู่นี่คะ เฮ้อ! ก็อยากพูดนะแต่ไม่เอาดีกว่าเขาสั่งไว้ ไม่ได้อยากถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนเจ้าของที่นี่หรอกแต่คิดดูอีกทีก็ไม่รู้สถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นยังไงการถูกเข้าใจแบบนี้อาจจะเป็นผลดีกับฉันก็ได้ใครจะไปรู้
คนเราบางทีมันก็ต้องแอบโกงกันบ้างใช่ไหมล่ะคะเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวนี่แหละไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของใครหรอก
เมื่อวานฉันกังวลนิดหน่อยเล็กน้อยถึงปานกลางกลัวตัวเองโดนรังแกแต่เอาเถอะถ้าจะให้ฉันเป็นแฟนปลอม ๆ แถมยังลับ ๆ เพื่อกันยัยพริ้งพลอยถ้างั้นก็มาแลกกันด้วยการให้ฉันเอาชื่อนายมาใช้คุ้มกะลาหัวระหว่างที่ฝึกงานที่นี่แล้วกันนะอีตาแทนคุณ อย่าคิดว่าจะใช้ชื่อเสียงของฉันได้ฝ่ายเดียวเพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมิ้งค์จะยอม ฉันไม่ยอมเป็นทาสคุณหรอกค่ะ!
“มิ้งค์ไม่ได้เป็นอะไรค่ะพี่เอื้อง”
“แน่ใจนะจ้ะ มีอะไรคุยกับพี่ได้นะ กังวลเรื่องคุณพริ้งพลอยรึเปล่า”
“คะ?”
“พี่เอื้องขอโทษนะจ้ะถ้าละลาบละล้วงแต่ถ้าน้องมิ้งค์กังวลอะไรถามพี่เอื้องได้นะ”
“..เขาชอบคุณแทนคุณเหรอคะ”
“คุณ?” พี่เอื้องทวนคำสรรพนามที่ฉันใช้เรียกอีตานั่นก่อนอะไรทั้งปวง จริงสิคนเป็นแฟนกันเรียกอีกฝ่ายว่าคุณคงแปลกหูคนอื่น แต่จะให้เรียกอีตานั่นว่าพี่เหรอ แหวะ! แค่คิดก็แสลงปาก
“กำลังเรียกให้ชินปากน่ะค่ะกลัวหลุดเรียกพี่ต่อหน้าคนอื่นอย่าถือสามิ้งค์เลยนะคะ”
“อ่อ จ้ะ ๆ ที่น้องมิ้งค์ถามเมื่อกี้ไม่ใช่แค่คุณพริ้งพลอยหรอกนะที่ชอบเพราะพ่อเลี้ยงอเนกก็ชอบคุณแทนมาก~ อยากได้มาเป็นลูกเขยสุด ๆ ก็อย่างว่าล่ะมีลูกสาวก็ต้องอยากให้ได้ผู้ชายระดับนี้อยู่แล้วจริงไหมล่ะจ้ะ”
“นั่นสินะคะ” แต่คงดีและดูมีเสน่ห์มากกว่านี้ถ้าไม่พยายามยัดเยียดมากเกินไปเพราะยัยพริ้งพลอยอะไรนั่นก็สวยนะ แต่น่าเสียดาย...มิ้งค์สวยกว่า โฮะ ๆๆ
“แต่น้องมิ้งค์ไม่ต้องกังวลอะไรเลยนะจ้ะเพราะคุณแทนไม่สนใจหรอก พยายามตีตัวออกห่างด้วยซ้ำ พี่เห็นใจคุณแทนมากเลยรู้ไหมเวลาต้องเจอพ่อลูกคู่นี้แต่พอมีน้องมิ้งค์มาพี่ก็สบายใจ คุณแทนเป็นประเภทไม่ค่อยพูดด้วย ดีนะที่พี่พาน้องมิ้งค์ไปด้วยคุณแทนเลยได้โอกาสเปิดตัวแล้วก็ตัดความหวังพ่อลูกคู่นั้นไปซะ” พี่เอื้องดูอารมณ์ดีแต่เจ้แกจะดูไม่ออกจริง ๆ น่ะเหรอว่าสองพ่อลูกไม่ได้คิดจะตัดความหวังตัวเองแค่เพราะเขามีแฟน
แต่จะว่าไปคิดถึงหน้ายัยพริ้งพลอยก็นึกถึงอาการอยากได้ออกนอกหน้าจนพยายามทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นแล้วหมั่นไส้ทำคันมือจริง ๆ
อยากได้แฟนฉันเหรอ เหอะ! ถึงจะเป็นแฟนปลอม ๆ แต่เสียใจย่ะ ฉัน ไม่ ให้!
ไม่ต้องมีใครได้ไปหรอกยัยเจ้ผู้จัดการด้วย แต่ละคนถ้าได้เขาไปคงทำคนในไร่นี้ปวดสมองจนถึงขั้นฉิบหายกับชีวิตกันไปหมด เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงมิ้งค์คนนี้จะขอทำหน้าที่จิตอาสาเป็นไม้กันหมาให้เอง!
-เวลาต่อมา-
“วันนี้หนีเอยไปเที่ยวกัน”
“ไปทำงาน”
“เที่ยวค่ะ ชิส์!”
“หึ ๆๆ อยากไปเดี๋ยวพี่พาไปน่า” แต่ถ้าจะไปช่วยไปไร่อื่นนะยะ ฉันที่นั่งฟังสองพี่น้องคู่นี้คุยกันได้แต่แอบบอกอยู่ในใจแล้วก็กินข้าวเงียบ ๆ อีตานี่เพิ่งกลับมาบ้านตอนทุ่มครึ่ง หลังจากที่กลับมาจากแม่แตงเขาก็ไปที่ห้องทำงานของตัวเองแล้วก็หายไปเลยจนกระทั่งตอนนี้ล่ะ รอกินข้าวไส้แทบกิ่วไม่รู้จะทำงานอะไรนานนักหนา หรือจะทำงานก็โทรมาบอกให้คนที่บ้านไม่ต้องรอกินข้าวก็ยังดีแต่นี่ไม่เลยสักนิด คนรอก็รอไปสิ
“พี่สร้อย”
“คะคุณแทน”
“บ้านพักข้างบ้านผู้จัดการว่างใช่ไหม”
“ว่างค่ะ”
“ถ้างั้นพี่สร้อยช่วยบอกให้คนไปทำความสะอาดบ้านพักข้างบ้านผู้จัดการเอาไว้หน่อยนะครับเดี๋ยวมีคนมาอยู่”
“ได้ค่ะคุณแทน”
“ครับ ผมฝากด้วยนะ”
“ค่ะ” ฉันนั่งฟังเขาสั่งพี่สร้อยแม่บ้านในบ้าน ให้เดาคงต้องให้ยัยพริ้งพลอยไปอยู่ที่นั่นแน่ ๆ
เอาล่ะค่ะคนหนึ่งอยากได้ส่วนอีกคนน่าจะได้แล้ว ปล่อยเสือสาวสองตัวที่มีเป้าหมายเดียวกันไปอยู่ข้างกันจะเป็นยังไงนะ ว่าแต่มีบ้านว่างอีกสักหลังไหมนะมิ้งค์จะไปเกาะติดสถานการณ์อิอิ
“แก ฝึกงานวันแรกเป็นไงบ้างอ่ะ”
“ฉันเหรอ? ดีเลยแก” แต่ไม่ดีน่าจะถูกกว่า
“เห็นไหมฉันบอกแล้วว่ามาฝึกงานที่นี่แกต้องชอบแน่ ๆ”
“อื้อ” ฉันยิ้มรับคำพูดขวัญเอย เห็นเพื่อนยิ้มได้ก็สบายใจแต่เชื่อเถอะเดี๋ยวพออยู่คนเดียวก็ไปแอบนอนร้องไห้
เฮ้อ! ความรักนี่มันน่ากลัวนะคะทำให้คนทั้งสุขแล้วก็ทุกข์ บางทีฉันก็อยากมีเหมือนคนอื่นนะแต่ฉันว่าถ้าอยู่คนเดียวแล้วไม่ทุกข์ร้อนก็อย่าพยายามขวนขวายเลยไม่มีใครตายเพราะขาดคู่หรอก
-เวลาต่อมา-
“ทำไมยังไม่นอน”
“คะ?”
