ตอนที่ 7

1228 Words
ดวงแขตอบเบาๆ เว้นช่วงท้ายประโยคเอาไว้เพื่อถอนหายใจ “ถ้าเกี่ยวกับเรื่องที่หนูจะไปกรุงเทพฯ ต้องทำให้แม่เป็นห่วง หนูก็อยากบอกกับแม่ว่าให้เลิกห่วงไปได้เลย เรื่องที่พักในกรุงเทพฯ หนูได้ติดต่อกับเพื่อนเอาไว้แล้ว” รัตติกรพยายามบอกให้มารดาคลายกังวล “หนูจะพักกับใครล่ะลูก?” “ดาลันไงคะ… เพื่อนเก่าหนูค่ะ แม่คงยังจำได้” “คลับคล้ายคลับคลาจ้ะ…” ดวงแขพยายามทบทวนถึงใบหน้าของดาลัน เพื่อนที่รัตติกรเอ่ยถึง ไม่แปลกอะไร… ที่ดวงแขเกือบจำใบหน้าของดาลันไม่ได้ เพราะว่าภายหลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม ดาลันก็เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ นานหลายปีแล้วที่ไม่ได้แวะเวียนมาหารัตติกรที่ต่างจังหวัด ดวงแขรู้เพียงแต่ว่าดาลันกับรัตติกรยังคงติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์มือถืออยู่เป็นระยะๆ “ดาลันเช่าห้องพักอยู่คนเดียวค่ะแม่” “อืม… แล้วค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักล่ะ” “ตกลงกันไว้แล้วว่าหนูจะช่วยแชร์ค่าเช่าห้องคนละครึ่ง… ในระหว่างที่หนูเริ่มงานใหม่ แต่ในอนาคต…ถ้าคิดจะขยับขยายที่อยู่ ถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที”   รัตติกรอธิบาย ขณะไล้มือไปบนผืนเสื่อช้าๆ ควานหาไปในความมืดมิด จนเจอเข้ากับหลังมืออุ่นๆ ของแม่ “ไม่ต้องเป็นห่วงหนูนะแม่...” “จ้ะลูก” ดวงแขตอบเบาราวกระซิบ รัตติกรบีบมือของมารดาเอาไว้แน่น รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากมือของกันและกัน ลึกๆ ภายในใจของหญิงสาว กลับรู้สึกห่วงใยแม่และน้องชายมากกว่าตัวเองเสียด้วยซ้ำ ตราบใดที่พ่อยังไม่สามารถทำตัวเป็นเสาหลักให้ครอบครัวพึ่งพาได้              ‘วันใดที่พ่อเลิกทั้งเหล้าและการพนันได้… วันนั้นครอบครัวคงจะดีขึ้น’ หญิงสาวรำพึงในใจ อดไม่ได้ที่จะคิดและคาดหวังในตัวของพ่อ แม้รู้ดีว่ามันเป็นไปได้ยาก… รัตติกรทอดสายตาผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆ ของผนังสังกะสีเก่าคร่ำ ออกไปยังผืนฟ้าซึ่งเริ่มปรากฏแสงจันทร์รำไรลางขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อกลุ่มเมฆทะมึนลอยผ่านไป หล่อนนิ่งฟังเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนเย็นยะเยียบที่หล่นจากชายคาลงมากระทบพื้น แลเห็นดวงหน้าของดวงแขผู้เป็นมารดาที่นอนอยู่ในตำแหน่งซึ่งแสงจันทร์สาดมาจับต้องใบหน้าบางส่วนได้อย่างชัดเจน ทำให้รัตติกรสังเกตเห็นว่าในดวงตาของมารดา… มีแวววิบวับอันเกิดจากหยาดน้ำตาที่ซึมออกมาเพราะความห่วงใยเธอ รัตติกรรู้ว่าแม่ร้องไห้... แม้ดวงแขจะพยายามข่มอาการ เพื่อไม่ให้มีเสียงสะอื้นใดๆ เล็ดออกมาให้ลูกสาวได้ยินเลยก็ตาม รัตติกรขยับตัวเบาๆ แต่ก็ไม่วายที่จะเกิดเสียงดังจากแผ่นไม้กระดานเก่าๆ แขนเล็กๆ ของหล่อนเอื้อมไปกอดแม่… แนบแน่น ก่อนที่ทั้งสองจะหลับใหลไปพร้อมกับความคิดและความหวังอันเหนื่อยอ่อนรอนล้าของกันและกัน                   หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ขณะนั้นเป็นเวลา 6.15 น. ที่ท่ารถตู้ในตลาด             “ดูแลตัวเองให้ดีนะลูก”             ดวงแขบอกลูกสาว ดวงตาพราวไปด้วยรื้นน้ำตา ยากยิ่งที่จะกลั้นเอาไว้ เมื่อเวลาใกล้เข้ามาทุกที             “อย่าลืมซื้อของเล่นที่ผมสั่งนะครับ” ดนัยกำชับพี่สาว ห่วงของเล่นไปตามประสาเด็ก รัตติกรมองนาฬิกาเรือนเล็กที่ข้อมือ เวลายิ่งใกล้เข้ามา… น้ำตาของดวงแขผู้เป็นมารดาก็ยิ่งรินไหล หล่อนกังวลจนกลายเป็นความกระวนกระวาย แม้จะยังไม่แน่ใจนัก… ถึงลางสังหรณ์ที่พัดมากับสายลมอ้างว้างจนรู้สึกได้… จู่ๆ ก็เกิดห่วงใยลูกสาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก                    “หนูไปกรุงเทพฯ… ไม่ได้ไปไกลถึงต่างประเทศนะคะแม่” บอกพลางจับมือของดวงแขขึ้นมากุมให้คลายความเป็นห่วง                         “จะใกล้ไกลยังไงแม่ก็ห่วงอยู่ดี”             ที่พูดเช่นนั้นเพราะดวงแขรู้ว่ารัตติกรเติบโตและร่ำเรียนอยู่ที่ต่างจังหวัดมาโดยตลอด ลูกสาวของเธอแทบไม่เคยย่างกรายเข้ากรุง… กระทั่งเรียนจบ และโชคชะตานำพาให้ได้งานทำในกรุงเทพฯ             “แค่เดือนเดียวก็ได้กลับมาเจอกันแล้วค่ะแม่… หนูสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมแม่และน้องทุกเดือน” หญิงสาวบอก               ดนัยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกอาลัยของคนที่ต้องจากลา ท่าทางของเด็กชายจึงดูตื่นเต้นมากกว่าเศร้า ขณะมองดูรถตู้สีขาว คันใหญ่ กำลังแล่นเข้ามาเทียบยังท่ารถช้าๆ แลเห็นผู้โดยสารหลายคนที่รอคอยจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ นั่งรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม ที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวบริเวณที่พักผู้โดยสาร             “กรุงเทพฯ ครับ…กรุงเทพฯ”               โชเฟอร์ ซึ่งเป็นชายวัยกลางคน ตะโกนเสียงดังออกมาจากบานกระจกรถของประตูรถที่ค่อยๆ เลื่อนลง             “เมื่อไรผมจะได้ไปเที่ยวกรุงเทพฯ บ้างน๊า...”             ดนัยลากเสียงยาวด้วยความอยาก             ‘กรุงเทพฯ’ นับเป็นความฝันสูงสุดอย่างหนึ่งของดนัย และสวนสัตว์เขาดินกับสวนสนุกดรีมเวิลด์ก็คือเป้าหมายที่เด็กชายวาดฝันเอาไว้ว่าสักวันจะได้ไปเยือน             “รอสิ้นเดือนก่อนนะ… รอให้พี่ได้เงินเดือนก่อน รอให้โรงเรียนปิด… แล้วพี่จะพาไปเที่ยวกรุงเทพฯ”             “สัญญานะครับ”             “จ้ะ…” มือเรียวของรัตติกรขยี้ลงบนศีรษะของน้องชายเบาๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดู              เด็กชายจึงได้แต่ท่องคำว่า ‘รอ’ ไปพลางๆ เผลอทำตาพริ้มสนิท เมื่อนึกถึงทั้งไก่ทอด สุกี้ และพิซซ่า อย่างที่เคยเห็นในโฆษณากรอกหูกรอกตาอยู่ทุกวี่ทุกวันทางจอโทรทัศน์             “กรุงเทพฯ ครับ กรุงเทพฯ… อีกห้านาทีรถจะออกแล้วครับ”             โชเฟอร์คนเดิมแผดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง             ชั่วอึดใจต่อมา…             เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ก็ดังขึ้น รถพร้อมแล้วที่จะออกเดินทาง              “หนูต้องไปแล้วนะคะ”             รัตติกรกล่าวเสียงเครือ             สามชีวิตโผเข้าโอบกอดกัน อาลัยและล่ำลาอย่างไม่อายสายตาใครจะมอง              แม้ตอนนั้นจะไร้เงาของผู้เป็นพ่อ… แต่หญิงสาวกลับไม่ได้รู้สึกถึงความขาดหาย นาทีนี้… แค่แม่กับน้องชายก็พอแล้ว             เธอห่วงก็แต่แม่ กลัวว่าจะต้องกลายเป็นเครื่องรองรับมือรับเท้าของพ่อเวลาเมาเหมือนเช่นหลายๆ ครั้งที่มันเคยเกิดขึ้น             แม้ว่าหลังจากที่รัตติกรเคยยื่นคำขาดว่า ‘เมื่อใดที่พ่อเมาเหล้าแล้วลงไม้ลงมือกับแม่อีก’ เธอจะพาแม่กับน้องหนีไปให้ไกลแสนไกล และด้วยความที่รัตติกรไม่ใช่คนพูดมาก ดังนั้นเมื่อเธอพูด… พ่อจึงยอมฟัง… แต่เธอก็ยังไม่ไว้วางใจอยู่ดี             เสียงโชเฟอร์ตะโกนบอกผู้โดยสารอีกครั้ง             เป็นสัญญาณว่า 5 นาทีสุดท้ายได้หมดลงแล้ว                      ‘โชคดีนะลูก’             คำอวยพรของดวงแข แผ่วพร่าอยู่ในหัวใจอันแห้งผาก ขณะที่มือน้อยๆ ของดนัยโบกไหวๆ แววตาทอดอาลัยกับการจากไปของพี่สาว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD