หนิงเซียนกำลังช่วยเจ้าลูกหมูแต่งตัว เด็กน้อยนั่งนิ่งราวตุ๊กตากระเบื้อง ปล่อยให้ท่านแม่เล่นสนุกได้เต็มที่
“ชุดสีนี้ดีหรือไม่” หญิงสาวหยิบชุดสีชมพูออกจากตู้แล้วทาบบนตัวลูกชาย ในตู้เสื้อผ้าของเหยียนอันมีสีชมพูอยู่หลายตัว เด็กน้อยไม่ปริปากใด ได้แต่มองตามท่านแม่อย่างลุ้นระทึก “ลูกของแม่ใส่สีนี้แล้วดูอ่อนโยน”
“สีอื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” ลี่จวินที่เริ่มคุ้นชินกับท่าทีฮูหยินเอ่ยขึ้น นางดูแลนายน้อยมา จึงรู้ว่าเขาไม่ชื่นชอบพวกสีอ่อนหวาน แต่ชื่นชอบสีเข้มไม่ก็สีขาวเหมือนบิดา
“งั้นหรือ” หนิงเซียนมองชุดในมืออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เก็บเข้าตู้เสื้อผ้าดังเดิม เหยียนอันน้อยถึงกับถอนหายใจโล่งอก เขาอยากให้ลี่จวินเอาชุดสีชมพูไปทิ้งให้หมดเหลือเกิน แต่จะทำอย่างไรได้เพราะสีชมพูคือสีโปรดของท่านแม่ เขาจึงไม่อาจหักหาญน้ำใจนาง
“เช่นนั้นเจ้าว่าเสี่ยวอันควรใส่ชุดสีอะไรดี” หนิงเซียนขอความเห็นจากลี่จวิน นางเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าต้องใส่ชุดสีอะไรไปงานเลี้ยงตระกูลถึงจะดูเหมาะ
ลี่จวินตอบ “สีน้ำเงินดีกว่าเจ้าค่ะ”
เหยียนหยงเล่อพาภรรยาและลูกชายมางานเลี้ยงวันเกิดท่านย่า ส่วนท่านปู่ลาโลกไปหลายปีแล้ว ผู้นำตระกูลเหยียนตอนนี้ก็คือเหยียนไห่ บิดาของเหยียนหยงเล่อ
หนิงเซียนเว้นระยะห่างจากเหยียนหยงเล่อพอสมควร นางเดินตามหลังเขาอย่างระแวดระวัง กลัวว่าหากเผลอเข้าใกล้ เขาอาจผีเข้าแล้วพุ่งมาบีบคอนางได้ อยู่ไกลเขาหน่อยนางจะได้วิ่งหนีเขาทัน
หญิงสาวไม่คุ้นชินกับงานเลี้ยงอะไรเช่นนี้ แต่ก็ทำตัวกลมกลืนได้ไม่ยาก
สายตาของผู้ในงานล้วนจับจ้องมาที่ครอบครัวเหยียนหยงเล่อ ใครๆ ก็รู้ข่าวลืองามหน้าของผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิภาวิจารณ์ต่อหน้าเพราะเกรงกลัวเหยียนหยงเล่อ คิดว่าเหยียนหยงเล่อคงรักภรรยาผู้นี้จนหน้ามืดตาบอด ไม่อย่างนั้นจะเก็บนางไว้ทำไม มิหนำซ้ำยังให้นางใช้ชีวิตสุขสบายทั้งที่สวมหมวกเขียวให้ตน
หลังอวยพรท่านย่าและอยู่พูดคุยกับนางสักพัก เหยียนหยงเล่อจึงอนุญาตให้เหยียนอันออกไปวิ่งเล่นกับบรรดาลูกพี่ลูกน้องได้ เด็กน้อยรีบขานรับเสียงขันแข็ง เขาชอบเวลามีงานเลี้ยงในตระกูลแบบนี้ที่สุด อยากให้มีทุกวันเสียเลยด้วยซ้ำเพราะท่านพ่อจะใจดีกับเขาเป็นพิเศษ
เจ้าลูกหมูที่ห่วงแต่เล่นยอมสะบัดมือมารดาทิ้งทันที หนิงเซียนไม่ทันเอ่ยกำชับอะไรได้แต่อ้าปากค้าง มองตามหลังเจ้าลูกหมูที่ซอยเท้าวิ่งออกไปอย่างเร็วรี่ ไม่ไกลนั้นนางเห็นกลุ่มเด็กน้อยกำลังวิ่งเล่นไล่จับส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน
พอลูกชายไปแล้ว หนิงเซียนก็รู้สึกว้าเหว่ทันที ในงานนางไม่รู้จักใครนอกเสียจากเจ้าลูกหมูและพ่อของเขา นางจึงจำใจต้องนั่งอยู่กับเขาในห้องรับรอง
คนเยอะเช่นนี้ เขาคงไม่กล้าเขย่าคอนางหรอกกระมัง
เหยียนหยงเล่อเหลือบมองหญิงสาวข้างตัวโดยไม่พูดอะไร พวกผู้ชายส่วนใหญ่มักนั่งคุยและจิบสุรากันอยู่ในห้องนี้ ส่วนพวกผู้หญิงจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ที่ศาลาด้านนอก
“สะใภ้ข้าคนนี้ช่างเป็นคนตัวติดสามีจริงๆ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น หนิงเซียนจึงเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเป็นผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน นางเหลือบมองเหยียนหยงเล่อ แต่ก็เห็นว่าเขาเอาแต่ยกสุราขึ้นจิบ ไม่พูดอะไร
ผู้หญิงคนนั้นกำลังพูดกับนางอย่างแน่นอน หญิงสาวคิดว่าคงเป็นมารดาเหยียนหยงเล่อกระมัง แต่เหตุใดถึงไม่มีส่วนคล้ายกันเลย หนิงเซียนจึงยืนขึ้นและย่อตัวทำความเคารพ
จางซื่อ เป็นแม่เลี้ยงเหยียนหยงเล่อ หลังแม่แท้ๆ เขาเสียชีวิตไม่นาน เหยียนไห่ก็ตบแต่งผู้หญิงคนนี้เข้ามา เหยียนหยงเล่อมีน้องชายต่างมารดาอยู่คนหนึ่งนามว่า เหยียนเจียงเฉิง
เจียงซื่อมองลูกสะใภ้ฉาวโฉ่แล้วแสร้งถอนหายใจเสียงดัง นางเปรยขึ้นมาลอยๆ ว่า “ไม่รู้ตัวติดสามีหรือติดใจอะไรในห้องนี้กันแน่”
หนิงเซียนเข้าใจเจตนานั้นได้ ในนี้ล้วนมีแต่บุรุษและนางยังมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีอยู่ด้วย หากแม่สามีไม่ชื่นชอบนางก็คงไม่แปลก
“ข้าขอตัวไปดูลูกสักหน่อยนะ” หญิงสาวหันไปกล่าวกับสามี ก่อนหันไปส่งยิ้มน้อยๆ ให้แม่สามีแล้วรีบเดินจากไป
จางซื่อถือวิสาสะนั่งลงข้างลูกเลี้ยง รินสุราให้เขาอย่างประจบ ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “หยงเล่อ น้องชายเจ้าติดคุกหลายเดือนแล้ว เขาคงสำนึกผิดได้แล้วล่ะ สิ้นปีนี้ภรรยาของเขาก็จะคลอดลูกคนแรก ข้าอยากให้ครอบครัวเจียงเฉิงได้อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก” นางรู้เหยียนหยงเล่อสนิทกับองค์รัชทายาท จึงอยากให้เขาช่วยไปพูดเรื่องลูกชายที่ตอนนี้ยังถูกขังอยู่ในคุกหลวงข้อหารับสินบนให้หน่อย
เหยียนหยงเล่อรู้ดีว่าสตรีผู้นี้กำลังหมายถึงสิ่งใด ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางมาพูดอะไรกับตนเช่นนี้ “โทษจำคุกเขาแค่สามปี เจียงเฉิงติดคุกยังไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ ผู้ทำผิดย่อมต้องได้รับโทษตามสมควรที่จะได้รับ”
จางซื่อเริ่มไม่พอใจ แต่ก็เก็บอาการไว้ “ข้าไม่ต้องการทวงบุญคุณอะไรหรอกนะ แต่ตอนเจ้าเด็กก็เป็นข้ามิใช่หรือที่เลี้ยงดูเจ้ามา ข้าขอเพียงให้เจ้าช่วยน้องชายหน่อยก็ไม่ได้หรืออย่างไร” แล้งน้ำใจเกินไปแล้ว!