“ถาม”
“ถามว่า?” เมื่อกี้ไม่ได้ฟังกำลังหาของกินอยู่ไงถ้าได้ฟังคำถามก็ตอบไปแล้วโว้ยไม่มาทำหน้างงให้ใครมันแอบด่าทางสายตาหรอก! แล้วฉันยิ่งเป็นประเภทถ้าไม่พอใจจะไม่ค่อยเก็บอารมณ์อยู่ด้วยน้ำเสียงที่พูดออกไปเลยค่อนข้างห้วนมาก
“พูดจาให้มันดี”
“ก็พูดจาดี ๆ กับคนอื่นก่อนสิคะ”
“ยอกย้อนเหรอ?”
“เปล่าค่ะ แต่ให้แบบไหนก็คืนกลับไปแบบนั้นค่ะไม่โกง”
“...”
“ตกลงว่าเมื่อกี้ถามว่าอะไรคะ ไม่ได้ตั้งใจฟังค่ะไม่คิดว่าจะมีใครมา”
“ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีคนมาขโมยของกินเหมือนกันถึงได้ถามว่าทำไมยังไม่นอน”
“เอ้า! ก็รู้นี่คะว่ามาขโมยของกินเลยยังไม่นอน แล้วจะถาม...เพื่อ?”
“อย่า มา กวน โม โห” เขาเน้นทีละคำช้า ๆ และแน่นอนว่าชัดเจนมากว่าเขากำลังอยากขย้ำคอฉันที่กล้าต่อปากต่อคำกับเขา
“ขอโทษค่ะ” อยู่ในถ้ำเสืออย่าเก่งมากนะมิ้งค์เอ้ยต่อให้อยากตรงเข้าไปเตะปากเสือแค่ไหนก็ตามนี่คือสิ่งที่แกต้องเตือนตัวเองจำไว้นะยัยมิ้งค์
“แล้วลงมากินอะไรของเธอดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดนี้”
“หิวค่ะเลยลงมาหาอะไรกิน ยังไงวันนี้ขอรบกวนอาหารของคุณก่อนนะคะเดี๋ยวพรุ่งนี้จะออกไปซื้อของเอาไว้กินค่ะ”
“ประสาท แค่ถามเฉย ๆ ไม่ได้หวง หิวก็กิน มีปัญญากินจนหมดตู้ก็กินไป” เขาพูดแล้วยังมองด้วยสายตาตำหนิ ก็ใครจะไปรู้ยะเห็นเหม็นขี้หน้าฉันซะขนาดนี้ก็นึกว่าหวงของกินด้วย
“เอยเป็นยังไงบ้าง”
“คะ?”
“ทำไมเธอชอบให้ฉันถามอะไรซ้ำ ๆ วะ”
“ก็ไม่ได้ตั้งใจฟังนี่คะ ไม่คิดว่าจะชวนคุย” ไม่ได้อยากถามซ้ำ ๆ เหมือนตัวเองหูตึงหรือพูดจาไม่รู้เรื่องให้ใครด่าหรอกแต่ไม่คิดว่าเขาจะอยากคุยด้วยเลยไม่เคยตั้งใจฟังแล้วจะให้ทำยังไงล่ะนอกจากถามซ้ำ
“แล้วตกลงเอยเป็นยังไงบ้าง ร้องไห้รึเปล่า”
“น่าจะหลับไปแล้วมั้งคะ ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“เป็นเพื่อนกันยังไงทำไมไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นยังไงหลับหรือยังนอนร้องไห้”
“นี่มันดึกแล้วนะคะใครจะรู้ว่าใครทำอะไร จะให้ไปเคาะประตูถามยัยเอยไหมล่ะคะจะได้รู้ว่ายัยเอยเป็นยังไงบ้าง”
“ใครจะไปทำแบบนั้น” เขาพูดแถมยังมองฉันด้วยสายตาตำหนิ เหอะ! คนไม่ใช่ เอ้ย! คนที่ไม่ชอบขี้หน้าทำอะไรก็ผิดไปหมดนั่นแหละ
“ก็นั่นสิคะ ไม่มีใครทำแบบนั้นหรอกก็เลยไม่มีใครรู้ได้ว่าเพื่อนตัวเองทำอะไรอยู่ เข้าใจใช่ไหมคะ” ฉันหมั่นไส้อีตานี่ที่สุดเลย เขาเหม็นขี้หน้าฉันเลยจงใจหาเรื่องว่าชัด ๆ
“หึ!” เขาแค่นเสียงใส่แล้วเดินผ่านหน้าฉันไปจนแขนล่ำ ๆ ข้างซ้ายแทบกระแทกดั้งฉันเลยด้วยซ้ำ ทำไมไม่กระแทกมาตรง ๆ ให้จบ ๆ ไปเลยล่ะแขนแน่นขนาดนี้เอาให้ดั้งฉันหักกันไปข้างเลยสิถ้าจะขนาดนี้แล้ว!
“คุณ” ไหน ๆ ก็อยู่กันตามลำพังไม่อยากคุยด้วยหรอกแต่คุยเลยก็ดี
“อืม” เขากำลังดื่มน้ำอยู่มั้งคะเลยตอบกลับสั้น ๆ คงแค่นั้นแหละไม่ได้ตั้งใจไร้มารยาทใส่หรอกมั้ง เฮ้อ~ พยายามคิดในแง่ดีแล้วนะแต่สุดท้ายก็เชื่อความคิดตัวเองไม่ลงเลยให้ตายเถอะ
“เรื่องเมื่อกลางวันน่ะค่ะ”
“ทำไม มีอะไรอีกคุยกันจบแล้วไม่ใช่รึไง”
“ไม่จบอ่ะ คุณทำเพื่ออะไรจะเอาฉันไปเป็นไม้กันหมาใช่ไหม”
“รู้แล้วจะถามทำไม”
“แล้วไม่กลัวอีกคนรู้รึไงคะ” ฉันไม่เอ่ยชื่อถึงจะค่อนข้างคันปากก็ตามเพราะเดี๋ยวเขาจะว่าเอาที่พูดเรื่องนั้นเพราะฉะนั้นพูดแค่นี้ละไว้ในฐานที่เข้าใจตรงกันก็พอ
“ไม่กลัว ไม่กลัวใครรู้ทั้งนั้นเพราะเอื้องไม่พูดแน่นอนฉันมั่นใจ นอกจากเธอจะเป็นคนพูดเอง” ท้ายประโยคเขามองฉันด้วยสายตาที่โคตรน่าเดินไปหาแล้วยกขาเรียว ๆ ของฉันขึ้นไปเตะที่ปากเขาให้มันจบ ๆ ไป
“โห~ ฉันนี่จะไปพูด ถ้าคุณไม่ใช้ความเป็นเจ้านายบังคับฉันตะโกนบอกพี่เอื้องนานแล้วว่าไม่ใช่” ฉันพูดไปกรอกตาเอือมระอาไปด้วย
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องกลัวอะไร ไม่มีใครรู้เรื่องนี้แน่นอน”
“แล้วยัย...แล้วคุณพริ้งพลอยเขาจะไม่พูดเลยรึไงคะว่าคุณกับฉันเป็นอะไรกัน”
“ไม่พูดหรอก พริ้งพลอยจะไปพูดให้คนอื่นรู้ทั้งที่ไม่มีใครรู้ทำไมว่าฉันมีแฟนในเมื่อเขาอยากได้ฉันมากซะขนาดนั้น”
“นี่มั่นใจในตัวเองมากขนาดพูดคำนี้ออกมาได้เลยเหรอคะ” ฉันอึ้งจริง ๆ นะ เข้าใจนะว่าหล่อมากแต่ก็ไม่คิดว่าจะมั่นหน้ามากตามความหล่อไปด้วย
“มั่นใจสิ มั่นใจด้วยว่าถ้าจะทำให้เธออยากได้ฉันบ้าง...ฉันก็ทำได้ จำคำพูดของฉันไว้”