ดวงแขตอบเบาๆ เว้นช่วงท้ายประโยคเอาไว้เพื่อถอนหายใจ
“ถ้าเกี่ยวกับเรื่องที่หนูจะไปกรุงเทพฯ ต้องทำให้แม่เป็นห่วง หนูก็อยากบอกกับแม่ว่าให้เลิกห่วงไปได้เลย เรื่องที่พักในกรุงเทพฯ หนูได้ติดต่อกับเพื่อนเอาไว้แล้ว” รัตติกรพยายามบอกให้มารดาคลายกังวล
“หนูจะพักกับใครล่ะลูก?”
“ดาลันไงคะ… เพื่อนเก่าหนูค่ะ แม่คงยังจำได้”
“คลับคล้ายคลับคลาจ้ะ…”
ดวงแขพยายามทบทวนถึงใบหน้าของดาลัน เพื่อนที่รัตติกรเอ่ยถึง
ไม่แปลกอะไร… ที่ดวงแขเกือบจำใบหน้าของดาลันไม่ได้ เพราะว่าภายหลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม ดาลันก็เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ นานหลายปีแล้วที่ไม่ได้แวะเวียนมาหารัตติกรที่ต่างจังหวัด ดวงแขรู้เพียงแต่ว่าดาลันกับรัตติกรยังคงติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์มือถืออยู่เป็นระยะๆ
“ดาลันเช่าห้องพักอยู่คนเดียวค่ะแม่”
“อืม… แล้วค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักล่ะ”
“ตกลงกันไว้แล้วว่าหนูจะช่วยแชร์ค่าเช่าห้องคนละครึ่ง… ในระหว่างที่หนูเริ่มงานใหม่ แต่ในอนาคต…ถ้าคิดจะขยับขยายที่อยู่ ถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที”
รัตติกรอธิบาย ขณะไล้มือไปบนผืนเสื่อช้าๆ ควานหาไปในความมืดมิด จนเจอเข้ากับหลังมืออุ่นๆ ของแม่
“ไม่ต้องเป็นห่วงหนูนะแม่...”
“จ้ะลูก”
ดวงแขตอบเบาราวกระซิบ
รัตติกรบีบมือของมารดาเอาไว้แน่น รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากมือของกันและกัน
ลึกๆ ภายในใจของหญิงสาว กลับรู้สึกห่วงใยแม่และน้องชายมากกว่าตัวเองเสียด้วยซ้ำ ตราบใดที่พ่อยังไม่สามารถทำตัวเป็นเสาหลักให้ครอบครัวพึ่งพาได้
‘วันใดที่พ่อเลิกทั้งเหล้าและการพนันได้… วันนั้นครอบครัวคงจะดีขึ้น’
หญิงสาวรำพึงในใจ อดไม่ได้ที่จะคิดและคาดหวังในตัวของพ่อ แม้รู้ดีว่ามันเป็นไปได้ยาก…
รัตติกรทอดสายตาผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆ ของผนังสังกะสีเก่าคร่ำ ออกไปยังผืนฟ้าซึ่งเริ่มปรากฏแสงจันทร์รำไรลางขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อกลุ่มเมฆทะมึนลอยผ่านไป
หล่อนนิ่งฟังเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนเย็นยะเยียบที่หล่นจากชายคาลงมากระทบพื้น แลเห็นดวงหน้าของดวงแขผู้เป็นมารดาที่นอนอยู่ในตำแหน่งซึ่งแสงจันทร์สาดมาจับต้องใบหน้าบางส่วนได้อย่างชัดเจน ทำให้รัตติกรสังเกตเห็นว่าในดวงตาของมารดา… มีแวววิบวับอันเกิดจากหยาดน้ำตาที่ซึมออกมาเพราะความห่วงใยเธอ
รัตติกรรู้ว่าแม่ร้องไห้...