เหยียนหยงเล่อแค่นเสียงฮึ เลี้ยงดูด้วยข้าวบูดน่ะหรือ ชายหนุ่มเหยียดยิ้มมุมปาก “หากท่านแม่ไม่ตาย มีหรือท่านจะได้เลี้ยงดูข้า” ตอนสิบขวบ เขาและท่านแม่ไปเยี่ยมท่านตาท่านยายที่ฉางซา ใครจะรู้ว่าการเดินทางในครั้งนั้น จะทำให้ท่านแม่ต้องจากเขาไปตลอดกาล ส่วนเขาบาดเจ็บบาดสาหัส หากไม่ได้ท่านลุงชุย บิดาของหนิงเซียนช่วยชีวิตเอาไว้ เขาคงไม่มีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้
จางซื่อเลิ่กลั่ก รู้สึกถึงความผิดปกติในประโยคนั้น นางจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “ภรรย***านนอกทำแต่เรื่องฉาวโฉ่นางนั้น เจ้ารีบหย่าขาดจากนางเสียเถอะ บุรุษหน้าตาดีซ้ำยังมีหน้าที่การงานดีเช่นเจ้า แต่งกับองค์หญิงใหญ่ยังได้เลย”
เหยียนหยงเล่อรำคาญ ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องครอบครัวของเขา ชายหนุ่มกำลังจะโต้ตอบ เพียงแต่เสียงกรีดร้องด้านนอกทำให้เขาต้องหุบปากและรีบวิ่งออกไปทันที
“ช่วยด้วย! คุณชายเหยียนอันตกน้ำ!”
หนิงเซียนยืนดูเด็กๆ วิ่งไล่จับกัน เจ้าลูกหมูของนางแม้ตัวอ้วนแต่วิ่งคล่องมาก เขาอ้าปากหอบน้อยๆ แก้มเป็นสีแดงปลั่ง หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างสนุกสนาน
เหยียนอันถูกแปะจึงเป็นฝ่ายไล่บ้าง เขาวิ่งตามคุณชายน้อยคนหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย หนิงเซียนรู้สึกว่าเด็กๆ วิ่งใกล้ริมทะเลสาบเกินไปแล้ว นางกำลังจะไปเอ่ยเตือนพวกเขาให้วิ่งห่างๆ หน่อย แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเสียก่อน เมื่อจู่ๆ เจ้าลูกหมูก็พลาดท่าลื่นไถลตกทะเลสาบดังตู้ม
ราวกับมีสัญชาตญาณความเป็นแม่แล่นพล่านอยู่ในกาย หนิงเซียนไม่แม้แต่จะคิดอะไร นางวิ่งไปข้างหน้าสุดแรงและกระโดดลงทะเลสาบท่ามกลางเสียงกรีดร้องตกใจของผู้คนในงาน
แม้อยู่แค่ริมฝั่งแต่น้ำก็ลึกพอสมควร ขนาดนางเป็นผู้ใหญ่ระดับน้ำคือแทบมิดหัว แล้วเจ้าลูกหมูของนางเล่า เขาตัวเตี้ยเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร
หญิงสาวรีบคว้าตัวลูกชายเอาไว้ เด็กน้อยร้องไห้เสียงดังด้วยความตกใจและรีบกอดคอมารดาของเขาเอาไว้แน่น หนิงเซียนเห็นว่ามีบ่าวชายคนหนึ่งกระโดดตามลงมาเช่นกัน นางจึงผลักลูกชายไปให้เขา หากไม่เช่นนั้นนางและลูกอาจจมดิ่งไปด้วยกันทั้งคู่
หนิงเซียนว่ายน้ำไม่เป็น... ยิ่งกระเสือกกระสนมากเท่าไร ร่างของนางก็ค่อยๆ ลอยห่างออกไป ลอยคอแหวกว่ายจนหมดแรง สุดท้ายก็ปล่อยให้ร่างค่อยๆ จมดิ่งลงไป
ขณะที่ตกอยู่ในห้วงระหว่างความเป็นและความตาย จู่ๆ ก็มีภาพประหลาดผุดเข้ามาในหัว หนิงเซียนเห็นตนเองในชุดมงคลสีแดงงดงามและคนตรงหน้านางนั้นคือ...เหยียนหยงเล่อ เขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงมงคลเช่นเดียวกับนาง เหยียนหยงเล่อยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน ก่อนค่อยๆ ประคองใบหน้าของนางขึ้นด้วยสองมือแข็งแรง เขาก้มจุมพิตบนริมฝีปากนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนุ่มนวลอ่อนหวานติดตรึงในความรู้สึกราวเกิดขึ้นจริงในตอนนี้
หนิงเซียนยกมือแตะริมฝีปากเบาๆ
