Chapter 3
บางครั้งอันนาก็มาเที่ยวเล่นที่นี่ตั้งแต่ครอบครัวกลับมาอาศัยอยู่เมืองไทย คุณพ่อคุณแม่จึงจัดห้องนอนแขกไว้ให้เฉพาะสำหรับเธอเหมือนกับว่าเป็นลูกสาวอีกคน
เด็กทั้งสองคนอายุห่างกันเกือบแปดปี สองถึงสามเดือนเจอหน้ากันครั้งหนึ่งหรือบ่อยกว่านั้นแล้วแต่ความสะดวกของผู้ใหญ่
หากนายแพทย์ก้องเกียรติไม่ไปหาเพื่อนรัก บ้านอันนามักมาเยี่ยมเยียนบ้านของคุณหมอเป็นประจำ ไม่ได้ขาดการติดต่อกันไปเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ
กระทั่งวันที่ลูก ๆ เริ่มมีความรู้สึกชอบพอตามผู้ใหญ่ช่างยุ ทุกคนในบ้านและญาติ ๆ ก็รู้ ทุกอย่างคงเป็นไปได้ด้วยดีหากไม่ติดนิสัยเงียบขรึมเย็นชาของครองภพ
“แต่ละวันกลับบ้านมาปุ๊บ เข้าห้องนอนตัวเอง ห้องหนังสือ ปิดประตูเงียบไม่พูดจากับใคร พี่เฝ้าบ้านอยู่ เห็นกับตาค่ะบางทีแกน่ะแอบเหงาเศร้าซึมอยู่คนเดียว”
“นี่ถ้ายังไม่เลิกเป็นแบบนี้ พี่ว่าเราพาลูกหมอไปหาจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลหน่อยดีไหมนะ? เพื่อน ๆ เนตรน่ะ ถ้าให้แม่ตรวจเองล่ะไม่มีทาง”
แม่บ้านอาวุโสทำหน้าตกใจกับคำว่าจะพาหมอไปหาหมอ ก่อนเดินไปเก็บจานข้างหลังบ้าน เจ้าของบ้านจัดการขนมปังของตัวเองแล้วมองไปยังเก้าอี้บริเวณหัวโต๊ะของลูกชายเหมือนว่าเจ้าตัวยังอยู่
“ปัญหามันอยู่ที่กินข้าวได้ครบมื้อ น้ำหนักไม่ลด ไม่มีอาการป่วย ปกติดีทุกอย่างนี่สิ mdd[1] ก็ไม่น่าใช่ ไปตรวจหมอจะจ่ายยาอะไรล่ะคะ?”
“อืม... นั่นสินะ”
คุณพ่อเออออตามคุณแม่ที่เป็นจิตแพทย์ในวงการมานาน ต่างจากเขาเป็นศัลยแพทย์ ส่วนลูกชายของพวกเขานั้นเป็นสูติ-นรีแพทย์
ไม่ได้หมายความว่าหมอจะรู้ไปหมดทุกอย่าง ในเมื่อเป็นคนละหมอ…
จิตแพทย์สาววัยห้าสิบห้าจึงเริ่มอธิบายเรื่องโรคซึมเศร้านั้นส่งผลต่อการควบคุมความอยากอาหาร สามารถส่งผลได้ทั้งสองรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น หรือน้ำหนักตัวที่ลดลง
แต่ครองภพใช้ชีวิตตามปกติ น้ำหนักไม่ขึ้นไม่ลงยังมีอารมณ์เข้าฟิตเนส ไปวิ่งออกกำลังกายทุกอาทิตย์อีกต่างหาก
กว่าจะลากความยาวสาวความยืดไปไกล ท้ายสุดแล้วคุณแม่ก็หนักใจเหลือเกิน
“เฮ้อ! ฉันจะบ้าตาย... มีลูกสักคนมันปวดหัวขนาดนี้ ทำหมันไปนานละ”
“ไม่เอาน่าคุณ มีมาแล้วจนมันโตขนาดนี้ละ มาพูดอะไรไม่น่าฟัง ลูกจะเสียใจเอานะ” คุณพ่อปราม จากที่นั่งฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็เริ่มทำหน้าเครียดตาม ประสาคนเป็นหมอเขาคิดว่ามันอาจเป็นเรื่องใหม่ ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้
“พี่ว่าน่าจะเอาไปเป็นเคสศึกษา เนตรเคยเจออะไรแบบนี้ไหมล่ะ?”
“เนตรเคยเจอประมาณว่า... อกหักแล้วกินหนักกับอีกเคสหนึ่งเป็นโรคจิตเภท[2] มันสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะทางจิตประเภทอื่น ฮิคิโคโมริซินโดรม[3] เก็บตัวจากสังคมเริ่มมาแต่เด็ก ๆ ส่วนมากเป็นเด็กญี่ปุ่น เพราะสภาวะกดดัน บางรายพัฒนาเป็นโรคเครียดทีหลัง... ตอนเล็ก ๆ ตาอิฐชอบไปโรงเรียน เรียนเก่งด้วยซ้ำ... ไม่ใช่อยู่ดีค่ะ”
จากนั้นคุณพ่อและคุณแม่จึงหันหน้ามาพูดคุยกันเรื่องสภาวะทางจิต
นายแพทย์ก้องเกียรติในฐานะสามียินดีเปิดรับความรู้แลกเปลี่ยนกับภรรยาที่เป็นจิตแพทย์ หากมีความเห็นไม่ตรงกัน วิธีแก้ปัญหาของครอบครัวหมออย่างพวกเขาคือเอาเอกสารทางวิชาการและงานวิจัยมาถกเถียง
ในส่วนของข้อสรุปที่ไม่มี... หาไม่ได้นั้น พวกเขาเลือกที่จะเงียบและเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปเสียเลย เพื่อความปรองดองของครอบครัว เป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ลูกชายเลือกเรียนแพทย์ตามพ่อและแม่
ทางคุณพ่อได้คุยอะไรไปเรื่อยเปื่อยในวันหยุดของเขาซึ่งปลดเกษียรแล้วมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลและเจ้าของคลินิก ก่อนจะนึกถึงหญิงสาวอีกคน
“เอ้อ... เนตรเจอลูกอันบ้างไหม? พี่ว่าช่วงนี้หายหน้าหายตา ปกติกลับบ้านทุกเดือน เดือนละหน นี่ห้องนอนแขกบ้านเราหยากไย่ขึ้นหมดละ พี่ว่าเงียบเหงา...”
คนอายุมากก็เป็นอย่างนั้น เนตรดาวแตะมือลงบนมือที่มีรอยเหี่ยวย่นตามวัย นานแพทย์ก้องเกียรตินั้นสูงหล่อแม้มีพุงหน่อย ๆ ด้วยเป็นคนชอบดื่มสังสรรค์
“เนตรได้ยินจากอดัมว่าอันนาซื้อคอนโดฯ อยู่แถวที่ทำงานนะคะ ลูกบอกว่ายังไม่มีรถเป็นของตัวเอง เพิ่งเรียนจบทำงานไม่กี่ปี อยากประหยัดเงิน นั่ง bts เอา... เดี๋ยวก็คงมามั้ง”
“อืม... ไม่เป็นไร ไม่มาพี่จะโทรตาม แล้วเมื่อวานเป็นไง... สำเร็จไหม?” คุณพ่อลดเสียงลง ขยิบตาทำตัวเป็นพรายกระซิบหลังสั่งลูกน้องให้จัดส่งคนไข้สาวไปห้อง ‘นายแพทย์ครองภพ นันทพิวัฒน์’ แทนแพทย์หญิงอีกคน
“เนตรแอบถามหมออีกแผนกมา มีคนบอกว่าแฟนเก่าคุณหมอเดินคอตกออกจากห้องตรวจ ไม่รู้ว่ามีอะไรนอกจากนั้นไหมนะ?”
“อ้าว... พี่ก็อุตส่าห์นั่งลุ้นแทบแย่ สองคนนี้นี่มันยังไงกัน...”
“ไว้จะไปหลอกถามคุณพยาบาลให้นะคะ แถวนั้นมีหลายคนสายกรองข่าว คุณกมล พยาบาลมือขวาของลูกอิฐก็เด็กเนตรเอง”
คุณแม่ไม่วายคุยโม้ เรื่องนินทาคันปากคงไม่เข้าใครออกใคร แม้ข้อมูลส่วนตัวของคนไข้นั้นทางโรงพยาบาลเอกชนมีการเก็บรักษาความลับได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
เนตรดาวอยู่ฝ่ายจิตเวชโรงพยาบาลที่มีสามีเป็นหุ้นส่วนใหญ่ และอดีตผู้อำนวยการ หล่อนมีหูตาเป็นสัปปะรดคงไม่แปลก เว้นแต่เรื่องนอกโรงพยาบาลคงไม่มีใครรู้
“ทำตัวน่าสงสัย...? ตอนเลิกกัน ไม่เห็นจะบอกผู้ใหญ่สักคน” คุณพ่อเลิกคิ้วขึ้นด้วยเห็นเป็นอย่างนั้น เวลาสองคนเจอหน้ากันจะมีหนึ่งคนเดินหนี ไม่พ้นว่าเป็นลูกชาย
น่าเจ็บใจที่สุด! คือเดือนที่แล้วตอนอันนาแวะเวียนมาไหว้ผู้ใหญ่เหมือนทุกเดือน ดันมีหนุ่มเฟอร์รารีสีแดงแปร้ดแต่งตัวโก้หรูมาจอดรออยู่หน้าบ้าน ก่อนที่หญิงสาวจะเก็บเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้บางส่วนที่ลืมไว้ที่นี่ ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกไป
คนในบ้านเห็นอยู่ว่าคุณหมอหนุ่มเดินจากโต๊ะรับประทานอาหารไปดื้อ ๆ แต่ไปแอบเกาะอยู่หลังกำแพงทำน้ำตาซึม
“ไม่รู้แหละ... มาหักอกลูกชายเนตรไม่ยอม เราต้องไปคุยกับบ้านนั้นกันนะคุณ”
“คุยอะไร?” ในน้ำเสียงราบเรียบของคุณพ่อ ยกกาแฟขึ้นจิบดูยังไงก็ไม่ต่างจากหน้าตาเซ็งโลกของลูกชาย เนตรดาวปักส้อมลงบนจานผลไม้ดังฉึก!
“สินสอด... ที่เคยหมั้นไว้น่ะ ทวงคืนมาให้หมดทุกแดง!”
“งก...”
“ไม่สนค่ะ คนไหนมาหักอกตาอิฐ ต้องเฉ่งทุกบาททุกสตางค์เงินของบ้านเรา” ท่าทางเกรี้ยวโกรธเหมือนสัตว์ป่าดุร้ายของจิตแพทย์หญิง คนเป็นสามีทำกลอกตาไปมา
คุณพ่อไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียวอะไร แค่เป็นคนรอบคอบกับทุกสถานการณ์บ้านเมืองจึงมีความเห็นว่า...
“ถ้าจะให้ดี... อย่าลืมคูณอัตราค่าเงินปัจจุบันปีนี้เข้าไปด้วยนะ”