แม้ดวงแขจะพยายามข่มอาการ เพื่อไม่ให้มีเสียงสะอื้นใดๆ เล็ดออกมาให้ลูกสาวได้ยินเลยก็ตาม
รัตติกรขยับตัวเบาๆ แต่ก็ไม่วายที่จะเกิดเสียงดังจากแผ่นไม้กระดานเก่าๆ
แขนเล็กๆ ของหล่อนเอื้อมไปกอดแม่… แนบแน่น ก่อนที่ทั้งสองจะหลับใหลไปพร้อมกับความคิดและความหวังอันเหนื่อยอ่อนรอนล้าของกันและกัน
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
ขณะนั้นเป็นเวลา 6.15 น. ที่ท่ารถตู้ในตลาด
“ดูแลตัวเองให้ดีนะลูก”
ดวงแขบอกลูกสาว ดวงตาพราวไปด้วยรื้นน้ำตา ยากยิ่งที่จะกลั้นเอาไว้ เมื่อเวลาใกล้เข้ามาทุกที
“อย่าลืมซื้อของเล่นที่ผมสั่งนะครับ” ดนัยกำชับพี่สาว ห่วงของเล่นไปตามประสาเด็ก
รัตติกรมองนาฬิกาเรือนเล็กที่ข้อมือ
เวลายิ่งใกล้เข้ามา… น้ำตาของดวงแขผู้เป็นมารดาก็ยิ่งรินไหล หล่อนกังวลจนกลายเป็นความกระวนกระวาย แม้จะยังไม่แน่ใจนัก… ถึงลางสังหรณ์ที่พัดมากับสายลมอ้างว้างจนรู้สึกได้… จู่ๆ ก็เกิดห่วงใยลูกสาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“หนูไปกรุงเทพฯ… ไม่ได้ไปไกลถึงต่างประเทศนะคะแม่” บอกพลางจับมือของดวงแขขึ้นมากุมให้คลายความเป็นห่วง
“จะใกล้ไกลยังไงแม่ก็ห่วงอยู่ดี”
ที่พูดเช่นนั้นเพราะดวงแขรู้ว่ารัตติกรเติบโตและร่ำเรียนอยู่ที่ต่างจังหวัดมาโดยตลอด ลูกสาวของเธอแทบไม่เคยย่างกรายเข้ากรุง… กระทั่งเรียนจบ และโชคชะตานำพาให้ได้งานทำในกรุงเทพฯ
“แค่เดือนเดียวก็ได้กลับมาเจอกันแล้วค่ะแม่… หนูสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมแม่และน้องทุกเดือน” หญิงสาวบอก
ดนัยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกอาลัยของคนที่ต้องจากลา ท่าทางของเด็กชายจึงดูตื่นเต้นมากกว่าเศร้า ขณะมองดูรถตู้สีขาว คันใหญ่ กำลังแล่นเข้ามาเทียบยังท่ารถช้าๆ แลเห็นผู้โดยสารหลายคนที่รอคอยจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ นั่งรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม ที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวบริเวณที่พักผู้โดยสาร
“กรุงเทพฯ ครับ…กรุงเทพฯ”
โชเฟอร์ ซึ่งเป็นชายวัยกลางคน ตะโกนเสียงดังออกมาจากบานกระจกรถของประตูรถที่ค่อยๆ เลื่อนลง
“เมื่อไรผมจะได้ไปเที่ยวกรุงเทพฯ บ้างน๊า...”
ดนัยลากเสียงยาวด้วยความอยาก
‘กรุงเทพฯ’ นับเป็นความฝันสูงสุดอย่างหนึ่งของดนัย และสวนสัตว์เขาดินกับสวนสนุกดรีมเวิลด์ก็คือเป้าหมายที่เด็กชายวาดฝันเอาไว้ว่าสักวันจะได้ไปเยือน
“รอสิ้นเดือนก่อนนะ… รอให้พี่ได้เงินเดือนก่อน รอให้โรงเรียนปิด… แล้วพี่จะพาไปเที่ยวกรุงเทพฯ”
“สัญญานะครับ”
“จ้ะ…” มือเรียวของรัตติกรขยี้ลงบนศีรษะของน้องชายเบาๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดู
เด็กชายจึงได้แต่ท่องคำว่า ‘รอ’ ไปพลางๆ เผลอทำตาพริ้มสนิท เมื่อนึกถึงทั้งไก่ทอด สุกี้ และพิซซ่า อย่างที่เคยเห็นในโฆษณากรอกหูกรอกตาอยู่ทุกวี่ทุกวันทางจอโทรทัศน์
“กรุงเทพฯ ครับ กรุงเทพฯ… อีกห้านาทีรถจะออกแล้วครับ”
โชเฟอร์คนเดิมแผดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
ชั่วอึดใจต่อมา…
เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ก็ดังขึ้น รถพร้อมแล้วที่จะออกเดินทาง
“หนูต้องไปแล้วนะคะ”
รัตติกรกล่าวเสียงเครือ
สามชีวิตโผเข้าโอบกอดกัน อาลัยและล่ำลาอย่างไม่อายสายตาใครจะมอง
แม้ตอนนั้นจะไร้เงาของผู้เป็นพ่อ… แต่หญิงสาวกลับไม่ได้รู้สึกถึงความขาดหาย นาทีนี้… แค่แม่กับน้องชายก็พอแล้ว
เธอห่วงก็แต่แม่ กลัวว่าจะต้องกลายเป็นเครื่องรองรับมือรับเท้าของพ่อเวลาเมาเหมือนเช่นหลายๆ ครั้งที่มันเคยเกิดขึ้น
แม้ว่าหลังจากที่รัตติกรเคยยื่นคำขาดว่า ‘เมื่อใดที่พ่อเมาเหล้าแล้วลงไม้ลงมือกับแม่อีก’ เธอจะพาแม่กับน้องหนีไปให้ไกลแสนไกล
และด้วยความที่รัตติกรไม่ใช่คนพูดมาก ดังนั้นเมื่อเธอพูด… พ่อจึงยอมฟัง… แต่เธอก็ยังไม่ไว้วางใจอยู่ดี
เสียงโชเฟอร์ตะโกนบอกผู้โดยสารอีกครั้ง
เป็นสัญญาณว่า 5 นาทีสุดท้ายได้หมดลงแล้ว
‘โชคดีนะลูก’
คำอวยพรของดวงแข แผ่วพร่าอยู่ในหัวใจอันแห้งผาก ขณะที่มือน้อยๆ ของดนัยโบกไหวๆ แววตาทอดอาลัยกับการจากไปของพี่สาว