จากนั้นภาพก็ตัดไป ปรากฏภาพที่นางนอนอยู่บนเตียง ในปากกัดท่อนไม้เอาไว้ สีหน้าของนางดูเจ็บปวดทรมาน เหงื่อซึมทั่วกรอบหน้า ในห้องมีหมอตำแยสองคนกำลังช่วยทำคลอดให้นาง นางกัดท่อนไม้แน่นจนเส้นเลือดบนขมับปูดโปน ออกแรงเบ่งเฮือกสุดท้าย ไม่นานเสียงทารกน้อยก็ร้องจ้าลั่นห้อง ทันทีที่ได้ยินเสียงเด็กทารกร้องนางก็ร่ำไห้ออกมา นางยังจำความเจ็บปวดที่แสนงดงามนั้นได้ดีและจำได้ขึ้นใจ
ในตอนนี้หนิงเซียนได้ร้องไห้ออกมา ไม่ใช่ความรู้สึกเสียใจ แต่เป็นความรู้สึกตื้นตันใจ
แล้วภาพก็ตัดไปอีกครั้ง เป็นนางที่กำลังหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ได้แต่ร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิต เบื้องหน้าของนางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง มีใบหน้าคล้ายนางราวกับคนเดียวกัน ผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจเสียงร้องอ้อนวอนเลยสักนิด ผู้หญิงคนนั้นเงื้อดาบขึ้นแล้วแทงลงมาครั้งเดียวไม่มีท่าทีลังเล ดาบเล่มนั้นทะลุร่างของนาง สุดท้ายนางก็จะสิ้นใจตายในที่สุด
หนิงเซียนกุมหน้าอกตนเองเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นได้ดี
เหยียนหยงเล่อเห็นเหยียนอันปลอดภัยก็ถอนหายใจโล่งอก เด็กน้อยเห็นท่านพ่อก็รีบกล่าวเสียงสะอื้น ก่อนชี้ไปที่ทะเลสาบ “ฮึก ท่านพ่อ ช่วยท่านแม่ด้วย ท่านแม่จมน้ำ”
ชายหนุ่มมองไปยังทะเลสาบด้วยสายตาว่างเปล่า เห็นบ่าวชายหลายคนกำลังแหวกว่ายช่วยงมหาร่างของสตรีผู้นั้น เหยียนหยงเล่อยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ทนเสียงรบเร้าของลูกชายไม่ไหว
ร่างที่กำลังดิ่งลงก้นทะเลสาบอย่างช้าๆ ถูกใครบางคนกระชากขึ้นอย่างแรง หนิงเซียนลืมตาขึ้นเมื่อศีรษะโผล่พ้นน้ำ นางเห็นใบหน้าบึ้งตึงของคนที่ช่วยชีวิต ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนางถึงอุ่นใจที่เป็นเขา ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเกือบพลั้งมือฆ่านาง ไม่ถูก...เขาตั้งใจจะฆ่านางอยู่แล้ว
เหยียนหยงเล่อลากร่างภรรยาขึ้นฝั่ง ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องจึงรีบมายังที่เกิดเหตุ นางกำลังปลอบเหลนตัวน้อยอยู่ริมฝั่ง “หยงเล่อ พาภรรยากับลูกชายไปที่เรือนฮุ่ยซวนก่อนเถอะ เดี๋ยวย่าจะให้คนไปตามหมอให้”
ชายหนุ่มพยักหน้า อุ้มร่างเปียกโชกของหนิงเซียนขึ้น ส่วนเหยียนอันเดินตามหลังท่านพ่อท่านแม่ตามการจับจูงของโยว่เหนียน เด็กน้อยตัวเปียกโชกสะอื้นไห้ตลอดทางเพราะเป็นห่วงท่านแม่
เรือนฮุ่ยซวนคือเรือนเก่าของเหยียนหยงเล่อ แม้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่ยังมีคนเข้ามาทำความสะอาดอยู่ตลอดฝุ่นจึงไม่ค่อยมี ชายหนุ่มวางร่างหญิงสาวลงบนเตียง กวาดสายตามองนางที่หมดสติไปแล้วคราหนึ่ง สายตาของเขาหยุดที่เนินอกข้างซ้ายของนาง
ชุดของหนิงเซียนแนบลู่กับลำตัวและหลุดรุ่ย คอเสื้อแยกกว้างอวดเนินอกอวบร่ำไร เหยียนหยงเล่อถือวิสาสะแหวกคอเสื้อด้านซ้ายนางเพื่อดูบางอย่างชัดๆ ทันทีที่เห็นปานแดงบนเนินอกซ้าย มือเขาก็สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม เขาเอื้อมมือไปแตะปานแดงนั้นอย่างแผ่วเบา ก่อนออกแรงถูจนผิวบริเวณนั้นของนางแดงเถือก
ปานแดงเป็นของจริง
“...เซียนเอ๋อร์?”
ชายหนุ่มพึมพำอย่างงุนงง “เป็นไปได้อย่างไร”