ตอนที่ 8

1217 Words
รัตติกรโบกมือตอบผ่านกระจก             กระทั่งรถแล่นออกมาไกล             หยาดน้ำตาใสๆ ที่หญิงสาวพยายามสะกดกลั้นเอาไว้ตลอดเวลา ด้วยไม่อยากให้แม่เห็นว่าเธอร้องไห้… ก็เริ่มไหลรินออกมาสู่ร่องแก้ม   เวลา 10.00 น. กรุงเทพฯ ที่สถานีขนส่งหมอชิต             “เฮ้ย!...ทางนี้โว้ยรัตติกร”               ดาลัน หญิงสาวผู้มีใบหน้าเรียวได้รูป ดวงตาคมล้อมกรอบเอาไว้ด้วยแพขนตางอนระยับ ริมฝีปากเอิบอิ่ม แต้มแต่งด้วยลิปสติกสีแดงจัดจ้าน กำลังโบกไม้โบกมือพร้อมตะโกนเรียกเพื่อนสาวที่กำลังหันรีหันขวาง เงอะงะอยู่ตรงปากประตูทางออก ใกล้ๆ กับอาคารที่พักผู้โดยสาร พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่             “ดา!...”             คนที่เพิ่งเดินทางมาถึง เรียกชื่อของเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงสนิทสนม ดวงตาคมประกายเบิกกว้างด้วยความดีใจ             “โห!... เกือบจำไม่ได้แน่ะ...”               ดาลันดูเปลี่ยนไปมากจนรัตติกรจำแทบไม่ได้              “สวยขึ้นใช่ไหม”             ดาลันเอ่ยถามอย่างมีอารมณ์ขัน พลางยกนิ้วขึ้นชี้ที่จมูกโด่งเป็นสัน ที่คางแหลมเรียว จนใบหน้าเป็นรูปตัววี             “สวยมาก…”             “จ้ะ… มีดหมอทั้งนั้น”             ดารันบอกอย่างคนที่ยอมรับว่าศัลย์กรรมได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้             ยืนยันความงามของหล่อนด้วยสายตาของผู้ชายหลายคนที่กำลังจับจ้องมองมาเป็นตาเดียวกัน             “เธอก็ใช่ย่อยนะย๊ะ ยังสวยหวานเหมือนเดิม… แม่น้ำผึ้งบ้านไพร” ดาลันชมตอบเพื่อนสาว ตั้งฉายาให้เสร็จสรรพ             ในสายตาของคนภายนอกที่กำลังมองดูรัตติกรกับดาลันอยู่นั้น สองคนนี้ช่างดูเป็นเพื่อนซี้ต่างสไตล์ อีกคนเปรี้ยวเด็ดเข็ดฟัน  ดูจี๊ดจ๊าด จัดจ้าน กระโปรงรัดติ้วสีดำที่ใส่อยู่นั้นนอกจากจะสั้นแล้วยังผ่า ขณะที่อีกคนใส่กระโปรงยาวคลุมเข่า กรอมลงเกือบถึงปลายเท้า ซ่อนความยาวของเรียวขาขาวๆ เอาไว้มิดชิด เสื้อเชิ้ตสีขาวติดกระดุมตั้งแต่เม็ดแรกลงมาถึงเม็ดสุดท้าย ดูเรียบร้อยถึงค่อนไปทางเชยด้วยซ้ำ             “มาทางนี้...”             ดาลันเรียก สะโพกผายของหล่อนบิดไขว้ไปตามจังหวะสับปลายเท้ากระฉับกระเฉง ก้าวฉับๆ นำหน้าเพื่อนสาวออกไปยังลานจอดรถ             รัตติกรมองตามด้วยแววตาฉงนฉงาย เมื่อเห็นว่าดาลันไม่ได้เดินตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่แลเห็นอยู่ไม่ไกล กระทั่งเพื่อนสาวควักกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าถือแบรนด์ เนมยี่ห้อหรู กดรีโมทส่งสัญญาณให้ไฟหน้ารถบีเอ็มดับเบิ้ลยูซีรี่ส์ห้า กระพริบพราวขึ้นพร้อมๆ กับส่งเสียงสัญญาณ ปี๊บๆ… ดังลั่นสองสามครั้ง             “นี่… แม่น้ำผึ้งบ้านไพร ใครว่าฉันจะไปรถเมล์ล่ะจ๊ะ ซีรี่ส์ห้าคันนี้นี่แหละจ้ะรถฉัน”             ปลายเสียงตะหวัดขึ้นสูง ซ่อนความภาคภูมิใจเอาไว้ไม่มิด             “โห…!” รัตติกรอุทาน กับพาหนะซึ่งพอจะรู้มาว่าราคาของมันสามารถเอาไปซื้อบ้านได้หลายหลัง             “แล้ว…” รัตติกรขยับริมฝีปาก ทำท่าว่าจะถาม             ดาลันรู้ทัน             “จะถามใช่ไหมว่าคนที่เริ่มทำงานได้ไม่กี่เดือนอย่างฉัน... อีกทั้งพ่อแม่ก็ไม่ได้ร่ำรวย เอาเงินที่ไหนมาซื้อรถคันนี้? เออน่ะ… ถ้ารอเก็บเงินจากการทำงานเดือนละไม่เท่าไร เชื่อไหมว่าทั้งชาติฉันก็ไม่มีปัญญาซื้อรถคันนี้”             ดาลันบอกเพียงเท่านั้น             “ขึ้นรถเถอะ… จะพาไปกินข้าว” หล่อนว่า                         ครู่ต่อมา ที่ร้านเสต็กแห่งหนึ่ง ทันทีที่สองสาวทรุดร่างบอบบาง ลงนั่ง บริกรก็ถือเมนูมาวางลงตรงหน้าในทันที                                      ดาลันไม่ได้พลิกซ้ายพลิกขวาดูให้เสียเวลา เธอสั่งออกมาด้วยความเคยชิน “ริบอายเสต็คราดซอสเห็ด”             เธอหมายถึงเนื้อวัวเกรดเยี่ยมที่ทางร้านเตรียมไว้บริการลูกค้า บริกรสาวจดออเดอร์ลงกระดาษโน้ตด้วยความคล่องแคล่ว ในขณะที่รัตติกรยังคงพลิกเมนูไปมา กวาดสายตาละล้าละลังไปตามตัวอักษรซึ่งแสดงตัวเลขต่ำสุดของราคา ซึ่งก็คือสองร้อยเก้าสิบเก้าบาท หล่อนอดคิดไม่ได้… ว่าราคาอาหารมื้อแรกที่กำลังจะกินเข้าไป สามารถซื้อกับข้าวกินกันสามคนได้สบายๆ… ถ้าอยู่กับแม่และน้องชายที่บ้าน             “สั่งเถอะน่ะ ไม่ต้องสนใจราคา... ฉันเลี้ยงเอง” ดาลันตัดบทให้เพื่อนคลายกังวล  เพราะคบหากันมานาน… มีหรือที่หล่อนจะไม่รู้ว่าฐานะทางบ้านของรัตติกรเป็นยังไง             ยิ่งดาลันแสดงน้ำใจมากท่าไร ก็ยิ่งทำให้รัตติกรรู้สึกเกรงใจมากขึ้นเท่านั้น             “ขอเสต็กปลาค่ะ”             รัตติกรหันไปบอกกับบริกร             ทุกครั้งที่จะกินเนื้อ… มันทำให้เธออดไม่ได้ ที่จะนึกถึงวัวสองตัวซึ่งชาวบ้านเคยนำมาผูกเอาไว้ที่ทุ่งหลังบ้านของเธอ             เธอเคยเห็นมันแระเล็มหญ้ามาตั้งแต่ตัวเล็กๆ เคยเห็นแววตาคมสวยที่ดูซื่อและน่าสงสารของมัน กระทั่งมันเติบโตพอที่จะขายได้ ก็มีรถหกล้อมารับมันไปในวันหนึ่ง และจากนั้น… เธอก็ไม่เห็นมันอีกเลย             “อ้าว...! ไม่กินเนื้อหรอกหรือ?”             แววตาของดาลันบอกความสงสัย             ที่ตั้งใจพามายังร้านแห่งนี้ ก็เพราะอยากให้เพื่อนสาวได้ลิ้มรสชาติของเนื้อซึ่งทางร้านการันตีคุณภาพความอร่อยจนลูกค้าเอ่ยชมกันปากต่อปาก ทำให้ร้านนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วกรุงเทพฯ             “ไม่ดีกว่า… ขอเป็นปลาละกัน”             รัตติกรไม่ได้บอกเหตุผลที่ไม่กินเนื้อ แม้จะเคยได้ยินคนให้เหตุผลว่า ‘อย่าไปคิดอะไรมาก วัวควายมันเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์’ แต่เธอมองว่าเหตุผลนั้นก็เกิดจากการถือเอาความได้เปรียบของมนุษย์มาเป็นผู้กำหนด ทั้งที่ยังมีทางเลือกอื่นในการแสวงหาโปรตีนจากแหล่งอื่น...ที่ไม่ต้องเบียดเบียนเอาจากเลือดเนื้อของสัตว์ร่วมโลกเหล่านั้น             “ริบอายสเต็ก...อร่อยมาก! ลองนะ”             ดาลันพลิกเมนูไปมา คะยั้นคะยอขึ้นอีกครั้ง             “ขอบใจมาก แค่ปลาก็พอแล้ว”             รัตติกรสรุป ความรู้สึกบอกว่าต้องการแค่ปลาจริงๆ             “ทานเสร็จเดี๋ยวพาไปคอนโด” “คอนโด…” แววตาของรัตติกรฉายแววฉงนขึ้นมาอีก “ใช่…”             “เธอหมายถึงห้องเช่าที่อพาร์ทเมนท์ใช่ไหม?”             รัตติกรขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดาลันยังบอกว่าอยู่อพาร์ทเมนท์             “เปล่า… ฉันเพิ่งย้ายที่อยู่ใหม่”             บอกพลางจิ้มชิ้นเสต็กด้วยซ่อม             “ห้องรูหนูแบบนั้น...ใครจะทนอยู่ไหว ฉันย้ายมาอยู่คอนโดได้หลายวันแล้ว”             ดวงหน้าแช่มชื่นของดาลัน เงยขึ้นจากจานเสต็กตรงหน้า             หล่อนระบายยิ้มหวานให้รัตติกรที่ซ่อนคำถามมากมายเอาไว้บนใบหน้า             เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงปีที่ห่างกัน ดาลันดูมีชีวิตหรูหราขึ้นจนน่าแปลกใจ ทั้งรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป ราวกับไม่ใช่ดา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD